วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

ASPIRIN and NSAID: Can I Take Aspirin and Ibuprofen Together?

เสี่ยงบ่นจากญาติของคนไข้...
“สามีของดิฉัน กินแอสไพรินวันละเม็ดตามสั่ง เพื่อป้องกันหัวใจไม่ให้เกิดโรคขาดเลือด
ทำไมห้ามไม่ให้กินยากแก้ปวด-ibuprofen ทำไม่ละคะ ?

แพทย์ส่วนใหญ่ มักจะแนะนำให้คนเรา รับประทานแอสไพรินวันละครั้ง
เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจ... และสมองขาดเลือด
(heart attack & brain attack)
เพราะ แอสไพริน จะเข้าไปแทรกแซงการปฏิบัติการณ์ของเม็ดเลือด ด้วยการไปจับ cyclo-oxygenase
ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ ที่่ทำหน้าทีทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกัน สร้างเป็นก้อนเลือดในเส้นเลือด
แอสไพรินในขนาดต่ำ ๆ ที่ทห้เข้าไป มันจะจับตัวกับ cyclo-oxygenase
เป็นการจับแล้วจับเลย (irreversible) ทำให้เกล็ดเลือดหมดโอกาสที่จะสร้างก้อนเลือด
เป็นการป้องกัน ไม่ให้เส้นเลือดของหัวใจ และสมองถูกอุดตันได้

แพทย์มักจะแนะนำให้ใช้ในคนไข้ที่มีคความเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าว เช่น :
o มีประวัติของคนในครอบครัว เป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรือ สมองขาดเลือด
o มีอายุมากเกิน 40 (older than 40)
o สูบบุหรี่ (tobacco user)
o เป็นโรคเบาหวาน (diabetes)
o เป็นโรคความดันโลหิตสูง (high blood pressure)
o เป็นโรคอ้วน (obesity)
o มีไขมันในกระแสะเลือดสูง (high cholesterol)
o ขาดการออกกำลังกาย (lack of exercise)

อย่างไรก็ตาม การกินยาแอสไพรินเพื่อป้องกันโรคนั้น ไม่ได้หมายความว่า มันปลอดภัยจากอันตราย
มันสามารถก่อให้เกิดการตกเลือด (bleeding) ขึ้นได้
เช่น ตกเลือดในกระเพาะอาหาร หรือ ตกเลือดในสมอง
เพื่อความปลอดภัย ควรพูดคุยกับแพทย์ก่อนการใช้ยา
และแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินที่เคลือบ (enteric goated aspirin)
เพราะยาดังกล่าว อาจลดการละคายเคือง และลดการตกเลือดได้

Aspirin and Ibuprofen Don’t Mix
ตามรายงานขององค์การอาหาร และยา ของสหรัฐฯ ได้กล่าวไว้ว่า
ยา NSAID เช่น ibuprofen สามารถแทรกแซงผลการทำงานของแอสไพริน (81 mg per day)
ไม่ให้ทำหน้าที่ปกป้องหัวใจ และสมอง จากการป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดจับตัวเป็นก้อนเลือดได้
องค์การดังกล่าว ยังได้แนะนำ ให้ท่านได้พิจารณา:

o ถ้าท่านใช้ยา ibuprofen เป็นบางครั้งบางครา มันเพียงก่อให้เกิดความเสี่ยงได้เล็กน้อย
จากการที่ยาไปแทรกแซงการทำงานของแอสไพรินในขนาดต่ำ ๆ ได้ โดยไปจับตัวกับ cyclo-0xygenase ในระยะสั้น ๆ
ถ้าท่านจำเป็นต้องใช้ยา ibuprofen เพียงครั้งเดียว สิ่งที่ท่านควรทำ
คือ ให้หลีกเลี่ยงการแทรกแซงการทำงานของยาดังกล่าว ที่จะมีต่อยาแอสไพริน
ซึ่งกระทำได้โดยกินยาให้ห่างกันอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อน หรือ 30 นาที หลังกินยาแอสไพริน
o ถ้ำท่านจำเป็นต้องใช้ยา ibuprofen อย่างต่อเนื่อง ท่านควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเปลี่ยนยา
ที่ไมไปแทรกแซงการทำงานของแอสไพริน
ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาแก้ปวดตัวอื่นแก่ท่าน ซึ่งไม่กระทบการทำงานของแอสไพริน

นอกจากยา ibuprofen เป็นยาในกลุ่ม NSAIDs ยาตัวอื่น เช่น naproxen
จะมีผลกระทบต่อการทำงานของแอสไพรินในขนาดต่ำ ๆ ได้เช่นกัน

Ibuprofen and Different Types of Aspirin

จากองค์การอาหาร และยาของสหรัฐฯ เขาจะแนะนำเฉพาะยา aspirin ที่ใช้เป็นประจำ
(immediate-released)ขนาด 81 mg ต่อวันเท่านั้น
ส่วน enteric coated aspirin หรือในขนาดสูง ๆ เช่น 325 mg
จะถูกแทรกแซงโดย NSAIDs หรือไม...ยังไม่คำตอบ


http://drugs.about.com/od/faqsaboutyourdrugs/f/ASA_ibuprofen.htm

Aspirin: Should I take aspirin to prevent heart attack or stroke ?

เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า aspirin เป็นยาสามัญที่ถูกนำมาใช้แก้อาการปวดนั้น
ปรากฏว่า มันสามารถป้องกันไมให้เกิดภาวะ heart attack (กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด)
และป้องกันไม่ให้เกิด stroke (สมองตายจากการขาดเลือด)
โดยการทำหน้าที่ป้องกัน ไม่ให้เกล็ดเลือดจับตัวเป็นก้อนเลือดภายในเส้นเลือดแดง
โดยารไปทำหน้าที่ยับยั้ง cyclo-oxygenase ซึ่งมีหน้าที่ให้การทำให้เกล็ดเลือดจับตัว สร้างเป็นก้อนเลือดขึ้น
นอกจากนั้น ยังถูกนำไปใช้ในรายซึ่งยังไม่เป็นโรคทั้งสองได้ด้วย

ก่อนใช้ยา aspirin ควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:

o ก่อนใช้แอสไพริน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะแอสไพริน สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ในคนบางคน
เช่น เกิดการตกเลือดในกระเพาะอาหาร และตกเลือดในสมอง
ซึ่งแพทย์จะช่วยท่านในการพิจารณาว่า ท่านควรกินยาแอสไพรินหรือมา

o ยาแอสไพริน จะถูกแนะนำให้ใช้กับคน
ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค heart attack และ stroke ได้มากกว่าคนปกติ
ก็เป็นหมออีกนั่นแหละ จะช่วยให้ท่านได้ทราบว่า ท่านเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าวหรือไม่

ท่านจะมีโอกาสต่อการเกิดโรค (high risk) การขาดเลือดในสมอง และกล้ามเนื้อหัวใจเมื่อท่าน สบบุหรี่,
มีไขมันในกระแสเลือดสูง, มีโรคความดันโลหิตสูง, เป็นโรคเบาหวาน,
และ มีประวัติของคนในครอบครัว ว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคสมองขาดเลือด

o เมื่อตัดสินใจได้ว่า ประโยชน์ที่พึงได้รับ มีมากกว่าโทษ
แพทย์จะสั่งให้ท่านกินยาแอสไพรินขนาดระหว่าง 75 mg - 325 mg ต่อวัน

o ประโยชน์ที่พึงได้รับจากแอสไพริน จะมีความแตกต่างระหว่างผู้ชาย และผู้หญิง

o แม้ว่า ท่านจะกินยาแอสไพรินทุกวันแล้วก็ตาม ท่านยังจำเป็นต้องยึดหลักการดำเนินชีวิต
เพื่อลดอันตรายจากการเกิดโรค (heart attack & stroke) ด้วย
นั้นคือ ท่านต้องรับประทานอาหารที่ให้สุขภาพ, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ ไม่สูบบุหรี่

Medical information:

How can a daily aspirin prevent a heart attack or a stroke?

แอสไพริน จะทำหน้าที่ป้องกัน ไม่ให้เกล็ดเลือดจับตัวสร้างก้อนเลือดในเส้นเลือด
เมื่อมีก้อนเลือดที่เกิดในแสเลือด จะทำให้มีการอุดตันของเส้นเลือดที่สำคัญ ๆ เกิดขึ้น
เช่น เส้นเลือดของหัวใจ (coronary) จะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (heart attack)
ถ้าอุดตันเส้นเลือดไปเลี้ยงสมอง (carotid artery) ก็จะทำให้สมองขาดเลือด (stoke) ขึ้น

คนที่เป็นโรคหัวใจ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิด heart attack และ stroke ได้

คราบไขมันซึ่งเกาะตามผนังของเส้นเลือด สามารถทำให้เส้นเลือดตีบแคบได้
บางครั้ง คาบเลือดถูกกระแทกโดยกระแสเลือดที่วิ่งผ่าน อาจแตกเป็นรอยแผลเปิด
เป็นตำแหน่งให้เกล็ดเลือดรวมตัว สร้างเป็นก้อนเลือดขึ้นเพื่อซ่อมแซมรอยแตกที่เกิด
ทำให้เส้นเลือดถูกอัดตัน ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดสู่หัวใจ และสมองได้
เป็นเหตุให้เกิด heart attack & stroke ได้เช่นกัน

แอสไพริน สามารถป้องกันไม่ใหเกล็ดเลือดรวมตัวเป็นก้อนเลือดได้

Who can take daily aspirin?

แพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่า ใครคนใด ควรกินยาแอสไพริน
แพทย์มักจะสั่งให้คนที่เป็นโรค heart attack และ stroke ให้กินยาแอสไพริน
นอกจากนั้น แพทย์ยังแนะนำให้คนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะทั้งสอง กินยาแอสไพรินด้วยเช่นกัน

เช่น อายุที่แก่ขึ้น ความดันโลหิตสูง, ไขมันในกระแสเลือดสูง, เป็นโรคเบาหวาน
และ พ่อแม่ของท่านมีประวัติว่าเป็น heart attack หรือ stroke มาก่อนหรือไม่
ต่างมีส่วนไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจ และสมองตายจากการขาดเลือดได้ทั้งนั้น

มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากแนะนำให้คนไข้ต่อไปนี้...ทานแอสไพริน:

o ผู้ชายที่มีสุขภาพสมบูรณ์ อายุมากว่า 40 ผู้ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่าหนึ่งอย่าง
ที่จะทำให้เกิดโรคหัวใจ และความดันโลหิตถูกควบคุมได้เป็นปกติเท่านั้น
ไม่มีเหตุผลใด ที่จะไม่ทานยาแอสไพริน

o สตรี ที่มีสุขภาพดี อายุมากกว่า 65 ความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ ควร...ทาน
แอสไพริน เธอไม่มีเหตุใดที่จะปฏิเสธการทานแอสไพริน

o ทั้งชาย และหญิง ที่มีอายุมากกว่า 40 เป็นโรคเบาหวาน

What are the benefits of taking daily aspirin?
ปัญหาที่ชอบถามเสมอ คือ ประโยชน์ที่พึงได้จากการทานยาแอสไพริน

ยาแอสไพริน จะลดโอกาสไม่ให้เกิดหัวใจขาดเลือด (heart attack)
และสมองขาดเลือด (stroke) หรือ mini-stroke (TIA)
แอสไพริน จะป้องกันไม่ให้เกิด heart attack ในผู้ชายได้ดีกว่าหญิง
แต่มันจะป้องกันไม่ให้สตรีเกิดสมองขาดเลือด (stroke) ได้ดีกว่าชาย

ผลจากการศึกษาพบว่า:

o แอสไพริน จะไม่ลดโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด(heart attack) ในสตรี
o จากการรับประทานแอสไพริน พบว่า ทุก 1,000 คนของเพศชาย
สามารถลดการเกิด heart attack เป็นครั้งแรกได้ถึง 8 ราย
o แอสไพริน ไม่ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดสมองขาดเลือด (stroke) ในผู้ชายเลย
พบว่า ในผู้หญิงจำนวน 1,000 ราย ยาอสไพริน สามารถลดการกเกิด stroke ได้ 2 ราย

แม้ว่า คุณจะรับประทานแอสไพรินทุกวัน คุณจำเป็นต้องดำเนินชีวิตให้มีสุขภาพ
ด้วยการรับประทานอาหารที่ให้สุขภาพ (healthy diet) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
และ ไม่สูบบุหรี่

What are the risks of taking aspirin every day?

