มีคำกล่าวประโยคหนึ่งว่า...
“เมื่อเรามีสตางค์ แต่ไม่ยอมใช้มัน...
มันก็ไม่แตกต่างกับdkiไม่มีสตางค์แต่ประการใด”
ถ้าจะยกประเด็นนี้ขึ้นมาถก...เราคงต้องเถียงกันอีกนาน
เอาเป็นว่าขอเปลี่ยนเป็น “อวัยวะ” ของเราดีกว่า
เช่น หากไม่ยอมออกกำลังกายเลย ไม่ช้าไม่นานกล้ามเนื้อแขนขา
ก็จะเหี่ยวลงเป็นธรรมดา…
ก็จะเหี่ยวลงเป็นธรรมดา…
แต่ถ้าเป็นสมองของคนเราละ!
หากเราไม่ใช้มัน ไม่ช้าไม่นานมันก็จะฟ่อไป และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ
การเกิดเป็นโรคสมองเสื่อมไปในที่สุดได้
ความคิดหรือความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพลังสำรองของสมอง
และพลังเกี่ยวกับด้านความคิด ในประเด็นที่ว่า
และพลังเกี่ยวกับด้านความคิด ในประเด็นที่ว่า
การมีพลังสำรองดังกล่าวเพิ่มขึ้น สามารถชดเชยสมองที่ถูกทำลาย
และกลับคืนสามารถชะลอการเกิดอาการของโรคสมองเสื่อม
“อัลไซเมอร์” ได้
พลังสำรองของสมอง:
ความคิดเกี่ยวกับพลังสำรองของสมอง...
ความคิดเกี่ยวกับพลังสำรองของสมอง...
เริ่มต้นจากการสังเกตุความสัมพันธ์ระหว่างอาการต่างๆ
และพยาธิสภาพของสมอง ปรากฏว่ามันไม่สัมพันธ์กันเสมอไป
และพยาธิสภาพของสมอง ปรากฏว่ามันไม่สัมพันธ์กันเสมอไป
ยกตัวอย่าง นาย Katzman และเพื่อน (1989) ได้รายงานคนสูงอายุ
จำนวน 10 ราย ซึ่งมีความนึกคิดเป็นปกติ ไม่มีอาการของโรคสมองเสื่อม
จำนวน 10 ราย ซึ่งมีความนึกคิดเป็นปกติ ไม่มีอาการของโรคสมองเสื่อม
เมื่อคนเหล่านั้นตายไปได้ทำตรวจสมองของศพของคนแก่เหล่านั้น
พบว่าสมองของคนเหล่านั้นเป็นโรค “อัลไซเมอร์” ขั้นสุดท้าย
จากข้อมูลที่พบเห็น...
ทำให้นักวิจัยทั้งหลายลงความเห็นว่า
คนเหล่านี้ไม่แสดงอาการของโรคอัลไซเมอร์ เป็นเพราะสมองของพวก
เขาโตขึ้น มีเซลล์สมองมากขึ้น และการเชื่อมติดต่อเพิ่มมากขึ้น
การมีพลังสำรองเพิ่มมากขึ้นด้วยการมีเซลล์ประสาทสมองเพิ่มขึ้น
สามารถชดเชยความสามารถส่วนของสมองที่ถูกทำลายโดย
โรคอัลไซเมอร์ได้
จากความจริงที่ปรากฏ ทำให้พวกเขานิยามคำ “พลังสำรองของ
สมอง และความคิด” เอาไว้ว่า...
“มันหมายถึงความยืดหยุ่นของสมองที่มีต่อส่วนของสมองที่ถูกทำลายไป
ซึ่งปรากฏในโรคสมองเสื่อม โดยไม่แสดงอาการใดๆ ให้ปรากฏ...
ซึ่งปรากฏในโรคสมองเสื่อม โดยไม่แสดงอาการใดๆ ให้ปรากฏ...
ความรู้สึกนึกคิดของเขายังคงเป็นเหมือนคนปกติทุกประการ
ผลจากการค้นคว้าในเวลาต่อมาพบว่า...
