(continue...
Triglycerides
Triglycerides เป็นสารเคมี เป็นรูปแบบหนึ่งของไขมัน (fats)
ที่พบมากทีสุดในร่างกายของมนุษย์เรา
เมื่อท่านพบใคร ที่หน้าท้องโต (ผู้ชายนะ)บอกได้ทันทีว่า
เขาคนนั้นจะมีระดับ triglycerides ในเลือดสูงเสมอ
ซึ่ง ถือเป็นเป้านิ่ง ให้โรคเกี่ยวก้นเลือด และหัวใจโจมตีได้ง่าย ๆ
คำถาม:
ค่าปกติของ triglycerides:
ตาม AHA ได้ระบุเอาไว้ ระดับปกติของ triglycerides ในกระแสเลือด
จะต้องต่ำกว่า 200 mg/dL
ค่าที่ดีที่สุด (optimal):
เหมือนกับค่าของความดันโลหิต และ ค่าของ cholesterol มันควรอยู่ที่ตรงหใน?
คำตอบก็คือ ยิ่งมีค่าต่ำ...ยิ่งดี
จากการศึกษาในคนจำนวน 350 คน ในคนที่เป็นโรคเส้นเลือดของหัวใจ
โดยทำการศึกษาใน University of Maryland School of Medicine…
พบว่า คนที่มีระดับ triglyceride มากกว่า 100 mg/dL
ซึ่ง เป็นระดับที่ถูกตั้งเอาไว้ว่า เป็นระดับที่ปลอดภัย
ปราฏว่า มีคนเกิดเป็นโรคหัวใจจากการขาดเลือด และ ตายจากโรคหัวใจได้มากกว่า
คนที่มีระดับ triglyceride ต่ำกว่า
สถาบัน FCI ได้แนะนำเอาไว้ว่า คนที่ไม่มีปัญหาของโรคหัวใจ
ควรให้ระดับ triglycerides ต่ำกว่า 120 mg/dL
ส่วนคนที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจมาก่อน จะต้องมีค่าต่ำกว่า 90 mg/dL
ให้มั่นสั่งเกตุดูรอบเอว:
Jean-Pierre Despes,PhD., Prof. of med., Laval University,St.Foy
ให้ความเห็นว่า ใครก็ตามที่ปล่อยให้ร่างกายมีระดับไขมัน triglyceride สูงถึง 175 mg/dL
หรือสูงกว่า เมื่อนำไปร่วมกับการมีไขมันรอบเอวแล้ว จะเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นถึง “ความเสี่ยงสูง”
ต่อการเป็นโรคหัวใจ หรือ ได้เป็นเป้าให้โรคหัวใจวิ่งเข้าหาเสียแล้ว
เพื่อความไม่ประมาท หรือจะพูดว่า เพื่อควาปลอดภัย Dr. Despes
แนะให้ทำการวัดรอบเอวทุกเดือน
โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่า ท่านควรให้รอบเอวของท่านอยู่ในระดับทีปลอดภัย
นั้นคือ:
สำหรับท่าน ที่อายุต่ำกว่า 40 ชายมีรอบเอว < 40 นิ้ว, หญิง <35 นิ้ว
ถ้าท่านมีอายุระหว่าง 40 - 65 รอบเอวจะต้องต่ำกว่า 35 นิ้ว
เมื่อเรามีระดับ triglyceride สูง, ระดับ HDls ต่ำ
ละมีไขมันรอบเอวในปริมาณสูง สามารถเป็นกลุ่มอาการของ Syndrome X
ซึ่งตามความจริงแล้ว มันหมายถึงผลรวมของกลุ่มอาการต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง,
น้ำตาลในกระแสเลือดสูง ซึ่ง เป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด (heart attack)
ได้ถึงหนึ่งในสาม (จากการศึกษาของ Framingham)
กลุ่มอาการ Syndrome-X อาจเป็นจุดเริ่มต้น (precursor) ของการเป็นทั้งโรคหัวใจ
และ โรคเบาหวาน
Glucose
การตรวจน้ำตาลในกระแสเลือดในช่วงอดอาหาร จะถูกนำมาใช้วินิจฉัยโรคเบาหวาน
โดยปกติ จะให้อดอาหารเป็นเวลา 8 ชั่วโมง แล้วเจาะเลือดตรวจหาน้ำตาล
ซึ่ง สวนใหญ่จะให้เจาเลือดในตอนเช้า ของคืนที่มีการอดการอาการหลังเที่ยงคืน
ถ้าผลการตรวจมีค่าเท่ากับ 126 mg/dl สอง หรือ สามครั้ง โดยทำการตรวจต่างวันกัน
จะวินิจฉัยได้ทันทีว่า คุณเป็นโรคเบาหวาน
ถ้าผลการตรวจได้ 110 และ 125 บ่งบอกให้ทราบว่า
กำลังจะเป็นโรคเบาหวาน
ผู้ใหญ่ เป็นโรคเบาหวาน มีโรคหัวใจ มีอัตราเสี่ยงต่อความเสียชีวิตได้ถึง 2- 4 เท่า
ของคน ที่ไม่เป็นโรคทั้งสอง
เบาหวาน สามารถทำให้เกิดตาบอด โรคไต ประสาทถูกทำลาย
และสามารถถูกตัดขาได้
เบาหวาน Type 1 มักจะเกิดในคนรูปร่างผอมอายุต่ำกว่า 30
ซึ่ง สามารถควบคุมด้วย insulin
ส่วนเบาหวาน Type 2 จะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ (adult-onset)
ซึ่งมักจะมีความสัมพันธ์สัมพันธ์กับความอ้วน (obesity)
สามารถให้ดีขึ้นได้ด้วยการควบคุมอาหาร, ออกกำลังกาย, และ บางทีให้ insulin