การกินยาแอสไพรินทุกวัน อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน
เช่น คนที่มีความเสี่ยงต่อการตกเลือด รวมถึงคนที่เป็นโรคกระเพาะเป็นแผล
หรือในรายที่เป็นโรคสมองตายจากการตกเลือด

สมองตาย (stroke) จากการตกเลือดในสมอง เป็นผลข้างเคียงที่น่ากลัวที่เกิดจาก
ยาแอสไพริน ซึ่งจะเกิดได้ 1 – 2 รายในคนจำนวน 1,000 ของคนที่รับประทานแอสไพริน
ซึ่งหมายความด้วยว่า มีคนจำนวน 998 ถึง 999 คน ไม่ได้เกิดสมองตายเพราะมีเลือดตกในสมอง

นอกจากนั้น แอสไพริน สามารถทำให้เลือดตกในส่วนอื่น ๆ ของลำไส้ได้

มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถใช้ (กิน)แอสไพรินได้ เช่น:

o แพ้ยาแอสไพริน
o ความดันสูง ซึ่งไม่สมารถควบคุมได้ (uncontrolled hypertension)
o เป็นโรคหืด (asthma)
o เมื่อรับประทานยา warfarin (coumadin) หรือ clopidogrel (Plavix)
เพราะมันสามารถทำให้เพิ่มโอกาสตกเลือดได้สูงขึ้น
แต่อยางไรก็ตาม ในบางโอกาส แพทย์อาจจำเป็นต้องใช้เหล่านี้ร่วมกับแอสไพริน
แพทย์จะบอกท่านว่า ควรรับประทานยาอย่างไร จึงไม่ทำให้มีการตกเลือดเพิ่มขึ้น

การรับประทานแอสไพรินด้วยขนาดต่ำ ๆ (เช่น 75 – 325 mg)
สามารถทำให้คนเป็นโรค gout อาจอาการเลวลง และยากแก่การรักษา

ถ้าท่านไม่สามารถรับประทานแอสไพริน
แพทย์อาจให้ท่านใชยา clopidogrel (Plavix) แทน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสมองขาดเลือดจนสมองเกิดตาย (stroke)
หรือไม่ให้หัวใจตาย จากการขาดเลือด (heart attack)

How do you take aspirin?
แอสไพรินถูกผลิตมาในหลายขนาด มีตั้งแต่ 75 mg ถึง 325 mg สำหรับรับประทานวันละครั้ง
ที่นิยมใช้บ่อยสุด คือ ขนาด 81 mg

แม้ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยรับประทานยาแอสไพรินทุกวัน บางรายถูกแนะนำให้รับประทานยาแอสไพริน วันเว้นวัน
ซึ่งแพทย์อาจเป็นแนะนำเองว่า แบบใดจึงจะเหมาะสำหรับท่าน

ท่านสามารถรับประทานแอสไพรินต่อไป แม้ว่า ท่านจะใช้ยา NSAIDs เช่น ibuprofen
เพื่อรักษาโรคไขข้อได้ทุกวัน หรือโรคอย่างอื่น โดยไม่ต้องหยุดยา
แต่ท่านจะต้องไม่รับประทานยาพร้อมกัน !

เหตุผลเพราะ ibuprofen จะจับเอ็นไซม์ COX 1 ก่อน แอสไพริน
จะทำให้ aspirin อยู่ในกระแสเลือดได้ไม่นาน จะถูกขับออกจากร่างกายไป
ดังนั้น มันจึงไม่สามารถปกป้องหัวใจได้

วิธีปฏิบัติ คือ ให้ทานยา ibuprofen อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อน
หรือ 30 นาที หลังจากที่ท่านกินยาแอสไพริน
การรับประทานยา ibuprofen นานๆ ครั้ง จะไม่มีผลกระทบต่อการทำงานของแอสไพริน
ที่ทำหน้าที่ต่อต้านไม่ให้เกิด heart attack

มีผูคนจำนวนไม่น้อย ไม่รู้ว่า NSAIDs ชนิดอื่น ๆ ทำให้ uncoated aspirin ไม่ทำงาน
และเขายังไม่ทราบด้วยว่า คนที่รับประทานแอสไพรินทุกวัน
ควรระมัดระวังเมื่อต้องรับประทาน Ibuprofen
หรือถ้าจำเป็นต้องใช้ NSAID ตัวอื่นที่ไม่ใช้ตัวที่ไปจัด COX1
ให้ใช้ตัวอื่น ซึ่งจะจับกับ COX 2 แทน เช่น Diclofenac หรือ Mobic

ทางเลือกของท่านอาจ:

o รับประทานแอสไพรินทุกวัน พร้อมกับดำเนินชีวิตของท่านอย่างมีสุขภาพที่ดี
o ไม่รับประทานแอสไพรินทุกวัน ท่านอาจเลือกดำเนินชีวิตของท่านอย่างมีสุขภาพที่ดี
หรืออาจรับประทานยาชนิดอื่น ซึ่งสามารถลดโอกาสไม่ให้เกิด heart attack &stroke

การเลือกแบบใด จะรับประทานหรือไม่ ขึ้นกับความรู้สึกส่วนตัว และข้อเท็จจริง
ทางด้านการแพทย์ด้วยดังนี้

Deciding about taking daily aspirin

ท่านควรรับประทานแอสไพริน เมื่อพบว่า ท่านมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด heart attack และ
Stroke เช่น ท่านมีโรคหัวใจ เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสง
และมีประวัติครอบครัวว่าเป็นโรค heart attack และ stroke

และ คุณไม่มีปัญหาด้านสุขภาพใด ที่สามารถทำให้อาการเลวลงเมื่อรับแอสไพริน

การรับประทานแอสไพริน สามารถป้องกันไม่ให้มีการสร้างก้อนเลือดในเส้นเลือดแดงของท่าน
และลดโอกาสไม่เกิดโรคหัวใจ และสมองขาดเลือดได้


เหตุผลที่ไม่สนับสนุนให้ใช้แอสไพริน:

ท่านไม่จำเป็นต้องรับประทาน แอสไพริน ถ้าท่านไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการทำให้เกิด
heart attack & stroke เช่น ไม่มีโรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคไต,
โรคความดันโลหิตสูง,ระดับไขมันในเลือดสง และ
ไม่มีประวัติว่า มีใครในครอบครัวเป็นโรค heart attack & stroke

ท่านอาจมีปัญหาด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านไม่สามารถรับประทานแอสไพรินได้
เช่น กระเพาะอาหารเป็นแผล แพ้ยาแอสไพริน หรือเป็นโรคหืด asthama
ซึ่ง ถ้าท่านรับประทานยาเหล่านี้ จะทำให้อาการเลวลง

นอกเหนือจากนั้น ท่านอาจกำลังรับประทานยาชนิดอื่น เช่น coumadin หรือ clopidogrel
(Plavix)} ท่านไม่สามารถควบคุมความดันโลหิต (uncontrolled hypertension)
เพราะการใช้ยา aspirin ร่วมกับยาดังกล่าว อาจทำให้มีโอกาสตกเลือดเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ก่อนใช้ร่วม ควรพิจารณาผลดีผลเสียให้ดี...

หรือมีสาเหตุอย่างอื่น ๆ ที่ท่านไม่ต้องการจะใช้ยาแอสไพริน ?

http://www.webmd.com/a-to-z-guides/should-i-take-daily-aspirin-to-prevent-a-heart-attack-or-a-stroke

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

Heart Attack and Unstable Angina - Overview (continued)

continued...
what are the symptoms

ในคนไข้ที่มีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง และตายไป (myocarial infacrion or MI)
มีอาการที่เราควรทราบมีดังนี้:

o เจ็บหน้าอก (chest pain) หรือแน่นหน้าอก หรือ มีความรู้สึกประหลาดในทรวงอก
o มีเหงื่อตก (sweating)
o หายใจลำบาก หายใจส้น-ถี่ (shortness of breath)
o มีคลื่นไส้ อาเจียน
o เจ็บปวด (pain) แน่น (pressure) หรือ มีความรู้สึกประหลาดที่ด้านหลัง คือ กราม
และท้องส่วนบน ไหล่ด้านนด้านหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง และต้นแขน
o วิงเวียน (lightheadedness) หรือ เกิดอาการอ่อนแรง
o หัวใจเต้นเร็ว และเต้นไม่สม่ำเสมอ

สำหรับชาย และหญิง อาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจนกล้ามเนื้อตาย
ที่พบบ่อยที่สุด คือ เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก
สำหรับผู้หญิง มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการหายใจลำบาก (shortness of breath)
มีอาการคลื่นไส้ ปวดที่บริเวณหลัง และกระดูกกราม

นอกจากอาการเจ็บปวดทรวงอกจากกล้ามเนื้อหัวใจตาย ตามที่กล่าวมาแล้ว
คนไข้อาจมีอาการอย่างอื่น ที่จะบอกให้เราได้ทราบ เช่น:

o มีคนไข้จำนวนไม่น้อยอธิบายความเจ็บปวดว่า เป็นความรู้สึกไม่สบาย อัดแน่น
ทรวงอกเหมือนถูกบีบ
o คนไข้อาจกำมือ (กำปั้น) ที่บริเวณหน้าอก บ่งบอกให้ทราบว่า มีความเจ็บปวด
o อากาปวดอาจกระจายไปยังไหล่ ต้นแขน และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
เช่น หลัง กระดุกกราม คอ และ ต้นแขนด้านขวา

ท่านควรทำเช่นใด เมื่อเกิดอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด ?
แน่นอน ถ้าท่านสามารถทราบ อาการที่เกิดขึ้นเป็น heart attack
การรักษาได้อย่างรวดเร็ว สามารถช่วยชีวิตของท่านได้
ซึ่ง แพทย์มักสั่งยาประเภท nitroglycerin สำหรับ angina ให้แก่ท่าน
สิ่งที่ท่านต้องทำ:

1. รับประทาน nitroglycerin 1 dose ทันที แล้วรอดูผล
2. ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรืออาการเลวลง ให้เรียกรถฉุกเฉินมารับท่านไปโรงพยาบาล
หรือ ให้ญาติพาไปพบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินอย่างรีบด่วนที่สุด
3. ในระหว่างโทรศัพท์ แพทย์อาจแนะนำให้ท่าน เคี้ยวยาแอสไพริน 1 เม็ด สำหรับขนาดของผู้ใหญ่
หรือ ใช้แอสไพรินขนาดต่ำสุด 2 – 4 เม็ด

แอสไพริน สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดมีการจับตัวของเม็ดเลือด (clotting)
ซึ่ง สามารถช่วยท่านจากการเกิด heart attack ได้

ถ้าท่านไม่มียา nitroglycerin เลย สิ่งที่ท่านควรทำ:
1. เรียกรถ ambulance จากโรงพยาบาล หรือเรียก 1669(ศูนย์ฉุกเฉินของโรงพยาบาล)
พร้อมกับอธิบายให้ทราบว่า ท่านอาจเกิด heart attack ขึ้น
2. รอ...พูดทางโทรศัพท์ ท่านอาจได้รับคำบอกให้เคี้ยวแอสไพริน ขนาดสำหรับผู้ใหญ่ 1 เม็ด
หรือขนาดต่ำสุด 2- 4 เม็ดทันที เพราะแอสไพริน สามารถช่วยชีวิตของท่านได้
โดยการป้องกันไม่ให้มีก้อนเลือดเกิดขึ้น
3. อย่าขับรถไปโรงพยาบาลเองเป็นอันขาด...ให้รอรถจากโรรงพยาบาล

วิฝีที่ดีที่สุด คือไปโรงพยาบาลโดยรถ ambulance ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ สามารถเริ่มให้การช่วย
ชีวิตของท่านได้ก่อนที่ท่านจะถึงโรงพยาบาล

ถ้าหากท่านไม่สามารถเข้าถึงโรงพยาบาล ไม่มีรถ ambulance
ให้คนอื่นขับรถพาท่านไปไรงพยาบาล อย่าได้ขบรถเองโดยเด็ดขาด
มีกรณีเดียวเท่านั้น คือ ไม่มีใครสามารถพาท่านไปยังโรงพยาบาลได้
ในกรณีดังกล่าว...ต้องวัดดวงกันแล้วละ !

ในการณีทีท่านคิดว่า อาการที่เกิด เป็น unstable angina
ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กล่าวมาทุกประการ เพราะ unstable angina
อาจลงเอยด้วยการเป็น heart attack ได้

How is a heart attack treated?
ในขณะที่ที่ท่านถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยรถ ambulance
การรักษา จะเริ่มทันทีด้วยการทำให้การไหลเวียนของเลือดสู่หัวใจดีขึ้น
ซึ่งท่านอาจได้รับ

o Aspirin หรือยาตัวอื่น ๆ ที่ลดการเกิด หรือปัองกันไม่มีก้อนเลือดเกิดขึ้น
o Medicines ยาที่สามารถทำลายก้อนเลือดที่เกิดขึ้น (thrombolytics)เช่น streptokinase
o Medicines ลดการำงานของหัวใจ (workload) ลง เช่น Beta-clocker
และลดอาการเจ็บหน้าอกลง

เมื่อท่านอยู่ในโรงพยาบาล สิ่งที่ท่านจะได้รับ ได้แก่:

o Electrocardiogram (EKG or ECG) ซึงสามารถตรวจพบอาการความผิดปกติของการ
ไหลเวียนของเลือด พบกล้ามเนื้อถูกทำลาย กรรเต้นผิดปกติของหัวใจ
และปัญหาอย่างอื่น ๆ ของหัวใจ
o Blood tests เช่น การตรวจหาเอ็นไซม์ของหัวใจ ในกรณีที่มันมีค่าสูง จะพบในรายที่กล้ามเนื้อ
ของหัวใจถูกทำลาย (damaged)
o Cardiac catheterization ถ้าการตรวจอื่น ๆ บ่งบอกว่า ท่านเกิด heart attack
การทำ cardiac catheterization สามารถบอกตำแหน่งที่เส้นเลอืดเกิดการอุดตัน และบอก
ให้ทราบว่า หัวใจทำงานกันอย่างไร ?

