วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Lipid Management in Diabetes Type 2

คนที่เป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 มักจะมีส่วนร่วมกับความเสี่ยงให้เกิดโรคสูงขึ้น
โดยเฉพาะ "โรคหัวใจ และหลอดเลือดแดง" (CVD)
และ มีส่วนร่วมกับ ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าว ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก
ในการป้องกัน และรักษาคนที่เป็นที่โรคเบาหวานชนิดดังกล่าว

เบาหวานประเภท 2 มีส่วนร่วมกับการทำให้มีความเสี่ยงต่อของการเกิดหัวใจและหลอดเลือด
ซึ่งมีลักษณะเหมือนกบคนที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน
นอกเหนือไปจากนั้น ภายหลังจากการเกิดโรคหลอดเลือดแดงของหัวใจขึ้นแล้ว
คนไข้ที่เป็นเบาหวาน พร้อมกับโรคหลอดเลือด และหัวใจ
จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ได้มากกว่าคนไม่เป็นเบาหวาน
ดังนั้น เราจึงกล่าวว่า คนเป็นเบาหวานมีปัจจัยเสียงมากมายต่อการเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
โดย มีระดับไขมันในกระแสเลือดทีผิดปกติ (dyslipidemia) เป็นปัจจัย

LIPOPROTEIN PATTERN IN DIABETES

ในคนเป็นโรคเบาหวาน มีไขมันที่ทำหน้าที่ให้เกิดเส้นเลือดแดงตีบตันได้นั้น
มีชื่อว่า diabetic dyslipidemia หรือ artherogenic dyslipidemia
ซึ่ง ประกอบด้วยไขมันที่มีระดับสูง เช่น triglyceride , low HDL cholesterol,
และ small dense LDL particles
ไขมันเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่า lipoprotein โดยจะมีส่วนร่วมกับ การทำให้ร่างกาย
ไม่ตอบสนองต่อฤทธิ์ของอินซูลิน

ระดับของไขมันอีกชนิดหนึ่ง LDL cholesterol ที่ปรากฏในคนเป็นเบาหวาน
จะมีลักษณะเช่นเดียวกับคนไมเป็นเบาหวานทุกประการ
ส่วน small dense LDL particles นี้ซิ มีนมีความน่ากลัว
เพราะมันทำให้ผนังของเส้นเลือดแดง เพิ่มความไว ต่อการรับเอาออกซิเจนเพิ่มขึ้น

ในคนไข้ที่มีระดับ triglyceride มากกว่า 130 mg/dL จะพบว่า
ในกระแสเลือดของคนเราจะมี small LDL particles กลายเป็นเรื่องธรรมดาได้

กล่าวโดยรวม คนไข้ที่เป็นเบาหวานทั้งหลาย พบว่าประมาณ 30-40%
จะมีระดับ triglyceride อยู่ในระดับมากกว่า 200 mg / dL
และอีก 10 % พบระดับ triglyceride มากกว่า 400 mg / dL

อย่างไรก็ตาม ผลจากการศึกษาจากอังกฤษ คนไข้ที่มีระดับ TG ประมาณ 159 mg / dL
ไม่สามารถนำมาพยากรณ์เกี่ยวกับการเกิดโรคหัวใจ และหลดเลือด (CVD)ได้เลย
ส่วน LDL cholesterol เคยเป็นตัวพยากรณ์อิสระของการเกิดโรคหลอดเลือด
ตีบ และรองลงไปเป็น HDL cholesterol
ซึ่ง National guideline ได้สนับสนุนให้ใช้ LDL cholesterol
เป็นเป้าหมายหลัก ในการลดระดับไขมันที่สูงเกิน ลงสู่ระดับปกติ

LIPID TARGETS
National Cholesterol Education Panel Guidelines


โรคเบาหวาน จะถูกพิจารณาให้มีค่าเทียบเท่ากับโรคหัวใจ และหลอดเลือด(CVD)
ดังนั้น เป้าหมายของไขมัน (lipid target) ในคนเป็น
โรคเบาหวาน จึงมีค่าเท่ากับคนที่เป็นโรคหัวจหลอดเลือดแดง (CVD)แล้ว
และเป้าหมายหลักของ LDL cholesterol ต้องมีค่าต่ำกว่า 100 mg/dL


