Jun 4, 2014
เมื่อวันวาน ผู้เขียนได้มีโอกาสไปถวายสังฆทานแด่ภิกษุสงฆ์องค์หนึ่ง
ได้มีโอกาสฟังหลวงพ่อท่าน..บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่ออีกท่านหนึ่ง...
โดยมีใจความที่ฟังแล้ว อดสงสัยไม่ได้ว่า ความจริงที่แพทย์ได้เล่าให้หลวงพ่อฟังนั้น
เป็นสิ่งเหมาะสมหรือไม่ ?
Credit: www.hopkinsmedicine.org
เรื่องมีอยู่ว่า...
หลวงพ่อ และเพื่อนสงฆ์ของท่าน ได้มีโอกาสไปทำพิธีเปิดคลีนิคแห่งหนึ่ง
ในภาคอีสาน หลังเสร็จพิธีทางสงฆ์ ์ แพทย์เจ้าของคลีนิคได้ถือโอกาส
ตรวจพระสงฆ์เพื่อนของหลวงพ่อ โดยหวังผลด้าน "พีอาร์ " ว่าคลีนิคของ
ตนมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยเพียงใด
หลังจากการตรวจ...
แพทย์เจ้าของคลีนิค ได้บอกให้พระสงฆ์องค์นั้นทราบทันที...โดยไม่เฉลียว
ใจ หรือสนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น...
ดูปับ...บอกผลทันทีว่า
“มะเร็งกินตับของหลวงพ่...ตับหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ”
พอสิ้นคำ... เท่านั้นแหละคุณเอ๋ย
หลวงพ่อที่เคยเป็นคนร่าเริง ชอบพูดชอบสอนญาติโยม บุคลิกของท่านเปลี่ยน
ไปทันที... ในระหว่างเดินทางกลับวัด ท่านไม่พูดจากกับใคร ๆ
ก่อนเดินทางกลับวัด...
คุณหมอเจ้าของคลีนิค ได้บอกให้พระสงฆ์องค์นั้นว่า...
“ให้หลวงพ่อฉันยาทุกวัน... อย่าลื่มเป็นอันขาด ...”
ลูกศิษย์ ตลอดรวมถึงญาติโยมทั้งหลายต่างขยั้นขยอให้หลวงพ่อฉันยา...
แต่หลวงพ่อปฏิเสธความหวังดี...ไม่ยอมฉันยา พร้อมกับบอกญาติโยมว่า...
“ในเมื่อกูเป็นมะเร็ง และตับของกูหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว...กูจะกินยาไป
หาวิมานอันใด...”
นั้นคือคำพูดประโยคสุดท้าย ที่หลุดออกจากปากของหลวงพ่อท่านนั้น
ร่างกายของท่านทรุดฮวบเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม
และท่านได้จากไปในระยะในเวลาไม่กี่เดือน...
นี้คือตัวอย่างหนึ่ง...
ซึ่งทำให้แพทย์ส่วนใหญ่ไม่อยากจะบอกให้คนไข้ได้ทราบว่า ตัวคนไข้เป็นโรค
มะเร็ง ถ้าบอกเมื่อใด ใช้คำพูดไม่ถูกต้อง ผลจะเป็นอย่างนี้ทุกรายไป...
ก่อนที่แพทย์จะบอกให้คนไข้ หรือญาติได้ทราบ...
เธอ หรือเขาจะต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก ;ว่่าจะใช้คำพุดอย่างไรจึงดีทีสุด
ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่จะจะต้องได้ข้อมูลที่ถูกต้อง (จากตรวจชิ้นเนื้อ) จึงจะกล้า
บอกคนไข้ และญาติๆ ของคนไข้ได้ทราบอย่างนุ่มนวลที่สุด...
หรือปล่อยให้คนอื่นเป็นคนแนะนำ !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น