ถ้าจากการตรวจ cardiac catheterization แล้วพบว่า เส้นเลือดแดงเกิดการอุดตัน
แพทย์จะจัดการผ่าตัด angioplasty ทันที เพื่อช่วยให้เลือดไหลผ่านเส้นเลือดไปได้
หรือ แพทย์อาจทำ bypass surfery เพื่อให้กระแสเลือดวิ่งอ้อมผ่านบริเวณอุดตัน

หลังการผ่าตัดดังกล่าว ท่านจะต้องรับประทานยาเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิด heart attack ขึ้นอีก
หน้าที่ของท่าน ท่านจะต้องรับประทานตรงตามสั่งทุกปราการ
อย่าหยุดยาเองโดยแพทยืไม่ได้สั่งเป็นอันขาด
หากคุณหยุดยาเอง...ท่านมีโอกาสเกิด heart attack ได้อีก

เมื่อมีการเกิด heart attack ขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว โอกาสที่จะเกิดในครั้งต่อไปมีได้สูงมาก
ดังนั้น การมีส่วนใน cardiac rehab. program สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิด heart attack ได้
โปรแกรมดงกล่าว มีส่วนช่วยให้ท่านเรียนรู้ว่า จะรับประทานอาหารให้เกิดความสมดุลได้อย่างไร
ตลอดรวมไปถึงการออกกำลังกายที่ปลอดภัย...

จริงอยู่ ภายหลังการเกิด heart attack ท่านจะรู้สึกกลัว และกังวล
ถ้าท่านรู้สึกไม่ดี หรือหมดหวัง แพทย์อาจช่วยเหลือท่านได้
การรักษาความเครียด อาจช่วยท่านให้คืนกลับสู่สภาพปกติได้.

Can you prevent a heart attack?

การเกิดอาการ heart attack เป็นผลจากโรคหัวใจโดยตรง
ดังนั้น การปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ สามารถชะลอ หรือปรับทิศทางของการพัฒนาโรคเส้นเลือดหัวใจได้
และสามารถป้องกันไม่ให้เกิดมีอาการ heart attack ได้
จากสถิติของชาวสหรัฐฯ heart attack ถือเป็นสาเหตุอันดับหนึ่ง ที่ทำลายชีวิตของคนชาวอเมริกา
ขั้นตอนต่อไปนี้ สามารถช่วยทุกคน เพื่อทำให้หัวใจมีสุขภาพดีขึ้น ดังนี้:

o อย่าสูบบุหรี่ และ หลีกเลี่ยงจากการสูดควันบุหรี่ของคนอื่น
การเลิกสูบบุหรี่สามารถลดความเสี่ยงไม่ให้เกิด heart attack และลดความตายได้
o รับประทานอาหารสุขภาพ เช่น ปลา ผลไม้ ผัก ถั่ว ธัญพืชที่มีสารใยสูง และน้ำมันพืช....
อาหารเหล่านี้ เป็นอาหารที่ทำให้สุขภาพของหัวใจดีขึ้น
o ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แพทย์เขาอาจแนะนำระดับการออกกำลังกายให้ท่านเอง
ควบคุมระดับความดันโลหิต และระดับไขมันในเลือด ให้เป็นปกติ
o รักษาเบาหวาน ลดความเครียด ความเครียด สามารถทำลายกล้ามเนื้อหัวใจได้
o ให้รับประทานแอสไพรินทุกวันตามที่แพทย์สั่ง

http://www.webmd.com/heart-disease/tc/heart-attack-and-unstable-an

Heart attack and Unstable Angina - Overview

What is a heart attack?

Heart attack หมายถึงภาวะที่เส้นเลือดของหัวใจเกิดการอุดตัน
ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และขาดออกซิเจน เป็นเหตุให้ส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจเริ่มตาย
เหมือนกับปลาที่ติดเบ็ด แทนที่เราจะล่อยลงน้ำไป แต่วางพ้นพื้นที่ปราศจากน้ำ ในไม่ช้า ปลามันก็จะตาย

เมื่อเกิดมี heart attack ขึ้น...ไม่ได้หมายความว่า มันจะทำให้คนตายได้ทุกราย
การรีบให้ความช่วยเหลือ (รักษา) ให้เลือดกลับสู่กล้ามเนื้อได้ทัน
เหมือนกับที่เราปล่อยปลาที่ติดเบ็ดลงน้ำไป ปลาก็รอดตาย
เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อหัวใจ ที่ได้รับเลือดได้ทัน และเป็นไปตามปกติ
ซึ่งสามารถช่วยชีวิตของคนเอาไว้ได้

เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อความหมาย จะขอใช้คำทับศัพท์ heart attack แทนคำว่า
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และขาดออกซิเจน

ซึ่งบ่อยครั้ง เราจะได้ยินแพทย์เรียก heart attack ว่าเป็น myocardial infarction (MI)
หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือ บางทีเขาเรียกว่า acute coronary syndrome
หรือบางทีเขาเรียกว่า unstable angina
ฟังแล้ว...ทำให้บางคนเกิดความสับสนไม่มากก็น้อย ?
ลองอ่านต่อไป อาจเข้าใจมากขึ้น

คำถามมีว่า angina คืออะไร? แตกต่างจาก unstable angina อย่างไร ?.

เมื่อมีใครพูดคำว่า angina มันหมายถึงอาการเจ็บหน้าอก (chest pain) ชนิดหนึ่ง
จะบอกว่า เป็นความรู้สึกไม่สบาย (discofort) ในทรวงอก ก็คงได้
ซึ่ง อาการจะเกิดขึ้นเมื่อ หัวใจไม่ได้รับเลือดเพียงพอกับความต้องการ มันจึง "ร้อง" ขอเลือด
หมือนกับเด็กร้องตอนหิวนม...โดยที่เด็กจะร้องต่อไปจนกว่า จะมีใครป้อนนมเด็ก
หัวใจของคนที่กำลังขาดเลือด ก็เป็นเช่นเดียวกัน ถ้ามันร้องด้วยอาการเจ็บหน้าอกแล้ว (angina)
มันยังไม่ได้รับในสิ่งที่มันต้องการ....มันอาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนเป็นโรคหัวใจ คือ ท่านจะต้องให้ความใส่ใจต่ออาการที่เกิดขึ้นกับท่าน
เข้าใจในธรรมชาติของมัน เรียนรู้ที่จะควบคุมมันให้ได้
และรู้ด้วยว่า...จะร้องของความช่วยเหลือจากแพทย์เมื่อใด

อาการต่าง ๆ ของ angina ประกอบด้วยอาการเจ็บหน้าอก หรือ แน่นในหน้าอก
หรือมีความรู้ประหลาดภายในหน้าอก
บางคนมีความรู้สึกประหลาดที่บริเวณด้านหลัง บางคนมีอาการเจ็บที่คอ, กราม , ต้นแขน ,
ไหล่ทั้งสองข้าง และ เจ็บที่บริเวณยอดอก

อาการเจ็บหน้าอก (angina) ถูกแบ่งเป็นสองชนิด:

o Stable angina อาการเจ็บอกชนิดคงที่ เป็นอาการเจ็บหน้าอกที่มีรูปแบบโดยเฉพาะ
ซึ่งท่านสามารถคาดการณ์ได้ว่า มันเกิดเมื่อหัวใจของท่านทำงานหนักเกินไป
เป็นภาวะที่ร่างกายต้องการออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น และอาการจะหายไปเมื่อท่านได้หยุดพัก

o Unstable angina อาการเจ็บหน้าอก ชนิดไม่คงที่ เป็นอาการเจ็บอกที่เกิดขึ้นได้โดย
ไม่คาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้น และการหยุดพัก หรือแม้กระทั้งได้รับยา nitroglyceri อาการยังไม่ดีขึ้น
ยังมีอาการเจ็บหน้าอกเหมือนเดิม ซึ่ง แพทย์อาจทำการวินิจฉัยว่า ท่านเป็น unstable angina
เมื่อท่านมีอาการต่าง ๆ เป็นครั้งแรก หรือเมื่อท่านมีอาการเลวลง เจ็บหน้าอกนานขึ้น เกิดอาการบ่อยขึ้น
และ มักจะเกิดในขณะที่ท่านกำลังหยุดพัก

เมื่อท่านเกิดอาการ unstable angina ขึ้น มันคืออาการเตือนที่กำลังบอให้ท่านได้ทราบว่า heart attack
หรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดกำลงจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ดังนั้น ท่านจะต้องลงมือให้การรักษาทันที เหมือนกับปลาที่ท่านตกเบ็ดได้...และกำลังดิ้นสุดชีวิตของมัน
ถ้าท่านปล่อยมันลงน้ำ...มันรอดตาย

แต่หากท่านไม่ปล่อยลงน้ำ....แตปล่อยมันไว้บนพื้นภาชนะที่ไม่มีน้ำ ปลามันจะตายในไม่ช้า
เช่นเดียวกัน การที่ท่านมีอาการเจ็บหน้าอก ไม่ได้รับเลือด-ออกซิเจนตามที่มันต้องการ
ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเกิดตายขึ้น (myocardial infarction) เราเรียกว่าภวนั้นว่า heart attack ขึ้น
มันเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน

อะไรคือสาเหตุทำให้เกิด heart attack ?

Heart attack จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจของท่าน ถูกอุดตัน
ซึ่งเกิดจากคราบไขมัน เกาะตัวบนผนังของเส้นเลือดแดง coronary artery
ถ้าเมื่อใดก็ตาม ที่ก้อนคราบไขมันบนผนังเส้นเลือดถูกทำให้แตก เกิดเป็นรอยแผลบนผิวด้านในเส้นเลือดแดง
ร่างกายของเราจะพยายามซ่อมแซม ด้วยการมีการสร้างก้อนเลือดรอบ ๆ บริเวณรอยแผลดังกล่าว
ทำให้มีก้อนเลือดเกิดขึ้น และสามารถทำให้เกิดการอุดต้น ไม่ให้เลือดไปลี้ยงกล้ามเนื้อ หัวใจได้

เมื่อเส้นเลือดแดง มีคราบไขมันไปเกาะตามผิวด้านในของเส้นเลือดของหัวใจนั้น
เรียกภาวะดังกล่าวว่า เป็น coronary artery disease (CAD)

มีคนเป็นจำนวนไม่น้อย ที่มีกระบวนการเกิดมีคราบไขมันไปเกาะในผนังเส้นเลือด ซึ่งเกิดในสมัยเป็นเด็ก
คราบไขมันที่สร้างขึ้นนั้นจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัยของเด็กที่เจริญเติบโตขึ้น

คราบไขมันดังกล่าว อาจเพียงพอต่อการทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก( angina)กล้ามเนื้อหัวใจยังไม่ตาย
แต่ มีบ่อยครั้ง คนไข้อาจมาพบแพทย์ด้วยอาการเจ็บหน้าอก
ซึ่งเป็นอาการแรกของ Heart attack ก็ได้

การออกแรงอย่างหนัก เกิดอารมณ์เสียอย่างรุนแรง หรือ จากการใช้ยาผิดกฎหมาย เช่น cocaine
สามารถทำให้เกิดการหดตัว (spasm) ของเส้นเลือดหัวใจ และทำให้เกิด heart attack ขึ้นได้


Continue > Heart attack and unstable angina: Overview

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

Anti-platelet therapy:

มีคนไข้สูงอายุจำนวนหนึ่ง มารับการบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาล
ด้วยโรคประจำตัวหลายโรคด้วยกัน...เช่น ความดัน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง...
ในคนไข้เหลานั้น...ส่วนใหญ่จะได้รับยาต่อต้านเกล็ดเลือด (anti-platelet)ด้วย
บางรายได้รับ aspirin บางรายได้ Plavix (clopidogrel)
บางรายได้ทั้งสองตัว คือ ทั้ง aspirin และ plavix...
คำถามจึงเกิดขึ้นว่า:

"มีหลักเกณฑ์...อย่างไร ?"

Which is right for which patients?

ภายหลังจากการใช้แอสไพริน ในขนาดต่ำ ๆ สามารถลดความเสี่ยงต่อการทำให้หัวใจขาดเลือด
ปรากฏว่า มียาต้านเกล็ดเลือด (anti-platelet)ถูกผลิตออกมาหลายตัว
เช่น clopidogrel (Plavix), aspirin-dipyridamole (Aggrenox)
และ prasugrel (effient)

ผลจากการตลาดสู่แพทย์ผู้ทำการรักษา
ปรากฏว่า clopidogrel ได้กลายเป็นตัวเลือกตัวที่สองลองจากแอสไพริน
ประเด็นที่หยิบยกมา คือ ยาใหม่ที่ผลิตขึ้นนั้น มีปะสิทธิผล และปลอดภัยกว่ายา แอสไพรินหรือไม่?

