การรักษา (Treatment)
ในการรักษาโรค “อัลไซเมอร์” ถือเป็นเรื่องท้าทาย….
โดยเฉพาะการเกิดพยาธิสภาพของโรคดังกล่าวยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดเลย
มีกลไกในการเกิดโรคอย่างไรก็ไม่ทราบอีกเ่นกัน
เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้
มีกลไกในการเกิดโรคอย่างไรก็ไม่ทราบอีกเ่นกัน
เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้
นอกเหนือไปจากนั้น ยังพบว่า เมื่อโรคได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว
เราไม่มีทางเปลี่ยนทิศทางการดำเนินของโรคได้
มันจะเปลียนแปลงไปเรื่อย ๆ
มันจะเปลียนแปลงไปเรื่อย ๆ
ดังนั้น เป้าหมายของการรักษาโรค “อัลไซเมอร์” คือการชะลอการดำเนิน
ของโรค และอีกเป้าหมายหนึ่ง คือลดผลกระทบของอาการของโรค
การรักษาจะประสบผลดีนั้น ยาจะต้องผ่านเข้าสู่สมองในปริมาณเพียงพอ
ที่จะทำให้อาการดีขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง
เป้าหมายของการรักษาในอนาคต คือการชะลอไม่ให้โรคแย่ลง
นอกจากนั้น การรักษาด้วยยาควรให้ออกกฤทธิ์ยาวนานที่สุด โดยไม่ต้องให้บ่อย
และการรักษาที่ได้ผลดี คนไข้ต้องได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ
โดยทั่วไป อาการของคนเป็นโรคมักเกิดก่อนที่แพทย์จะตรวจพบ
ดังนั้น คนไข้ควรได้รับการบอกกล่าวให้ทราบถึงอาการ และอาการแสดงของโรค “อัลไซเมอร์”
เช่น อาการหลงลืม, ไม่สามารถไปยังสถานที่เคยไป,
เช่น อาการหลงลืม, ไม่สามารถไปยังสถานที่เคยไป,
เกิดอาการสับสนในสิ่งที่เคยทำ เช่น เขียนเช็คไม่ได้, หมดความสนใจในด้านความคิด,
การปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป....
การปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป....
ซึ่งเขาควรได้รับการรักษาให้เร็วสุดเท่าที่จะทำได้
ในการรักษาด้วยยา มีแนวทางเลือก
ตลอดรวมถึงขนาดของยาที่กำหนดให้ ดังนี้ :
ในรายที่ไม่รุนแรง (Mild to Moderate Alzheimer’s Disease):
ยาที่ได้รับการยินรับจาก FDA คือ Cholinesterase inhibitors ให้นำมาใช้รักษา
โรคอัลไซเมอร์ ในระยะที่มีความรุนแรงเล็กน้อย (mild)ถึงพอประมาณ (moderate)
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Tacrine, donepezil, rivastigmine และ galantamine
ยา Tacrine, donepezil และ rivastigmine
เป็นพวก non-competitive inhibitor of cholinesterase
ซึ่งหมายความว่า ยาพวกนี้ออกฤทธิ์.... เป็นพวกยับยั้งแบบไม่แข่งขัน)
เป็นพวก non-competitive inhibitor of cholinesterase
ซึ่งหมายความว่า ยาพวกนี้ออกฤทธิ์.... เป็นพวกยับยั้งแบบไม่แข่งขัน)
ส่วน Galantamine จะออกฤทธิ์แบบยับยั้งแบบแข่งขัน (competitive agent)
โดยออกฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ cholinesterase
โดยออกฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ cholinesterase
ซึ่งอาจได้รับผลประโยชน์เมื่อมีตัวรับ (receptors) เป็นจำนวนมากเท่านั้น
เพื่อหลีกเลี่ยงจากผลข้างเคียง ควรเริ่มยาด้วยขนาดจากน้อยไปหามาก
ด้วยการเพิ่มขนาดทุก 2- 4 อาทิตย์จนกว่าได้ขนาดยาตามที่กำหนดให้
อย่างไรก็ตาม มีคนไข้จำนวนไม่น้อยจะตอบสนองต่อยาที่ขนาดต่ำกว่ากำหนด
ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา ได้แก่อาการคลื่นไส้, น้ำหนักลด
เพราะฉะนั้นเราควรตรวจเรื่องน้ำหนัก และความต้องการอาหารของคนไข้อย่างใกล้ชิด
สำหรับยา Tacrine ในปัจจุบันไม่ค่อยจะมีคนนิยมใช้ เพราะความไม่สะดวก