คนเป็นเบาหวาน type 2 สามารถพบได้ 90-95 %
ของคนที่เป็นเบาหวานทั้งหมด
What's Normal:
ค่าของน้ำตาลในเลือด 110 mg/dL หรือต่ำกว่า
จะถูกพิจารณาว่า เป็นค่าปกติ
What's Optimal:
สถาบัน FCI แนะนำไว้ว่า ระดับของน้ำตาลระหว่างอดอาหาร
ควรให้อยู่ที่ 100 mt/dL หรือ ต่ำกว่า
โดยเลือดจุด 110 mg/dL เป็นจุดตัด cutoff
มีหลายคนที่ไม่รู้ตัวว่า ตนเองเป็นเบาหวาน เพียงเพราะการขาดการใส่ใจในสุขภาพของตนเอง
เช่น ปล่อยให้ตนเองอ้วน น้ำหนักเกิน..
Further Testing:
ถ้าผลการตรวจเลือด พบว่า ระดับน้ำตาลสูง แพทย์อาจตรวจหาค่า A1C test
การตรวจหาระดับน้ำตาลในขณะอดอาหาร สามารถบอกระดับน้ำตาลในเลือดได้ทันที
ส่วนการการตรวจ A1C เราสามารถบอกได้ว่า
ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่ำแค่ใด
Weight
ในปัจจุบัน แพทย์ได้ทำการวัดองค์ประกอบของร่างกาย กับ ปริมาณของไขมันในร่างกาย
โดยการใช้ Body Mass Index (BMI) ว่า ควรอยู่ที่จุดใด ?
เราสามารถหาคา BMI ได้จากสูตร:
Metric formula for BMI
BMI = (Weight in Kilograms / Height in meters x Height in meters)
เพื่อขจัดปัญหาในอนาคต
วัดความยาวรอบท้องตรงตำแหน่งสะดือ (W) หารด้วยความยาวรอบข้อสะโพก(H)
เราจะได้ค่า WHR
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ต่างพิจารณา “ความอ้วน” (obesity) มันเป็นโรค
มีความรุนแรงเทียบเท่าการสูบบุหรี่
ใครมี BMI สูง หรือ มีรอบเอวสูง หรือ WHR สูง
ทั้งสามถือเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือด และหัวใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งหญิง และชาย
มาในระยะหลัง จาก AHA ได้จัดความอ้วน เป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ
นอกจากนั้น มันยังเป็นตัวทำให้เกิดโรคเบาหวาน, เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
และทำให้เกิดมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย
What is normal: ค่า BMI ที่มีค่าต่ำกว่า 25 ถือว่าปกติ
ค่า WHR สำหรับหญิงต้องน้อยกว่า 0.80 สำหรับชาย 0.95 สหรับชาย
ถือว่าเป็นค่าปกติ
AHA และ WHO ให้ค่า BMI ระหว่าง 25-29 เป็นค่าทีีบอกให้ทราบว่า มีน้ำหนักเกิน (overweight)
และถ้า ค่ามากกว่า มากกว่า 30 ถือว่าเป็นค่าของความอ้วน (obesity)
จะเห็นว่า ความอ้วนจะแย่กว่าคนที่มีน้ำหนักเกิน
What's Optimal: ค่าที่ดีที่สุด คือ BMI คือ 21 – 23
วัดรอบเอว 35 นิ้ว สำหรับหญิง, 40 นิ้ว สำหรับชาย ให้ถือว่าเป็นค่าที่ควรกังวล
เพราะมันสามารถทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
จากการศึกษาปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดภาวะสมองขาดออกซิเจน ในผู้ชาย
จำนวน 28,643 อายุระหว่าง 40-75 โดยแพทย์จาก Harvard School ofืPublic
พบว่า:
ชาย ถ้า WHR มีค่ามากกว่า 0.98 จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้สูง
สำหรับตัวเลขนี้ สามารถใช้กับผู้หญิงได้เช่นกัน
Testing Frequency: สุขภาพของคนเราจะต้องดีเสมอ และ ตลอดไป
การที่เราจะทำเช่นนั้นได้ เราจะต้องควบคุม น้ำหนัก, BMI, รอบเอว และ WHR ให้อยูในเกณฑ์ที่กำหนด
ซึ่งเราจะต้องตรวจวัดทุกเดือน พร้อมกับป้องกันไม่ให้มันมีค่าเพิ่มขึ้น
โดยระมัดระวังเรืองอาหาร และ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างสมำเสมอ
Further Testing: อาจมีบางท่านที่มีระดับ BMI สูง แต่ยังมีสุขภาพดี
ถ้าคุณสามารถออกกำลังกายใด้อย่างดี....เป็น muscular man
แม้ว่า คุณจะมีค่าของ BMI สูง มันก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด
แต่ข้อที่คุณควรระวัง คือ อย่าบอกตนเองว่า การที่มีค่า BMI สูงนั้น
เป็นเพราะกล้ามเนื้อของคุณเป็นอันขาด คุณต้องทำการตรวจให้แน่ใจว่า
มันไม่ใชไขมัน....