ที่รู้แน่ ๆ ยาที่ผลิตออกมาใหม่ มีราคาแพงกว่ายาแอสไพรินหลายเท่า
ยกตัวอย่าง clopidrogel ต้องจ่าย 160 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน ,
dipyridamole-aspirin ต้องจ่าย 180 เหรียญต่อเดือน
ส่วยแอสไพริน จ่ายแค่ 1.30 เหรียญต่อเดือนเท่านั้น
จะเห็นว่าราคาต่างกันมากทีเดียว

ลองมาดูซิว่า...ประสิทธิผลมันคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายหรือไม่ ? และเขาใช้ในกรณีไหนบ้าง ?

จาการศศึกษาของ the CURE, COMMIT and CLARITY
ในกลุ่มคนไข้ Acute cornonary syndrome (ACS)
มีการเปรียบเทียบการใช้ยา clopidogrel (plavix) + aspirin กับ ยา aspirin ตัวเดียว
พบว่าในคนไข้ทีเป็นโรค unstable angina และรายที่เป็นกล้ามเนื้อหัวใจตาย (MI)
การใช้ยาร่วมระหว่าง clopidogrel + aspirin
จะเหนือกว่าการใช้ aspirin เพียงอย่างเดียว

นอกจากนั้น การรักษาภาวะดังกล่าวด้วย clopidogrel + aspirin ในระยะสั้น
จะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือด ในกระเพาะอาหาร
แต่หากใช้ยา (ร่วม)ในระยะยาว คนไข้มีโอกาสเสี่ยงต่องการตกเลือดในกระเพาะเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การใช้ยาสองตัวร่วมกัน จึงควรพิจารณาผลประโยชน์ที่จะได้จากยาให้มาก

ยาต้านเกล็ดเลือดตัวใหม่(2007)- prasugrel (Effient)
เมื่อใช้ร่วมกับ aspirin แล้ว จะได้ผลดีกว่าการใช้ clopidogrel+ aspirin
โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้กับคนไข้ ที่ได้รับ percutaneous coronary intervention (PCI)
แต่ prasugrel+aspirin มีความเสี่ยงต่อการตกเลือดในกระเพาะได้มากกว่า clopidogrel+aspirin

นอกจากนั้น ยังพบต่อไปอีกว่า ถ้าคนไข้น้ำหนักน้อยกว่า 75 kg
การใช้ยา prosugrel+aspirin จะมีผลเสียต่อการทำให้เกิดการตกเลือด มากกว่าประโยชน์

ในคนไข้เป็นโรคเส้นเลือดของหัวใจ หลังการทำ percutaneous coronary intervention (PCI)
แพทย์จะสั่งยา Clopidogrel + aspirin แก่คนไข้ ทุกราย
นั้นเป็นมาตรฐานของการรักษาหลังการผ่าตัดดังกล่าว

ในปัจจุบัน มีการถกเถียงถึงผลประโยชน์ ที่พึงได้รับจากการให้ยาร่วมกัน
เพื่อต้านเกล็ดเลือดว่า มีประโยชน์เหนืออันตรายจริงหรือไม่ ?

ในคนไข้ที่เป็น ACS หรือในรายทีได้รับการผ่าตัด PCI
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมีการสร้างก้อนเลือดในเส้นเลือดแดงขึ้น
คนไข้ควรได้รับยา clopidogrel + aspirin เป็นเวลาหน 1 ปี
หรือให้ prasugrel + axpirin เป็นเวลา 15 เดือน (เป็นทางเลือก)
โดยมีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น คนไข้สูงอายุกมาก หรือ คนไข้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าปกติ
เพราะคนไข้พวกนี้ จะได้รับผลเสียมากกว่าผลดี

ในที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจ ชนิดคงที่ (Stable coronary artery disease)
รวมทั้งคนไข้ที่เป็น stable angina
การใช้ยาร่วม (clopidogrel+aspirin) ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มีประโยชน์จริง?

จากการทดลองของ CHARISMA ในคนไข้ทีมีอาการจากโรคเส้นเลือด (vascular disease)
รวมทั้งคนไข้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction)
และในรายที่เป็น stable angina
หรือในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการการเกิดโรคดังกล่าว
ปรากฏผลว่า การใช้ยาสองตัวร่วมกัน clopidogrel + aspirin
ได้ผลเท่ากับการให้ยา aspirin เพียงตัวเดียว

จากกลุ่ม CAPRIE รักษาคนไข้ที่เป็นโรคเส้นเลือดของหัวใจที่เป็นไม่นาน
และมีการตายของกล้ามเนื้อของหัวใจ (myocardial infarction)
การใช้ยา clopidogrel จะสูงกว่าการใช้ aspirins เพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ในคนที่มประวัติเป็น coronary artery disease, stroke หรือ TIA,
หรือในรายที่การผ่าตัด bypass, เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดมากกว่าหนึ่งครั้ง,
มีโรคเบาหวาน (diabetes) และ มีระดับไขมันในเลือดสูง (high cholesterol)
คนไข้พวกนี้ ควรได้รับ clopidogrel (plavix)

โดยสรป การใช้ clopidogrel สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (chronic)
ไม่มีหลักฐานเพียงพอสนับสนุนให้ใช้ยา clopidogrel

ในคนไข้ที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจชนิดคงที่ (stable coronary disease)
เขาแนะนำให้ใช้ clopidogrel เฉพาะรายที่มีอัตราเสี่ยงสูงเท่านั้น
นอกนั้น แนะนำให้ใช้ยา aspirin แทน

ในรายที่สมองขาดเลือด (Stroke)

สำหรับคนไช้สมองถูกทำลายจากการขาดเลือด (stroke)
หรือสมองขาดเลือดชั่วคราว (transient ischemic attack)
ได้มีการใช้ aspirin และ clopidogrel อย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว
เปรียบเทียบกับการใช้ยาร่วม clopidogrel + aspirin หรือ aspirin+dipyridamol

ปรากฏว่า ในรายที่สมองขาดเลือดมาไม่นาน (ภายใน 3 เดือน)
แนะนำให้ใช้ clopidogrel หรือ aspirin-dipyridamole
สำหรับรายที่สมองขาดเลือดมานานแล้ว แนะนำให้ใช้ aspirin

โรคเส้นเลือดของขา (Peripheral arterial diseases):

ผลจากการศึกษาของกลุ่ม CAPRIE ชี้ให้เห็นว่า ในคนไข้ที่เป็นโรคเส้นเลือดแดงของขา ที่มีความรุนแรง
การใช้ยา Clopidogrel (plavix) จะมีผลดีกว่าการใช้ aspirin
Aspirin+clopidogrel จะได้ผลไม่เหนือกว่าการใช้ aspirin แต่เพียงอย่างเดียว
โดยสรุป ในคนไข้ที่เป็นเส้นเลือดแดงของขา (PAD)
แนะนำให้ใช้ clopidogrel เพียงตัวเดียว

Primary Prevention:

มีการศึกษาจำนวน 6 รายเกี่ยวกับบทบาทของยา aspirin
ในการป้องกันไมให้เกิดโรคเส้นเลือด(แดง)
ยาทุกตัวที่เป็นสารต้านเกล็ดเลือด จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดในกระเพาะอาหาร และในสมองได้
แม้ยา aspirin ที่ใช้จะเป็นเพียงขนาดต่ำ ๆ เท่านั้น

ในการใช้ยาเพื่อป้องกันโรค พบว่า ชายจะได้ผลดีจาการใช้ aspirin
ในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย (MI) ซึ่งมีผลดีกว่าในผู้หญิง

การใช้ยาต้านเกล็ดเลือด สามารถทำให้เกิดการตกเลือดในกระเพาะอาหาร และสมองได้
ดังนั้น ก่อนใช้แอสไพริน เพื่อทำหน้าที่ปกป้องหัวใจ และสมอง
ควรต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ และอันตรายที่พึงได้รับให้ดี...

http://www.rxfacts.org/professionals/antiplatelet.php

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

Angina and heart attack: มันต่างกันอย่างไร ?

Angina and heart attack ต่างเป็นอาการแสดงของโรคหัวใจ
ที่มีความต่อเนื่องกัน จากความรุนแรงน้อย ไปสู่ความรุนแรงทีมากกว่า

Angina หมายถึงภาวะของความไม่สมดุล ที่เกิดขึ้นระหว่างอุปสงค์ และอุปทาน
นั่นคือ กล้ามเนื้อไม่ได้รyบเลือด และออกซิเจนได้เพียงพอ กับความต้องการ
เหมือนกับเด็กหิวนมอย่างนั้นแหละ...
เมื่อเด็กหิวนมแม่ เด็กจะร้อง..จนกว่าจะได้รับในสิ่งที่เด็กต้องการ
นั้นคือ "น้ำนม" จากมารดา

กล้ามเนื้อหัวใจก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ ที่มันไม่ได้เลือด - ออกซิเจนตามที่มันต้องการ
มันก็จะร้องเหมือนกับเด็กหิวนมมารดา โดยร้องในรูปแบบของอาการเจ็บหน้าอก
หรือบางทีมีอาการปวดที่บริเวณกระดูกกราม
นั่นคือภาวะที่เราเรียกว่า angina เป็นภาวะที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อหัวใจ

แต่หากปล่อยไว้นาน ๆ หัวใจที่ขาดเลือด ...ร้องขอแล้วยังไม่ได้เลือดสมใจ
ในที่สุด กล้ามเนื้อหัวใจก็จะตาย (myocardial infarction)
เป็นภาวะที่เขาเรียกว่า heart attack
เป็นภาวะที่หัวใจ "ร้อง" เหมือนกับภาวะ angina
จะแตกต่างกันตรงที่ กล้ามเนื้อของกรณีแรกนั้น(angina) กล้ามเนืื้อหัวใจ ยังไม่ตาย
เหมือนภาวะของ heart attack

นั่นเป็นความเข้าใจของคน ซึ่งไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญทางโรคหัวใจ
ฟังดูแล้วเหมือนจะง่าย...?

ลองฟังตัวอย่างต่อไปนี้ดู อาจทำให้เราเข้าใจดีขึ้น

สมมุติ ท่านไปตกเบ็ด และโชคดีท่านตกได้ปลามาตัวหนึ่ง

สิ่งที่ท่านเห็น ปลาจะพยายามสุดชีวิตของมัน เพื่อให้หลุดจากเบ็ด

เหมือนกับเด็กร้องหิวนม หรือ

เหมือนกับหัวใจร้องต้องการเลือดและออกซิเจน (angina)

และท่านมีทางเลือกอยู่สองทาง:

หนึ่ง ปล่อยปลากลับลงน้ำไป...ปลารอดตาย
ในขณะดิดเบ็ด ห้องต่องแต่งที่ปลายเชือกสายเบ็ด ปลาอยู่ในสภาพ angina

ทางที่สอง ท่านจับปลาใส่ตระกล้า อะไรจะเกิดขึ้น ?

ปลาตายครับ....

ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ heart attack

ความแตกต่างระหว่าง angina และ heart attack ก็คงเป็นเช่นนั้นแล...

Coronary artery disease: Prevention (continues)

Prevention
ถัดจากการเป็นโรคสมองขาดเลือด (brain attack) แล้ว
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (heart attack)
ก็เป็นอีกโรคหนึ่ง ที่ไม่มีใครพิศวาศมันเลย
แล้วเราจะทำอย่างไร ?

ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องรู้อาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เมื่อเราเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าวดีขึ้น การแก้ปัญหาย่อมกระทำได้โดยไม่ยากนัก

ตามปกติ เราสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด & ออกซิเจน ได้ไม่ยาก
โดยปฏิบัติตามแนวทาง เพื่อให้มีชีวิตอย่างมีสุขดังนี้:

o ไม่สูบบุหรี่โดยเด็ดขาด
o รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น มันสัตว์ หนังสัตว์
o ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อหนึ่งอาทิตย์ เป็นอย่างต่ำ
สำหรับท่านที่สนใจแต่การทำงานนั่งโต๊ะ ไม่เคยออกกำลังกายเลย
ก่อนออกกำลังกาย ท่านจะควรปรึกษา และตรวจร่างกายจกแพทย์เพื่อควมปลอดภัย ก่อนที่จะเริ่มออกกำลังกาย
o ลดน้ำหนักตัวส่วนที่เกินลง
o ตรวจเชคความดันโลหิต และ ระดับไขมันในเลือดอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมให้เป็นปกติ

o แพทย์ของท่านอาจแนะนำให้ท่านรับประทาน aspirin ขนาดต่ำ ๆ ทุกวัน
(ถ้าท่านมีปัจจัยเสียงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดแข็ง-CAD)
Aspirin จะทำหน้าที่ไม่ให้เกิดมีสร้างก้อนเลือดขึ้น เป็นการป้องกัน หรือลดอัตราเสี่ยง
ต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (heart attack) ได้
อย่างไรก็ตาม การทำดังกล่าว ควรได้ปรึกษาแพทย์ก่อน

สำหรับสตรีที่กำลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน อาจจำเป็นต้องปรึกษากับแพทย์
เพื่อพิจารณาเรื่องป้องหัวใจ (cardioprotective) ว่า เราควรชดเชยระดับ estrogen
ที่ลดลงหรือไม่(estrogen replacement therapy)

อาการแสดง และการตรวจต่าง ๆ (Signs and tests):
ในการวินิจฉัยโรค จำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์หลายอย่าง
โดยทั่วไป แพทย์จะสั่งตรวจมากกว่าหนึ่งอย่างเสมอ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาช่วยทำการวินิจฉัยโรค
ซึ่งมีการตรวจที่เราควรรู้ดังนี้ :

o Coronary angiography/arteriography (invasive tiest)
เป็นการตรวจที่มีการเจ็บตัว เพื่อประเมินความผิดปกติของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ
(coronary ateries) โดยอาศัยภาพทางเอกซเรย์เป็นตัวช่วย
o CT angiography (ono-invasive test) เป็นการตรวจ ที่คนไข้ไม่ต้องเจ็บตัว
เป็นการตรวจดูเส้นเลือดหัวใจโดยตรง (coronary angiography) เป็นกรตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าของหัวใจ
o Electron-beam computed tomography (EBCT) เป็นการตราจ
เพื่อมองหาสารแคลเซี่ยมในผนังหนังชั้นในของเส้นเลือดแดง
ปริมาณของสารแคลเซี่ยมที่ปราฏในผนังเส้นเลือด ยี่งมีปริมาณมากย่อมหมายถึงโอกาสที่จะเป็นโรคเส้นเลือดย่อมมีได้สูง
o Exercise stress test
o Heart CT scan
o Magnetic resonance angiography
o Nuclear stress test

การรักษา:
ในระหว่างที่ท่านได้รับการรักษา
ท่านอาจได้รับคำแนะนำ ให้รับประทานยาเพื่อรักษาโรค
เช่น ยารักษาความดัน, เบาหวาน, และลดระดับไขมันในเลือด
ซึ่งท่านจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งคัด
เพื่อช่วยป้องกัน ไม่ให้เป็นโรคเส้นเลือดของหัวใจที่ท่านมีอยู่เลวลง

เป้าหมายของการรักษาโรคเส้นเลือดของหัวใจ:
o ต้องรักษาระดับความดันให้ต่ำกว่า หรือเท่ากับ 140/90
o ในกรณีที่เป็นโรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจวาย ต้องให้ระดับความดันต่ำกว่านั้น(<130/80)
o ถ้าเป็นเบาหวาน ต้องให้ glycosylated heoglogin (HBA1c) มีค่าต่ำกว่า หรือเท่ากับ 7 %
o ระดับของไขมันในเลือด (LDL cholesterol) ต่ำกว่า หรือเท่ากับ 100 mg/dL

ในการรักษา ย่อมขึ้นกับอาการของคนไข้ มีความรุนแรงมากน้อยแค่ใด
ยาที่คนไข้จะได้รับ เพื่อการรักโรคเส้นเลือดหัวใจ (CAD หรือ CHD) ได้แก่:

o ACE inhibitors เป็นยาลดความดัน และช่วยปกป้องหัวใจ และไต
o Aspirin อาจให้ร่วมกับ (หรือไม่ร่วม) clopidogrel (plavix)
หรือ prasugrel (Effient) เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อนในเส้นเลือดได้
o Beta-blockers สามารถลดการเต้นของหัวใจ, ลดความดัน
และช่วยให้หัวใจใช้ออกซิเจนได้ดีขึ้น
o Calcium channel blockers ทำให้เส้นเลือดแดงคลายตัว ลดความคันโลหิต
และลดความเค้นของกล้ามเนื้อหัวใจลง
o Diuretics ("water pills") ลดความดันโลหิต และ รักษาโรคหัวใจลมเหลว
o Nitrates (such as nitroglycerin) ลดอาการเจ็บหน้าอก
ช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดไปยังหัวใจดีขึ้น
o Statins ลดระดับไขมัน (cholesterol)

ข้อควรจำ:
ในระหว่างได้รับการรักษาด้วยยาตามที่กล่าวมา ท่านจะต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
อย่าได้หยุดยาโดยแพทย์ไม่ได้สั่งเป็นอันขาด
เพราะการเลิกยา....สามารถทำให้อาการเจ็บหน้าอก-angina อาจเลวลง
และที่แย่ไปกว่านั้น สามารถทำให้โรคหัวใจขาดเลือดของท่านเลวลวง

เพื่อทำให้สุขภาพของหัวใจดีขึ้น...แพทย์อาจแนะนำให้ท่านเข้าสู่โปรแกรม
cardiac ehabilitation

นอกจากยารักษา คนไขที่เป็นโรคเส้นเลือดของหัวใจ CAD หรือ CHD อาจได้รับ
การรักษาด้วยวิธีทางศัลยกรรมได้ เช่น

o Angioplasty and stent placement
o Coronary bypass surgery
o Minimal invasive heart surgery
• Angioplasty and stent placement,
called percutaneous coronary interventions (PCIs)
• Coronary artery bypass surgery
• Minimally invasive heart surgery

LIVE A HEALTHY LIFESTYLE
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป:
ท่านสามารถอยู่ร่วมกับโรคเส้นเลือดและหัวใจ (CAD) ได้
โดยไม่เป็นอันตราย ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของท่านดังนี้:
o ไม่สูบบุหรี่โดยเด็ดขาด
o ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน
o 5 วัน ต่อหนึ่งอาทิตย์
o รักษาน้ำหนักของท่านให้อยู่ในระดับปกติ โดยมุ่งไปที่ body mass index (BMI)
ของทั้งชาย และหญิง ควรให้อยู่ระหว่าง 18.5 – 24.9
o ควรรักษาอาการซึมเศร้าให้หายขาด (ถ้ามี)
o สำหรับสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ควรรับประทาน omega-3 fatty acid
o ถ้าคุณดื่ม...ควรบังคับตัวเองไม่ให้ดื่มเกินหนึ่งแก้วต่อวันสำหรับสตรี สองแก้สำหรับชาย

อาหารมีความสำคัญต่อสุขภาพของหัวใจ และช่วยควบคุมความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ได้แก่:
 เลือกรับประทานอาหารทีเป็นผลไม้ ผัก แฃะธัญพืช
 เลือกาอาหารประเพทเนื้อ-lean proteins เช่น เนื้อไก่, ปลา, ถั่ว และ ถั่วเหลือง
 เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น 1 % milk & low–fat yogurt
 หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม อาหารกระป๋อง
 ให้ลดอาหารที่เป็นผลิตผลจากสัตว์ ซึ่งประกอบด้วยไขมัน (cheese) ครีม (cream) หรือ ไข่ลง
 ให้กำจัดอาการประเภท saturated fat” หรือพวก “hydrogenated fats
เพราะอาหารพวกนี้เป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

Expectations (prognosis):

คนบางคนสามารถรักษาสุขภาพของตนเอง ด้วยการปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารการกิน
เลิกสูบบุหรี่ รับประทานยาตรงตามเวลาที่แพทย์สั่ง
คนไข้บางราย อาจจำเป็นต้องทำ angioplasty หรือการผ่าตัด
แม้ว่าคนเราจะต่างกัน การที่เราสามารถตรวจพบโรค CHD ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
เราย่อมได้รับผลของการรักษาที่ดีกว่าอย่างแน่นอน

http://www.umm.edu/ency/article/007115all.htm
http://www.mayoclinic.com/health/heart-disease/DS01120/DSECTION

Coronary Artery Disease (Ischemic Heart Disease)

หนุ่มวัยกลางคนถูกนำส่งห้องฉุกเฉินด้วยอาการแน่นหน้าอกอย่างแรง
หายใจลำบาก อาการเกิดในขณะที่ออกแรงมากกว่าปกติ
และ โชคดี ด้วยความช่วยเหลือของคนไกล้เคียง....
หนุ่มผู้โชคร้ายคนดังกล่าว จึงรอดพ้นจาก อันตรายจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด....
และสิ่งที่ชายคนนั้นเป็น คือ Heart attack นั่นเอง

Coronary artery disease (CAD)
เป็นสาเหตุนำชนิดหนึ่ง ที่คร่่าชีวิตของผู้คนลงโดยที่บางคนประมาท ไม่ใส่ใจตัวเองเท่าที่ควร
จากสถิติของชาวสหรัฐฯ มีคนตายจากโรคเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจถึง 5 ล้านคน
CAD เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจ ที่เกิดการตีบแคบขึ้น
โดยมีสาเหตุจากคราบ (plague)ของไขมัน ไปจับตัวตามผนังของเส้นเลือดดังกล่าว
ซึ่งเรียกว่า atherosclerosis

เมื่อเอาส่วนของคราบไขมันที่เกาะตามผนังเส้นเลือดมาตรวจดู
พบว่า มันประกอบด้วยไขมัน (cholesterol-rich fatty deposits),
คอลลาเกน (collagen) , โปรตีน (protein) และมีเซลล์ของกล้ามเนื้อเรียบ
(smooth muscle cells) เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากมาย

เห็นส่วนประกอบของคราบน้ำมัน จึงตอบความสงสัยได้ว่า
ทำไมเส้นเลือดจึงเกิดการหนาตัวตัว และทำให้เส้นเลือดเกิดแคบลง

โรคเส้นเลือดแข็ง (atherosclerosis)
มักจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้อย่างช้า ๆ ดำเนินอย่างต่อเนื่องตลอดอายุขัยของคนไข้เอง
ทำให้ผนังเส้นเลือดแดงหนาตัว เป็นหตุให้เส้นเลือดตีบแคบลง
ยังผลให้การไหลเวียนของเลือดผ่านได้ไม่สะดวก กล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้รับเลือด-ออกซิเจนเพียงพอ
เกิดภาวะที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ischaemia ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก
คนไข้บางรายบอกว่า เหมือนตะคริวกินหน้าอก

เมื่อผนังเส้นเลือดที่หนาตัวจากคราบไขมัน จะทำให้ผิวด้านในของเส้นเลือดไม่เรียบ มีลักษณะขลุขระ
จนเป็นเหตุให้มีการจับตัวของเกล็ดเลือด มีการสร้างก้อนเลือดได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเกิดขึ้นกับเส้นเส้นเลือดของหัวใจ (coronary artery) จะเป็นเส้นเดียว หรือหลายเส้นกตาม
สามารถทำให้เกิดการอุดตันได ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด..และเกิดอาการ heart attack

แม้ว่าโรคเส้นเลือดของหัวใจ เป็นโรคที่น่ากลัว สามารถก่อให้เกิดความตายอย่างฉับพลันได้ก็จริง
แต่คนที่เป็นโรคดังกล่าว สามารถทำให้เขาอยู่กับโรคที่เขาเป็นได้อย่างมีความสุข
ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต สามารถชะลอโรคของเส้นเลือดลงได้
เช่น เลิกสูบบุหรี่ ปรับเปลี่ยนอาการหารการกิน และออกกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
พร้อมกับการได้รับยาลดความดันโลหิตสูง และลดระดับไขมันในเลือดลงสู่ระดับปกติ

นอกจากนั้น อาจมีการปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มเป้าหมายการรักษาด้วยวิธีการอยางอื่น
เช่น การผ่าตัด เพื่อทำให้การไหลเวียนของเลือดสู่กล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น
สามารถทำให้ชีวิตของคนไข้ยืนยาว อย่างมีความสุขได้

จะพบแพทย์เมื่อใด ?
ถ้าท่านมีอาการต่อไปนี้...อย่าได้รอช้าเป็นอันขาด:

o เมื่อท่านมีความรู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก มีคลื่นไส้-อาเจียนหรือไม่ไม่สำคัญ
o เคยมีประวัติว่า เจ็บหน้าอก (angina) มาก่อน เมื่อพักผ่อนแล้ว 10 – 15 นาที
แล้วอาการยังไม่หาย....ไป พบแพทย์ หรือเรียกแพทย์ทันที
o ปวดหน้าอกอย่างรุนแรง (intense chest pain)เป็นครั้งแรก

อาการ:
ในระยะเริ่มแรกของการเป็นโรคเส้นเลือดของหัวใจ (coronary artery disease)
ส่วนมากจะไม่มีอาการใด ๆ และ...โรคอาจเกิดกับคนไข้ตั้งแต่อายุยังน้อย (pre-teen)

เมื่อเวลาผ่านไป ไขมันที่เกาะตามผนังเส้นเลือด จะรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อคราบที่เกาะตามผิวหลุดไป จะมีรอยแผลเกิดขึ้น มีการซ่อมแซมบริเวณที่เป็นรอยแผล
ตามด้วยการเกิดพังผืด (scarring) ทำให้รูของเส้นเลือดแคบลง เป็นเหตุให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้พอ
ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าขึ้น (angina pectoris)
ซึ่งมักจะเกิดขึ้น ในขณะออกแรง หรือขณะที่มีความเครียด(เป็นระยะเวลาที่หัวใจต้องการออกซิเจนมากที่สุด)