การที่สมองของคนเราถูกกระตุ้นให้ทำงานอยู่เสมอ ๆ สามารถลดความ
เสี่ยงจากการเกิดโรค “อัลไซเมอร์” ได้
จึงสรุปเป็นความเห็นว่าการที่สมองได้มีกิจกรรมด้วยการคิดอยู่เสมอ
ย่อมมีโอกาสเพิ่มพลังสำรองของสมองได้
ในการพัฒนาสมอง (brain training)…
คงมีความหมายกว้างกว่าการกระตุ้นสมองด้วยการนึกคิดต่อสิ่งท้าทาย
ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่หมายถึงการบริหารสติปัญญาอย่างมีแบบ
แผน เพื่อทำให้การทำงานของสมองดีขึ้น
การพัฒนาสมองถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่ได้รับบาดเจ็บทางสมอง
หรือสมองถูกทำลายจากการขาดเลือด (stroke)
หรือโรคทางระบบประสาทมาเป็นเวลานาน
ซึ่งสามารถทำให้ความจำ, ความสนใจ, ความเชื้อมั่น, การตัดสินปัญหา,
ตลอดรวมถึงการลดความวิตกกังวลลงได้
หรือสมองถูกทำลายจากการขาดเลือด (stroke)
หรือโรคทางระบบประสาทมาเป็นเวลานาน
ซึ่งสามารถทำให้ความจำ, ความสนใจ, ความเชื้อมั่น, การตัดสินปัญหา,
ตลอดรวมถึงการลดความวิตกกังวลลงได้
เราเคยเชื่อผิดๆ มาแล้วว่า เราไม่สามารถฝึกในคนสูงอายุได้
แต่จากผลจากการศึกษาแสดงให้เรารู้ว่า การฝึกสมองสามารถฝึกได้ทุกอายุ
โดยเฉพาะคนที่มีอายุล่วงเข้าวัยกลางคน และคนแก่...
สามารถทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น
สามารถทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น
ในการพัฒนาสมอง จำเป็นต้องใช้ความหลากหลาย (Variety), ความท้า
ทาย(challenges) และ ความแปลกใหม่ (novelty)…
เมื่อคนเรามีการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือหาวิธีการใหม่ๆ ให้ลุล่วง
สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ (neurons)สมอง และตัวเชื่อม
เซลล์ประสาท (synapse) ให้เกิดเพิ่มมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของสมองที่เกิดขึ้นเราเรียกว่า neuroplasticity
ซึ่งทำให้เพิ่มพลังสำรองของสมอง และทำให้สุขภาพของสมองโดยรวมดีขึ้น
ในการเรียนรู้ และการเปลี่ยนแปลง... เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็พูดได้
แต่ไม่ใช้เรื่องง่ายเลย เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักจึงจะประ
สบผล
DR. James Zull กล่าวว่า การเรียนรู้ และการเปลี่ยนแปลง จำเป็นอย่างยิ่ง
ที่เราจะต้องทำให้ตัวเราหลุดพ้นออกจากห้วงแห่งความสุข ความสบายทั้ง
มวลที่เราเคยมี และอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้เราบรรลุเป้าหมายมีเพียงสิ่ง
เดียวเท่านั้น นั่นคือ ความกลัว !
หัวใจของการพัฒนา หรือการบริหารสมองได้แก่:
§ ความหลากหลาย (variety): อะไรที่สลับซับซ้อนไปไม่ใช้กลยุทธิ
ทีดีสำหรับสุขภาพของสมองในระยะยาวเลย
แต่ควรเป็นวิธีที่ประกอบด้วยกิจกรรม (หน้าที่)หลายอย่างทีสมองพึงมี
ซึ่งเหมือนกับการบริหารร่างกาย
แต่ควรเป็นวิธีที่ประกอบด้วยกิจกรรม (หน้าที่)หลายอย่างทีสมองพึงมี
ซึ่งเหมือนกับการบริหารร่างกาย
§ ท้าทาย (challenge): เป้าหมายของการพัฒนา คือ ให้สมองของเราได้
สัมผัสกับระดับของความท้าทายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
§ ความแปลกใหม่ (Novelty): ให้พยายามทำสิ่งใหม่ ๆ
เพราะสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) จะมีการพัฒนาได้ดีเมื่อมีการ
เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
เพราะสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) จะมีการพัฒนาได้ดีเมื่อมีการ
เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
โดยสรุปการพัฒนาพลังสำรองของสมอง
เป็นเสมือนเป็นเสมือนหยอดเงินใส่กระปุกออมสิน
ซึ่งสามารถนำเงินมาใช้เมื่อคราวต้องการ
พลังสำรองของสมองก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน...
สามารถชดเชยส่วนของสมองที่ถูกทำลายไปได้
เป็นเสมือนเป็นเสมือนหยอดเงินใส่กระปุกออมสิน
ซึ่งสามารถนำเงินมาใช้เมื่อคราวต้องการ
พลังสำรองของสมองก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน...
สามารถชดเชยส่วนของสมองที่ถูกทำลายไปได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น