ต่อคนไข้ ซึ่งต้องรับประทานวันละ 4 ครั้ง (โดยเริ่มต้น 10 mg วันละ 4 ครั้ง
ค่อยๆ เพิ่มขนาดขนถึง 40 mg 4 ครั้งต่อวัน)
ผลเสียของ Tacrine คือ ทำให้เกิด hepatotoxicity ได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขาจึงหันมาใช้ยาที่สะดวกกว่า
นั้นคือยา donepezil โดยรับประทานวันละครั้ง
การใช้ยา donepezil…
เขาเริ่มให้ด้วยขนาด 5 mg /day
เมื่อให้ยาไปประมาณหนึ่งเดือน สามารถเพิ่มขนาดยาเป็น 10 mg/day
Donepezil เป็นยาที่มีชีวปริมาณออกฤทธิ์ (bioavailable) ได้ 100 %
และเป็น cholinesterase inhibitor ที่ใช้ง่ายที่สุดในแง่ขนาด และความถี่
ของการใช้ (frequency & dose) และเป็นยาที่ถูกนำมาใช้ร่วมกับยากลุ่ม
NMDA receptor antagonist memantine มากที่สุด
Rivastigmine therapy ...
ยาตัวนี้ควรเริ่มต้นด้วยขนาด 1.5 mg วันละสองครั้ง
เราควรเพิ่มยาเป็นเท่าตัวทุกเดือน จนกว่าจะได้ขนาดยาสูงสุดเท่าที่คนไข้
สามารถทนทานต่อการใช้ยา....แต่ไม่ควรให้ยาเกิด 6 mg ต่อวัน
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Rivastigmine ได้แก่อาการคลื่นไส้ และอาเจียน
เป็นเหตุให้ไม่สามารถใช้ยาได้ขนาดสูงได้
เนื่องจากยาตัวนี้จะถูกขับออกทางไต...
ดังนั้นจึงเหมาะที่จะให้กับคนไข้ที่เป็นโรคตับ
เคยมีการทดลองใช้ยาผสมระหว่าง rivastimine กับ donepezil
ปรากฏว่าไม่มีประโยชน์ต่อการรักษา
โดยแพทย์พบว่า การใช้ยา donepezil วันละครั้งจะง่ายกว่าเยอะ....
Galantamine...
การใช้ยายา galantamine เริ่มต้นให้ 5 mg วันละสองครั้ง
เพิ่มขนาดยาทุกเดือน โดยเพิ่มเป็น 12 mg วันละสองครั้ง
เนื่องจากยา galantamine เป็น selective agent
และมีคนไข้บางรายอาจทนต่อการใช้ยาตัวนี้ได้ดีกว่า
แต่ผลเสีย คือก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้มากกว่ายา donepezil
ยา galantamine จะถูกขับออกทางไต และทางตับได้เท่าๆ กัน
ในการใช้ยากลุ่ม cholinesterase inhibitors…
พบว่า เมื่อมีการใช้ยาไปประมาณ 6 เดือน ประสิทธิภาพของยาจะเสียไป
ผลทางคลินิกยืนยันให้เราทราบว่า ยาทั้งสี่ที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าว
จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อเราใช้ยาในขนาดสูงเท่านั้น
ในการรักษาด้วยยาควรดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะไม่ปรากฏผล
ในระดับการปฏิบัติภารกิจ (functional level)
ในรายที่มีความรุนแรง (Moderate to Severe Alzheimer's Disease):
คนไข้ที่อยู่ในระยะพอประมาณ (moderate) ถึงระยะรุนแรง (severe)…
ยาที่ได้รับการยอมรับจาก FDA ให้นำมาใช้รักษา มีตัวเดียวเท่านั้น
นั่นคือ Memantine โดยยาตัวนี้ทำงาน แข่งกับสาร glutamine ด้วยการ
จับกับ NMDA receptor ทำให้เซลล์ประสาทลดความไวต่อการกระตุ้นลง
ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่รักษาเซลล์ประสาทให้ทำงานได้ตามปกติ
ขนาดของยา Memantine…
เริ่มต้นด้วย 5 mg ต่อวัน จากนั้นให้ค่อย ๆ เพิ่มขนาดเป็น 10 mg วันละ
สองครั้ง ยาตัวนี้เป็นยาที่คนไข้สามารถทนได้
เป็นยาที่ถูกขับออกทางไตเป็นส่วนใหญ่
ในการใช้ยาสองกลุ่มร่วมกัน (cholinesterase inhibitos และ NMDA
Receptor antagonist ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่พอใจ
ทำให้คนไข้สามารถปฏิบัติภารกิจในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น (แต่งตัว,
เตรียมอาหารเอง...)