ภาวะที่เกิดมีอาการเจ็บหน้าอก (angina) เมื่อได้พัก อาการจะหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่เวลาผ่านไปนานแล้ว อาการเจ็บหน้าอก อาจเกิดขึ้นได้จากการออกแรงแต่เพียงเล็กน้อย
สุดท้าย จะนำไปสู่การเกิดอาการจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดออกซิเจน
และ มีการตายของกล้ามเนื้อหัวใจขึ้น

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า คนเป็นโรคเส้นเลือดของหัวใจ (atherosclerosis)
มีประมาณ 1/3 อาจไม่เคยมีอาการเจ็บหน้าอก (angina) หรือ
ไม่เคยมีภาวะหัวใจขาดเลือด (heart attack) มาก่อน
แต่อาจเกิดอาการของโรคหัวใจอย่างฉับพลันขึ้นได้ โดยไม่มีอาการเตือนแต่อย่างใด

เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของท่านเอง
ถ้าท่านมีอาการต่อไปนี้... ต้องเรียกรถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลทันที:

 เมื่อท่านเกิดมีอาการเจ็บหน้าอก (angina) หรือ มีอาการแน่น แสบร้อน
หรือ หนักในหน้าอก กินเวลาประมาณ 30 วินาที ถึง 5 นาที

 อาการเจ็บหน้าอก หรือความไม่สบายหน้าอก มักจะอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางใต้กระดุกหน้าอก
อาการปวดอาจมีการร้าวไปที่ต้นแขน ส่วนมากจะเป็นด้านซ้าย หรือปวดร้าวไปที่คอ หรือตามกระดูกกราม
อาการเจ็บหน้าอก มักจะเกิดในขณะที่มีการออกแรง หรือมีความเครียด อาการจะหายไปเมื่อได้รับการพักผ่อน
คนไข้พอที่จะคาดคะเนได้ว่า จะออกแรงมากน้อยแค่ใดจึงจะเกิดอาการ
บ่อยครั้ง คนที่มีอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ (angina)
อาจสับสนทำใหเข้าใจผิดคิดว่า เป็นโรคกระเพาะอักเสบ (heartburn)ก็ได้

 หายใจลำบาก สั้น-ถี่ (shortness of breath) วิงเวียน (dizziness)
ร่วมกับอาการเจ็บอก

 มีอาการเจ็บหน้าอกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หรือ เกิดมีอาการเจ็บหน้าอกแม้ขณะพัก
ซึ่งเป็นอาการที่ควรพบแพทย์อย่างรีบด่วน เพราะมันบ่งบอกให้ทราบว่า
อาการเจ็บอกที่เกิดในขณะพัก เป็นอาการบ่งชี้ว่า เป็น unstable angina
ซึ่งควรได้รับการเอาใจใส่จากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นตัวบ่งชี้ว่า จะเกิดมีกล้ามเนื้อหัวใจตายขึ้นในไม่ช้า

Causes
ในโรคเส้นเลือด coronary arterial disease
จะทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดน้อยลง
ถ้าเส้นเลือดตีบแคบไม่มาก จะเกิดมีอาการเมื่อมีการออกแรงเท่านั้น
เพราะในขณะที่ออกกแรง กล้ามเนื้อหัวใจต้องการออกซิเจนมากกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม เมื่อโรคเลวลง เส้นเลือดที่แคบมากขึ้น สามารถทำให้กล้ามเนื้อหัวใจ
ขาดออกซิเจนในขณะที่ทำงานตามปกติ หรือขณะที่พักผ่อนได้

• Smoking. การสูบบุหรี่จะส่งเสริมการสร้างคราบไขมันในเส้นเลือดให้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนั้น การสูบบุหรี่ ยังทำให้ระดับ carbon monoxideในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
เป้นเหตุให้ผิวด้านในของเส้นเลือดถูกทำลายได้ง่ายขึ้น เป็นเหตุให้เกิดโรคเส้นเลือดแข็งได้มากขึ้น

• High blood cholesterol. ระดับไขมันในกระแสเลือด
จะนำไปสู่การเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจ (coronary artery disease)
ไขมัน LDL จะเข้าสู่เซลล์ที่บุผิวของผนังเส้นเลือด และรวมตัวกลายเป็นคราบไขมันในที่สุด

• High blood pressure โรคความดันโลหหินสูง มีแนวโน้มทำให้เกิดโรคเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจ

• Diabetes mellitus โรคเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการทำห้เกิดโรคเส้นเลือดแข็ง
(atherosclerosis)

• Obesity ก็สนับสนุนให้เกิดเส้นเลือดแข็งเช่นกัน

• Lack of exercise การทำงานนั่งโต๊ะ ไม่ค่อยออกกำลังกาย
เป็นปัจจัยส่งเสริมได้เกิดโรคเส้นเลือดแข็ง

• เพศชาย มีความเสี่ยวต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจได้มากว่าสตรี

• สำหรับสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิด ร่วมกับการสูบบุหรี่
จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดแข็งได้สูง

• ประวัติครอบครัวของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด (heart attack)
มีโอกาสเกิดร่วมกับการเป็นโรคเส้นเลือดแข็ง

• การหดเกร็ง (spasm) ของกล้ามเนื้อของผนังเส้นเลือด
อาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก (angina) ซึ่งเกิดจาก การสูบบุหรี่ ภาวะเครียดจัด หรือสัมผัสความเย็นจัด

Continue > CAD : prevention

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

Brain's Aneurysm

What is a Brain Aneurysm?
มีกระทาชายนายหนึ่ง...
ถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการ “ปวดศีรษะอย่างแรง...”
ผลจากการตรวจของแพทย์ บอกว่า
ชายคนนั้นเป็นโรคเส้นเลือดแดงในสมองเกิดโป่งพอง (aneursysm)
คำถามที่ตามมามากมาย...มันเกิดได้อย่างไร ? ทำไมต้องเป็นเขา ?
และ ...?

Aneursysm หมายถึงภาวะที่ผนังเส้นเลือดแดงเกิดโป่งพอง
ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ เมื่อผนังของเส้นเลือดบางส่วนเกิดยืดตัว และมีความอ่อนแอลง (หย่อนยาน)
โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การอักเสบ (infection) ได้รับบาดเจ็บ (trauma)
ความดันโลหิตสูง (high blood pressure) หรือ เป็นผลเนื่องมาจาก
ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เป็นเหตุให้เกิดเส้นเลือดอ่อนแอ

ผนังเส้นเลือดโป่งพอง (aneurysm) อาจกลายเป็นปัญหาคุกคามชีวิตมนุษย์ ทำให้ตายได้
โดยเฉพาะมันสามารถแตก และเลือดตกภายในสมองได้
เลือดที่ไหลออกจากเส้นเลือดที่แตก จะไหลเข้าสู่ช่องที่มน้ำประสาท และไขสันหลัง (cerebrospinal fluid)
มีการสร้างก้อนเลือดเกิดขึ้น และแล้วก้อนเลือดดังกล่าวจะกดเนื้อสมอง
เป็นเหตุให้สมองตายได้

เมื่อเส้นเลือดแดงโป่งพอง เกิดแตก มีเลือดเข้าสู่กระโหลกศีรษะ
สามารถลดการไหลเวียนของเลือดสู่สมองลง
ทั้งสองกรณี สามารถทำให้สมองขาดเลือด และสมองตาย (stroke)

Early Symptoms of Brain Aneurysms, Brain Aneurysm Warning Signs
เส้นเลือดโป่งพองที่อยู่ในสมอง ถ้าไม่แตก จะไม่มีอาการ และอาการแสดงใด
จนกว่า เส้นเลือดโป่งพองจะแตกขึ้นเสียก่อน

ในบางครั้ง เส้นเลือดโป่งพอง อาจไปกดที่บริเวณเนื้อเยื้อของสมอง
และทำให้เกิด:

o ปวดศีรษะ (headache)
o มีอาการชา (numbness)
o ปวดทีีบริเวณหลังลูกตา
o มองเห็นภาพเปลี่ยนไป
o กล้ามเนื้ออ่อนแรง (แขน-ขา)

โดยทั่วไป แพทย์สามารถติดสินได้ว่า คนไข้เป็นโรคเส้นเลือดในสมองเกิดการโป่งพอหรือไม่
โดยอาศัย อาการ และอาการเตือนต่าง ๆ ของคนไข้ ร่วมกับการตรวจภาพของเส้นเลือด
เช่น CT หรือ MRI scans และ angiograms (การตรวจเส้นเลือด)
อาจมีประโยชน์ในการวางแผนการรักษาต่อไป
นั่นเป็นกรณีที่เส้นเลือดังกล่าวเกิดแตกขึ้นมา...

ส่วนในรายที่เป็นเส้นเลือดเส้นเล็กในสมองเกิดการโปงพอง และยังไม่มีการแตกเกิดขึ้น
อาจไม่จำเป็นต้องทำการรักษา แต่แพทย์อาจมีการประเมินโรคเส้นเลือดโปงพองเป็นระยะ
เพื่อดูว่า โรคเส้นเลือดดังกล่าว มีขนาดโตขึ้นหรือไม่?

ในกรณีที่จำเป็นต้องทำการรักษา แพทย์อาจตัดสินใจว่า ควรทำ surgical clipping
หรือทำ endovascular coiling เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพาวะสมองขาดเลือด

สำหรับรายที่เส้นเลือดโป่งพอเกิดมีการแตกขึ้น ถือเป็นเรื่องฉุกเฉินที่ควรได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน

Treatment of Brain Aneurysms
แน่นอน แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่า อะไรคือการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ (aneursysm)
โดยพิจารณาชั่งน้ำหนักระหว่างปัจจัยต่อไปนี้:

o อายุของคนไข้ (age)
o สุขภาพโดยรวม (overall health)
o ขนาด รูปร่าง และตำแหน่งของเส้นเลือดโป่งพอง

ในการรักษาเส้นเลือดโป่งพองของสมอง มีทางลือกให้พิจารณาดังนี้:
 Aneurysm clipping: ถือเป็นการผ่าตัดสมองที่ที่เล็กและประณิตที่สุด
โดยแพทย์จะใช้คลิปขนาดจิ๋ว (metal clip) หนีบที่บริเวณฐานของเส้นเลือดโป่งพอง
เป็นการป้องกันไม่ให้เลือดไหลผ่าน และป้องกันไม่ให้เส้นเลือดที่โป่งพองมีขนาดโตขึ้น
หรือ ไม่ให้เกิดมีการแตกได้อีกต่อไป
 Endovascular coiling or emvolization.
เป็นการผ่าตัดที่แพทย์จะทำการใส่อุปกรณ์ที่เรียกว่า metinum coils ไว้ในพายในเส้นเลือดที่โป่งพอง
หรือใส่ “super glue” เพื่อส่งเสริมให้เส้นเลือดที่โป่งพองหยุบตัวลง ?
และเป็นการตัดปัญหา ไม่ให้มันแตกได้

• Extracranila-intracranial bypass.
การผ่าตัดร่วมกันยระหว่าง surgical bypass และ neurovascular appoarch จะได้รับการพิจารณา
ในรายที่เส้นเลือดโป่งพอมีขนาดใหญ่
เป็นการผ่าตัดที่นาน ๆ แพทย์เขาจะทำกัน โดยเริ่มต้นด้วยการผาตัด Bypass ก่อน
ไม่ให้เลือดไหลผ่านบริเวณเส้นเลือดที่โป่งพอง (aneursysm)
จากนั้น จึงทำการตัดไม่ให้เลือดไหลผ่านบริเวณโป่งพอง ด้วยการทำ clipping
หรือ endovascular embolization
วิธการผ่าตัดดังกล่าว เป็นวิธีที่ทำให้เส้นเลือดโป่งพองขนาดไหญ่ ไม่ใให้แตก และแฟบตัวลงได้อย่างปลอดภัย

ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเรืองที่อยู่ในควารับผิดชอบของศัลยแพทย์ทางสมองเขา
เรามีหน้าทีอย่างเดียว...ให้รู้ว่า มันคืออะไร เกิดได้อย่างไร
เมื่อมันเฉียดเข้าไกล้ตัวเราเมื่อไหร่...เราควรจะทำอย่างไร
และให้รู้ว่า แพทย์เขาทำกันอย่างไร ต่อไป...

http://nyp.org/services/neuroscience/aneurysm.html

Vascular disease

หลายคนไม่เชื่อ...เมื่อเราบอกว่า
เมื่อใครก็ตามมีโรค ๆ หนึ่งเกิดขึ้นแล้ว เขาจะมีโรคที่สองเกิดตามมาเสมอ
นั่นคือธรรมชาติของโลก จะพูดว่าเป็นสัจธรรมก็คงไม่ผิด
"มันเป็นเช่นน้นเอง" เป็นประโยคอมตะ ที่ท่านพุทธทาส ท่านชอบพูด
นี้คือตัวอย่าง

โรคของเส้นเลือดแดง...ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักจะมีโรคอย่างอื่นเกิดตามมา

What is a vascular disease?
พวกเราหลายคนไม่เข้าใจโรคที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือด...
มันเป็นอย่างไร ?