เมื่อไม่นานมานี้ the National Cholesterol Education Panel
(NCEP) ADULT Treatment Panel III (ATP III)
ได้ลดระดับ cut-point เพื่อการรักษาด้วยยา จากระดับ
130 mg/dL สู่ระดับ 100 mg / dL

และในคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคทุกราย เช่น คนเป็นเบาหวาน และมีโรคหัวใจ
เป้าหมายที่ดีที่สุด คือ 70 mg / dL


สำหรับรายที่มีระดับ triglycerides > 200 mg / dL
ซึ่งถือเป็นเป้าหมายรอง (secondary lipid target)
เป็นค่าที่ได้จาก:
nonpHDL-C = (total cholesterol) minus (HDL-C)
เป็นค่าทีรวบรวมสาร( หรืออนภาค)ทุกตัว ที่เป็นตัวเหตุให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด (CVD)
เช่น apolipoprotein (apo) B, เช่น LDL, lipoproteins (a),
intermediate-density lipoprotein, และ VLDL

เป้าหมายของ non-HDL-Cholesterol
จะมีค่า = 30 mg / dL plus LDL target (<130 mg / dL
สำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน)

ในกรณีคนไข้มีระดับ triglycerides มากกว่า 500 mg/dL
เป้าหมายของการรักษา คือ ต้องลดระดับ triglycerides ลงอย่างรีบด่วน....ต้องทำทันที
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาวะตับอ่อน อักเสบ (pancreatitis)

HDL cholesterol เป็นเป้าหมายที่สาม (third lipid target):
การเพิ่มระดับ HDL cholesterol ในด้านทฤษฏีถือว่าใช่เลย...
ต้องทำให้คนไข้ ที่มีระดับ HDL-C ต่ำกว่า 40 mg/dL มีระดับสูงขึ้น

American Diabetes Association Guidelines

The American Diabetes Association (ADA) ได้ตั้งเป้า
สำหรับไขมันต่าง ๆ ที่อยู่ในกระแสเลือดเอาไว้ ดังนี้:

 LDL cholesterol < 100 mg / dL
 HDL cholesterol > 40 mg / dL(ชาย), 50 mg/dL (หญิง)
 Triglycerides < 150 mg/ dL

เป้าหมายหลักในการรักษา (primary treatment strategy)
ตามแนวทางของ NCEP แนะนำให้ตั้งเป้าเอาไว้ดังนี้:

 LDL cholesterol < 100 mg /dL โดยแนะให้ทำการ
รักษาด้วยยา (pharmacological therapy) เมื่อไขมันตังกล่าว
สูงกว่า 100 mg/ dL ซึ่งกระทำในคนไข้ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดตีบแข็งแล้ว
และเริ่มรักษาด้วยยา เมื่อคนธรรมดา ไม่เป็นโรค มีค่า LDL-C สูงกว่า 130 mg/ dL

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำที่ให้ไว้ในปี 2005 ยังกล่าวว่า การรักษาด้วยสาร statin (statin therapy)
สามารถลด LDL-C ลงได้ประมาณ 30 % โดยไม่คำนึงว่า ฐานของไขมันดังกล่าวจะอยู่ที่ใด

ไขมัน HDL-cholesterol เป็นตัวที่สอง ที่ต้องจัดการเพื่อทำให้มันเพิ่มระดับขึ้น และ
ไขมันตัวที่สาม ที่ต้องจัดการทำให้ลดลดลงสุ่เป้าหมาย คือ triglycerides
อย่างไรก็ตาม เรายังไม่พบว่า มีการรักษาเป็นการเฉพาะถูกกำหนดขึ้น

CLINICAL TRIAL EVIDENCE

จากการวิเคราะห์การรักษาด้วยสาร statins ในการรักษา
ชี้ให้เห็นว่า เป็นผลดีทั้งในกลุ่มเป็นโรคหลอดเลือดตีบตัน โรคเบาหวาน
และ ในคนที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน
ส่วนการใช้สาร fibrates หรือ niacin นั้น มีการศึกษาน้อยมาก

Continue > Treatment: Lifestyle

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น