โดยสรุป ในคนไข้ที่เป็นโรค AD ซึ่งมีอาการพอประมาณถึงขั้นรุนแรง
เขาแนะนำให้ใช้ยาทั้งสองกลุ่ม cholinesterase inhibitor
(เช่น donepezil) ร่วมกับ NMDA receptor antagonis (memantine)
การรักษาร่วม (Adjunct treatment):
ในระยะแรกๆ ของการเกิดโรค “อัลไซเมอร์” ...
การสูญเสียสมรรถภาพทางกาย และจิต มักจะนำไปสู่การเกิดอาการซึมเศร้า
และความโกรธแค้นขึ้น
และความโกรธแค้นขึ้น
ยาที่ถูกนำมาใช้รักษาอาการซึมเศร้า...
ควรเริ่มด้วยขนาดน้อยแล้วค่อยๆ เพิ่มขนาดขึ้นอย่างช้า ๆ
ยาที่เขาแนะนำ คือยา Mirtazapine เป็นยาที่ทำให้อยากรับประทานอาหาร
และช่วยทำให้นอนหลับดีขึ้น
และช่วยทำให้นอนหลับดีขึ้น
ยารักษาภาวะจิตประสาทผิดปกติ (antipsychotics) ...
มักถูกนำมาใช้ควบคุมอาการ “sundown syndrome”
ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นในตอนเย็นช่วงต้นๆ โดยการมีอาการ “ก้าวร้าว” และ “อาการสับสน”
ซึ่งอาการดังกล่าว มักจะเกิดในระยะสุดท้ายของโรค “อัลไซเมอร์”
ทั้งๆ ที่ FDA ได้เตือนให้ทราบว่า การใช้ยา antipsychotics จะเพิ่มความเสี่ยงต่อ
การเกิดภาวะสมองถูกทำลายจากการขาดเลือด (stroke)
การเกิดภาวะสมองถูกทำลายจากการขาดเลือด (stroke)
แต่ก็ยังมีการนำยาตัวนี้ใช้รักษาคนไข้ที่มีอาการดังกล่าวอีก
ยาที่เขานิยมใช้กัน คือ risperidone…
โดยเริ่มด้วยขนาด 0.25 mg หลังอาหารเย็น หรือก่อนนอน
คนสูงอายุสามารถทนต่อการใช้ยาตัวนี้ได้ดี ซึ่งเป็นยาที่สามารถควบคุม
พฤติกรรมที่เบี่ยงเบนได้ดี
พฤติกรรมที่เบี่ยงเบนได้ดี
ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ยาที่มีขนาดสูงกว่าที่กล่าว...
คนไข้ส่วนใหญ่สามารถทนต่อการใช้ยา โดยไม่มีผลข้างเคียง
ถ้าเราไม่ใช้ยาเกิน 1 mg risperidone, 5 mg olanzapine หรือ 50 mg quetiapine
ถ้าเราไม่ใช้ยาเกิน 1 mg risperidone, 5 mg olanzapine หรือ 50 mg quetiapine
สำหรับคนสูงอายุ ไม่ควรใช้ยาในกลุ่ม Benzodiazepines
ยกเว้นเฉพาะผลประโยชน์ที่พึงได้รับมีมากกว่าอันตราย
คนแก่มีแนวโน้มที่จะมียา benzodiazepine สะสมในร่างกายสูง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น