โรคของเส้นเลือด ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความแข็งตัวของเส้นเลือด
เหมือนสายยาง ลดน้ำหญ้า ที่วางตากแดดในบริเวณสวนหน้าบ้านนั่นแหละ

เส้นเลือดแข็ง หรือจะเรียกตามฝรั่งก็ได้ว่า มันเป็น atherosclerosis
มีสาเหตุมาจากไขมัน (fatty substances) เกาะตามผนังเส้นเลือดแดง
ทำให้เส้นเลือดหนาตัว และแข็งตัว เป็นเหตุให้เส้นเลือดตีบแคบลง

เส้นเลือดแดงทำหน้าที่เหมือนท่อนำเลือด ออกซิเจน และอาหารจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
เมื่อมันเกิดตีบแคบลง จะทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
หรืออวัยวะต่าง ๆ ได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ เพื่อให้อวัยวะนั้น ๆ ทำงานให้ได้ตามปกติ

สำหรับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่กระทบโดยตรงจากโรคเส้นเลือดที่เกิดการตีบแคบดังกล่าว
ย่อมก่อให้เกิด เนื้อเยื้อส่วนนนั้นถุูกทำลาย และการทำงาน เสียไป
ที่น่ากลัวที่สุด คือ อาจทำให้คนไขเสียชีวิตได้

อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะมีส่วนสัมพันธ์กับตำแหน่งของเส้นเลือด และอวัยวะที่มันเกี่ยวข้อง
ที่พบบ่อยที่สุด คือเส้นเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยง หัวใจ (heart) สมอง (brain)
และ ขา (legs)

The heart - cardiovascular disease
โรคหัวใจ- โรคของเส้นเลือ และหัวใจ
ในรายที่เป็นไม่มาก (mild cases) ผนังของเส้นเลือดแดงมีการแข็งตัว
แต่เพียงส่วนน้อย คนไข้จะไม่แสดงอาการใด ๆ
ส่วนรายที่เป็นมาก (severe cases) อาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก
ซึ่งจะเกิดเมื่อมีการออกแรง และจะหายไปเมื่อได้รับการพักผ่อน ภายในไม่กี่นาที

ถ้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ (coronary arteries) เกิดการอุดตัน
เราเรียกว่า coronary thrombosis จะทำให้กล้ามเนื้อของหัวใจขาดเลือด
เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อตาย ให้เกิดภาวะที่เราเรียกว่า heart attack (myocardial infarction)

มีคำถามว่า ไอ้คำว่า heart attack นั้นนะ...มันอะไร ?
ถ้าจะอธิบายแบบคนทั่วไป คงอธิบายได้ว่า
Heart attack หมายถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเกิดตายลง เพราะขาดเลือด และออกซืเจน
ทำให้เกิดอาการเจ็บ และแน่นในบริเวณหน้าอกขึ้น
นั้นแหละที่เขาเรียกว่า heart attack ละ !

ถ้าหากท่านมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ- (โรคเส้นเลือดและหัวใจ )
ท่านจะต้องระมัดระวังอาการแน่นหน้าอก หรือเจ็บหน้าอกเอาไว้
บางครั้ง ท่านอาจมีอาการปวดร้าวไปยังคอ (throat) หรือต้นเขนด้านซ้าย (left arm)
ถ้าท่านมีอาการปวดแบบนี้ เป็นนาน 20 นาทีแล้ว อาการยังทรง...(พักแล้วยังไม่หาย)
ท่านจะต้องไปพบแพทย์อย่างรีบด่วนที่สุด

The brain - cerebrovascular disease
สมอง- โรคเส้นเลือด และสมอง

เมื่อเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองเกิดตีบแคบลง อาจเกิดจากการอุดตันของก้อนเลือด (blood clot)
เรียก cerebral thrombosis

การมีก้อนเลือดเกิดในเส้นเลือดบนต้นคอ (carotid arteries)เป็นเส้นเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง
หรือ เกิดอุดตันที่เส้นเลือดเส้นเล็กภายในสมองเอง (cerebral arteries) เกิดแตกขึ้น
จะเป็นเหตุให้มีเลือดออกภายในสมอง

การเกิดเหตูการณ์ทั้งสอง เส้นเลือดในสมองแตก และมีเลือดตกในสมอง
ถูกเรียกว่า stroke หรือจะเรียกวา cerebrovascular accidents (CVAs)

ภาวะสมองตายจากการขาดเลือด (stroke) จะมีอาการต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งขึ้นกับโรคเส้นเลือดที่เกี่ยวข้อง
โดยทำให้เกิดอาการชา (numbness) หรือ อัมพาติด้านใดด้านหนึงของร่างกาย
พูดลำบาก กลืนอาหารไม่ได้ มีปัญหาด้านการมองเห็น เสียความสมดุล
และสูญเสียการประสานงานของกล้ามเนื้อ

The legs - peripheral vascular disease
ขาทั้งสอง และโรคของเส้นเลือดของขา

โรคเส้นเลือดแข็ง (atherosclerosis) สามารถทำให้เกิดอาการ “ตะคริว” (cramps)
ที่บริเวณกล้ามเนื้อของน่อง (calves) ซึ่งจะเกิดในขณะที่มีการออกแรง (claudication)
และจะหายไปเมื่อได้พัก

ในระยะแรกของการเกิดโรคเส้นเลือดแดงของขา
อาการจะเกิดขึ้นที่บริเวณน่อง จะเกิดขึ้นในขณะทีมีการเดินในระยะไกล
หรือ มีการออกแรงมาก เช่น วิ่ง กาวกระโดด อาการจะหายไปภายเวลา 5-10 นาที หลังพักผ่อน

ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ทีบริเวณกล้ามเนื้อในบริเวณด้านหลังของขา (น่อง)
เป็นผลเนื่องมาจากกล้ามเนื้อไม่ได้รับเลือด และออกซิเจนได้เพียงพอต่อการทำงานได้ตามต้องการ

ในรายที่เป็นเส้นเลือดแข็ง ที่เป็นมาก ๆ อาจทำให้เกิดมีอาการปวดตลอดเวลา
อาจเกิดมีแผล ulceration ที่ขา และบางทีอาจเป็นแผลเน่าตาย (gangrene)
เกิดที่บริเวณเท้า หรือนิ้วเท้า

Risk factors
เป็นที่ทราบกันว่า โรคเส้นเลือดแข็ง (atherosclerosis)
สามารถเกิดขึ้นกับคนได้ทั่วไป อาจเกิดขึ้นในคนอายุ 20 และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมืออายุแก่ขึ้น

ไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงว่า อะไรเป็นตัวเหตุทำให้เกิดโรคเส้นเลือดแข็ง
แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดโรค
หรือเป็นตัวเร่ง ให้ไขมันไปเกาะตัวตามผนังของเส้นเลือดแดง เช่น :

o การสูบบุหรี่
o ประวัติทางครอบครัวของการเป็นโรคเส้นเลือด, เจ็บหน้าอก (angina),
หัวใจขาดเลือด (heart attack) หรือ สมองขาดเลือด (stroke)
o น้ำหนักเพิ่ม (overweight)
o รับประทานอาหารที่ไร้สุขภาพ (unhealthy diet)
o ไม่ออกกำลังกาย (lack of exercise)
o เป็นโรคเบาหวาน (diabetes)
o เป็นเพศชาย (male)
o เป็นโรคความดันสูง (hypertension)
o ไขมันในเลือดสูง (high cholesterol) และ
o ความเครียด (stress)

การวินิจฉัยโรค (Diagnosis):
เราสามารวินิจฉัยโรคได้ด้วยการอาศัยข้อมูลจาก ประวัติความเจ็บป่วยของ คนไข้ อาการ และอาการแสดงต่าง ๆ

คนเป็นโรคเส้นเลือดก็เช่นเดียวกัน
หากเกิดมีความสงสัยในคำวินิจฉัย หรือแม้กระทั้งแนวทางการรักษา
ทางออกที่ดีที่สุดคือ ปรึกษาผู้รู้ หรือส่งต่อให้ผู้ชำนาญต่อไป
นั่นคือแนวทางการรักษาโรค...ไม่ว่าโรคนั้น ๆ จะเป็นโรคชนิดใด ?

นอกจากประวัติความเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย แพทย์อาจทำการตรวจต่าง ๆ ภายในโรงยาบาล
เช่น การตรวจ Doppler ultrasound imaging test
หรือ ทำ angiography...ทำการฉีดสารทึบแสงเข้าเส้นเลือด
ทำให้เราสามารถพบเห็นภาพของเส้นเลือดทางเอกซเรย์
อาจมีการตรวจสมองด้วย brain scans (CT or MRI) และ angiograms
เพื่อ ดูการไหลเวียนของเลือดสู่ขาทั้งสอง

What can I do to help myself?
เราจะชวยเหลือตัวของท่านเองได้อย่าง”ร ?

ในการปัองกันไม่ให้เกิดโรคเส้นเลือดแข็ง (atherosclerosis)
สิ่งแรกที่ท่านต้องทำ คือ สำรวจตัวท่านเองว่า ท่านตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงใดบ้าง
ปัจจัยเสียงนั้นมีมากมาย...ยิ่งท่านมีปัจจัยเสี่ยงมากเท่าใด โอกาสที่ท่านจะเกิดมีปัญหาย่อมมีมากขึ้น...

เพื่อเป็นการลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค ส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของท่านเองเท่านั้นที่ จะต้องรับผิดชอบ
เช่น:

 เลิกสูบบุหรี่ จากสถิติ การเลิกสูบบุหรี่ สามารถลดอัตราเสี่ยงไม่ให้เกิดโรคหัวใจลง 50 % ของทุกปีที่ผ่านไป
 รับประทานอาหารหลากชนิดให้ครบทุกหมู่เหล่า ซึ่งรวมถึง ผัก ผลไม้ และผลิตผลที่มีใยอาหารสูง ไขมันต่ำ
หลีกเลี่ยงจากการรับประทานไขมันอิ่มตัว (saturated fat) เช่น ไขมันสัตว์
ควรรับประทานอาการประปลา และไขมันที่ผลิตจากพืชแทน
 ให้ลดน้ำหนัก ถ้าปรากฏว่าน้ำหนักตัวเพิ่ม
 ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น อย่างน้อยวนละ 30 นาที
 ควบคุมความดันโลหิต และเบาหวานให้อยู่ในระดับปกติ

นั่นเป็นแนวทางที่เราทุกคนสามารถปฏิบัติได้อยู่แล้ว....

In the long term

โรคเส้นเลือด เป็นผลมาจากไขมันเกาะตัวตามผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดเกิดแข้งตัว(atherosclerosis)
ซึ่งต้องกินเวลานานพอสมควร กว่าจะเกิดเป็นโรคเส้นเลือดแข็งดังกล่าว
มันไม่ใช้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด...แต่จะค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่มีการหยุดพัก
เมื่อเกิดขึ้นแล้ว สามารถทำให้เกิดความพิการ หรือตายก่อนเวลาอันควรได้

โรคหัวใจขาดเลือด (heart attack) และสมองขาดเลือด (braint attack)
จัดเป็นสาเหตุที่ทำให้คนตายก่อนวัยอันควร
นั่นเป็นสถิติของต่างประเทศ (UK) และดูเหมือนจะเป็นสาเหตุที่พบบ่อยเสียด้วย
ในอังกฤษ (UK) แต่ละวัน จะมีคนตายประมาณ 60 คน จากการเป็นโรคในระบบเส้นเลือดและหัวใจ
(cardiovascular disease) หรือประมาณ 150,000 คนต่อปี ที่ตายในแต่ละปี

การลดอัตราเสี่ยง (risks)ต่อการเกิดโรค สามารถชะลอไม่ให้มีไขมันไปเกาะตามผนังเส้นเลือด
(atherosclerosis) และขณะเดียวกันก็สามารถลดการเกิดโรคต่าง ๆ ได้
เช่น โรคหัวใจ (heart attack) โรคทางสมอง (Brain attack)


http://www.netdoctor.co.uk/diseases/facts/vasculardiseases.htm

Stroke:Frequently Asked Questions (FAQs)

What is stroke?
Stroke บางครั้งเราเรียก Brain attack
เป็นภาวะสมองขาดเลือด ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองถูกอุดตัน
หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยวสมองฉีกขาด อย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ต่างสามารถทำให้สมองที่ขาดเลือด ได้รับอันตราย หรือ ตายไป

ภาวะสมองขาดเลือด มีสองชนิดด้วยกัน:
 Ischaemic stroke. เป็นภาวะสมองขาดเลือด เมื่อมีก้อนเลือดไปอุดตัน
เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หรืออาจเป็นเพราะมีเศษชิ้นส่วนอย่างอื่น ที่่เกิดรวมตัวกัน
เมื่อมีขนาดโตพอที่จะอุดตันเส้นเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองได้