IMPROVING YOUR SCORES
ความจริงมีว่า การตรวจที่เกี่ยวกับสภาพของหัวใจทุกชนิด จะมีความสัมพันธ์กัน
และ ปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายจะดีขึ้นจากวิธีการดำเนินชีวิต ที่ทำให้เกิดมีสุขภาพดี
อาหารที่ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี (heart-health diet) และการออกกำลังกาย
ร่วมกับการลด Body mass index ลง จะทำให้มีการลดในระดับของ LDLs,triglycerides,
glucose, blood pressure และ สามารถเพิ่มระดับ HDLs
แผนการสำหรับการทำให้ "ดีกว่า" คำว่า "ปกติ"
(Better Than Normal Plan) มีดังต่อไปนี้:
Diet and exercise:
การควบคุมเรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย สามารถลด cholesterol ลงได้
20 – 30 %
และ การลดน้ำหนักตัว แม้เพียงลดลง 5 – 10 ปอนด์ สามารถทำให้ระดับความดันเป็นปกติได้ และ
การลดน้ำหนัก สามารถทำให้เบาหวานดีขึ้น
อาหาร: ตัดอาการประเภทไขมันอิ่มตัวออก และเริ่มรับประทานผลไม้ และผักให้มากขึ้น
ผลจากการศึกษา พบความสัมพันระหว่างอาหารที่มีผัก และผลไม้สูง
จะทำให้เกิดโรคหลายอย่างลดลง
เช่น หัวใจน้อย เบาหวาน และ กระดูกพรุน และ ยังช่วยน้ำหนักตัวได้อีกด้วย
Other diet tips:
เพื่อประโยชน์ในด้านสุขภาพ ยังมีคำแนะนำที่ไม่ควรมองข้าม ดังนี้:
o ลดอาหารเค็มลง วันหนึ่งไมกิน 2,400 mg (sodium aslt)
ซึ่งมีค่าเทียบกับเกลือ 1 ซ้อนชา
o เพิ่มอาหารมีสารใยสูง ซึ่งสามารถช่วยลดระดับไขมัน และระดับน้ำตาลในเลือดลงได้
o รับประทาน omega-3 fatty acids ซึ่งสามารถได้จากน้ำมันปลาแซลมอน,ซาร์ดีน
หรืออาหารเสริมที่เป็นแคบซูล
o รับประทานอาหารประเภทคาร์โบฮัยเดรตแต่พอประมาณ พร้อมกับไขมันไม่อิ่มตัว และ ไขมันทรานซ์
สามารถลดปริมาณ triglycerides ลงได้บ้าง
o ท่านสามารถรับประทานอาหารเสริม ที่ทำจาก red yeast ซึ่งมีส่วนผสมของ statins
หรือ พวก niacin ซึ่งสามารถลดไขมันทั้ง cholesterol และ Triglycerides ได้
o รับประทาน vitamin E 100-400 IU อาจช่วยป้องกันไม่ให้มีไขมันสะสมในผนังหน้าท้อง
และป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะต้านสารอินซูลินได้
o หลีกเลี่ยงจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะมันอาจทำให้ความดันของท่านสูงขึ้น
หรือทำให้เกิดมีการสะสมไขมันรอบบั้นเอวได้
o ออกกำลังกายทุกวัน อย่างน้อย ๆ วันละ 3 ไมล์ อาทิตย์ละ 5 วัน
สามารถทำให้เกิดประโยชน์หลายอย่าง เช่น ควบควบระดับน้ำตาล,Cholesterol, triglycerides
และ โรคความดันโลหิต
นอกจากนั้น การออกกำลังกาย ยังช่วยทำให้ระดับ HDLs cholesterol(เป็นไขมันดี)เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน การออกกำลังกาย สามารถช่วยลดความเครียดลง
ซึ่ง ความเครียด เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดมีไขมันสะสมในบริเวณรอบบั้นเอว
การออกกำลังกายแบบต้านน้ำหนัก วันละ 20 – 30 นาที
อาทิตย์ 2 – 3 ครั้ง ก็เป็นอีกทางหนึ่ง ...
http://www.michaeltennesen.com/articles/prevention_heart_tests.htm
by Michael Tennesen
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น