 Hemorrhagic stroke. เป็นภาวะสมองขาดเลือด และขาดออกซิเจน
โดยเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเอง เกิดการฉีกขาด ทำให้เลือดออกออกภายในสมอง เหมือนท่อประปาแตก...
มีก้อนเลือดเกิดขึ้น ทำให้สมองถุูกกด รวมทั้งสมองไม่ได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงได้ตามปกติ
ย่อมเป็นเหตุให้เซลลสมองตายได้

What are the symptoms of stroke?
อาการสำคัญ ๆ ของคนเป็นโรคสมองขาดเลือด ได้แก่:
 เกิดอาการชา (numbness) อ่อนแรง (weakness) ที่บริเวณใบหน้า
ต้นแขน และ ขา ซึ่งอาการทุกอย่าง จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที
 เกิดอาการสับสน (confusion) และ มีความลำบากในการพูด หรือไม่ใจในเรื่องต่าง ๆ
อย่างฉับพลัน
 มีความลำบากในการมองเห็นทั้งสองตา หรือเพียงตาด้านใดด้านหนึ่งอย่างฉับพลัน
 เกิดอาการวิงเวียน (dizziness), มีความลำบากในการเดิน และ
สูญเสียความสมดุหรือการทรงตัวอย่างเฉียบพลัน
 ปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยไม่ทราบเหตุ อย่างฉับพลัน

What are the risk factors for stroke?
มีปัจจัยเสี่ยง และมีพฤติกรรมบางอย่าง ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดได้
เช่น:

o โรคความดันโลหิตสูง
o โรคหัวใจ
o โรคเบาหวาน
o สูบบุหรี่
o เคยเกิดภาวะสมองขาดเลือดมาก่อน

What can you do to reduce your risk?
ท่านสามารถลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดเลื่อดได้ดังนี้:

o รับประทานอาหารสุขาภาพ
o รักษาน้ำหนักตัว อย่าให้เพิ่มเกินระดบปกติ
o ทำตนให้กระฉับกระเฉง
o ไม่สูบบุหรี่
o จำกัดปริมาณของแอลกอฮอล อย่าให้มากไป
o ป้องกัน และรักษาไขมันที่สูงในกระแสเลือด ให้ลดลงสู่ระดับปกติ
o ป้องกัน และรักษาความดันโลหิตสูง
o ป้องกัน และรักษาเบาหวาน

How many Americans die from stroke?
จากสถิติของคนอเมริกัน
โรคสมองขาดเลือด จะฆ่าคนประมาณ 137,000 คน จัดเป็นสาเหตุนำของความตาย
มีการประมาณว่า คน เป็นโรคทางระบบเส้นเลือด และ หัวใจ และสมองขาดเลือด
ในแต่ละปี จะเสียชีวิตไปประมาณ 800,000 ราย
โรคสมองขาดเลือด (stroke) ยังเป็นสาเหตุทีสำคัญที่ทำให้เกิดความพิการในระยะยาว

นั่นเป็นคำถามที่พวกนักเรียนแพทย์ชอบถามกัน
จึงถือโอกาสบันทึกไว้ให้อ่านเล่น

http://www.cdc.gov/stroke/faqs.htm

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

Stroke Prevention: What are the treatable factors ?

(continued
What Are the Treatable Risk Factors?
มีปัจจัยที่สำคัญหลายตัว ที่เป็นเหตุก่อให้เกิดภาวะสมองขาดออกซิเจน
ซึ่งเราสามารถจัดการได้ เช่น:

• High blood pressure โรคความดันโลหิตสูง...
เป็นที่รับรู้กันว่า โรคความดันโลหิตสูง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนทำหใ้เกิดภาวะสมองขาดออกซิเจนได้
มีรายงานว่า ความดันโลหิตสูงสามารถไปความเสี่ยงต่อเกิดโรคในคนที่มีอายุก่อนถึงวัย 80
โดยพบได้ถึง 2-4 เท่า

ถ้าความดันของท่านสูง แพทย์ผู้ทำการรักษา และตัวท่านเองจะต้องวางแผนร่วมกัน
เพื่อจัดการให้ความดันลดลงสู่ระดับปกติ
ซึ่ง มีแนวทางให้ปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้:

 รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับปกติ
 หลีกเลี่ยงการรับประทานยา ที่ไปเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้น
 รับประทานอาหารที่ถูกต้อง ไม่มีไขมันอิ่มตัว ให้รับประทานผลไม้ และผักทุกวัน
เพื่อเพิ่มระดับโปแตสเซี่ยมในอาหาร และออกกำลังกายทุกวัน (30 นาทีต่อวัน)
 นอกจากนั้น แพทย์ยังอาจต้องให้ยาลดความดันแก่ท่าน

การควบคุมความดันให้เป็นปกติ ยังเป็นประโยชน์การรักษาโรคหัวใจ โรคเบาหวาน
และโรคไตวายได้อีกด้วย

• Cigarette smoking.
ท่านจะเชื่อหรือไม่ ?
ที่มีรายงานว่า การสูบบุหรี่ สามารถเพิ่มอันตราเสี่ยงให้เกิดสมองขาดออกซิเจน
ได้ถึง สองเท่าตัว และทำให้สมองขาดเลือดชนิดเลือดตกในสมอง ได้ถึง 4 เท่าตัว
การสูบบุหรี่มีส่วนสัมพันธ์กับการที่มไขมันไปเกาะตัวที่ผนังของหลอดเลือด หรือเส้นเลือดเลือด
ทำให้เส้นเลอดแข็ง(atherosclerosis)
เช่น เส้นเลือด carotid artery ที่บริเวณคอ
ซึ่งเป็นเส้นเลือดสำคัญ ที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงของสมอง

การอุดตันของเส้นเลือดเส้นนี้ จะนำไปสู่การเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจนของคนได้
นอกจากนั้น สารนิโคตีนจากบุหรี่ ยังเป็นตัวเพี่มความดันโลหิตได้อีก
สารคาร์บอนไดออกไซด์ จากการสูบบุหรี่หรือควันบุหรี่
ยังเป็นตัวลดปริมาณออกซิเจนที่ไปยังสมองได้อีก

ควันบุหรี่ยังทำให้เลือดของท่านเพิ่มความเหนียวตัวขึ้น
ทำให้เม็ดเลือดเกิดการจับตัวกันได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดเป็นก้อนเลือดในเส้นเลือด
นอกจากนั้น การสูบบุหรี่ยังส่วนช่วยให้มีการเกิดเสริมการโป่งพองของเส้นเลือด (aneurysm)ได้อีกด้วย

สำหรับท่านที่สูบบุหรี่ ถ้าท่านเชื่อว่า บุหรี่เป็นศัตรูที่สำคัญของสมองของท่าน
ซึ่งเป็น?รัพย์สินอันมีค่าสูงสุดของมนุษย์ หากมันมีอันเป็นไป (ถูกทำลายลง)...ทุกอย่างเป็นจบ !
มีทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านสามารถปกป้องสมองของท่านได้
คือ เลิกสูบบุหรี่...และหลีกเลี่ยงจากการสูดควันบุหรี่ของคนอื่นเสีย...
มันก็เท่านั้นเอง

• Heart disease.
โรคหัวใจ , โรคเส้นเลือดหัวใจ (coronary heart disease), โรคลิ้นหัวใจ (valve defects) ,
การเต้นของหัวใจผิดปกติ ( atrial fibrillation), หัวใจโต (enlargement of heart chamber)
ไม่ว่าจะเป็นช่องใด (chamber)ก็ได้ ต่างมีโอกาสทำให้เกิดมีการสร้างก้อนเลือดขึ้นได้ทั้งนั้น
มันอาจแตก และหลุดไปอุดที่เส้นเลือดในสมองได้
และทำให้สมองเกิดการขาดเลือดได้

Atrial fibrillation เป็นภาวะที่มักจะเกิดในคนสูงอายุ และ
เป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดสมองขาดเลือดได้ถึงหนึ่งสี่คนของคนที่มีอายุครบ 80
ซึ่ง มีสวนเกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดความพิการ (disability)
และความ ตายในคนสูงอายุ (death)

โรคเส้นเลือดที่พบบ่อยที่สุด ที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคสมองขาดเลือด
คือ เส้นเลือดแข็ง (atherosclerosis)
นอกจากไขมัน โรคความดันโลหิตสูง ยังเป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคเส้นเลือดแข็งได้

จากการมีความดันสูงดังกล่าว สามารทำให้เกิดรอยแผลที่ผนังของเส้นเลือด
ตามด้วยการเป็นพังผืด (scar) และเป็นจุดกำเนิดของการเกาะตัวของเม้็ดเลือด สร้างป็นก้อนเลือดขึ้น
ซึ่งจะก่อให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือด เป็นเหตุให้อวัยวะที่สำคัญขาดเลือด และออกซิเจนในที่สุก
ในกรณีดังกล่าว แพทย์จะทำการรักษาด้วยการให้ยาป้องกันการจับตัวของเม็ดเลือด
ด้วยการ ให้ aspirin เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสร้างก้อนเลือดขึ้น

• Warning signs or history of TIA or stroke.
ถ้าท่านเคยมีประสบการณ์เกิดมีภาวะสมองขาดออกซิเจนในระยะสั้น ๆ มาก่อน
ซึ่งเรารู้ในชื่อ TIA หรือเกิดภาวะสมองขาดเลือด stroke
ท่านมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดเลือดได้อีกหลายเท่าตัว
(เมื่อเปรียบกับคนที่ไม่เคยมีภาวะดังกล่าวเลย)

ถ้าท่านเคยมีประสบการณ์เป็นโรคสมองขาดออกซิเจนมาก่อน (Brain attack)
ท่านมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดังกล่าว
ดังนั้น ท่านจะต้องลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดเลือดเป็นครั้งที่สองให้ได้

โดยปกติ สมองของท่าน จะช่วยท่านให้รอดพ้นจากภาวะ สมองขาดออกซิเจน
ด้วยกระบวนการขอร้อง ให้สมองส่วนที่ดีทำงานแทน ด้วยการทำงานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เป็นการทดแทนงานของสมองส่วนที่ถูกทำลายไป
ด้วยภาวะดังกล่าว สมองย่อมมีโอกาสเกิดภาวะขาดออกซิเจนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

• Diabetes.
ท่านอาจคิดว่า โรคเบาหวานจะมีผลกระทบต่อร่างกายในการใช้น้ำตาลในเลือดเท่านั้น
แต่ตามความจริง มันยังเป็นเหตุให้เกิดมีการทำลายเส้นเลือดตลอดทั้งร่างกาย
รวมถึงเส้นเลือในสมองอีกด้วย

ในขณะที่เกิดภาวะสมองขาดเลือด หรือขาดออกซิเจน บังเอิญระดับน้ำตาลในเลือดสูง
พบว่า สมองจะถูกทำลาย และมีความรุนแรงได้มากกว่า เกิดในขณะที่น้ำตาลอยู่ในระดับปกติ

โรคความดันโลหิตสูงมักจะเกิดร่วมกับการเป็นโรคเบาหวาน
พบคนเป็นโรคเบาหวานเมื่อใด...อย่าลืม ให้มองหาโรคเบาหวานด้ว
เบาหวานเอง และโรคความดัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ใครอยากเป็น
มันสามารเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดเลือด และออกซิเจน

การรักษาเบาหวานได้ดี เป็นการชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจนได้เป็นอย่างดี

Cholesterol imbalance.
Low-density lipoprotein cholesterol (LDL)
เป็นไขมันชนิดเลว จะมีสารที่เป็นไขมัน (fatty substance)
ซึ่ง มันจะเป็นตัวไปเกาะตามผนังเส้นเลือดแดง ทำให้เกิดเส้นเลือดแข็งตัว (atherosclerosis)
เป็นเหตุให้เส้นเลือดตีบแคบลง และเป็นปัจจัยสำคัญทีทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด (heart attack)
และสมองขาดเลือด (brain attack)

• Physical inactivity and obesity.
ท่านเชื่อหรือไม่ ?...
ใครก็ตามที่อ้วนมาก ๆ และไมค่อยออกกำลังกาย มักจะเป็นคนอ้วนเสมอ
โชคยังดี...ที่มนุษย์เราสามารถบดบังความอ้วน อันไม่น่าพิศมัยด้วยเสื้อผ้าได้
เขาเหล่านั้นมักจะลงเอยด้วยการเป็นโรคความดัน ,โรคเบาหวาน และ เป็นโรคหัวใจด้วยเสมอ

Adaptedfrom:
www.ninds.nih.gov/disorders/stroke/preventing_stroke.htm

Brain’s Basics: Preventing Stroke

ชีวิตของคนเราจะต้องดำเนินต่อไป...
และ ต้องเป็นการมีชีวิตอย่างมีเป้าหมายให้ได้
นั้นคือ มีสุขภาพดี ไมมีโรคภับไข้เจ็บ มีที่อยู่ในที่สดวกดาย
ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง และ มีอาชีพการงานที่ก้าวหน้า

การที่เราจะทำใหชีวิตของเราดำเนินไปได้อย่างนั้น
แน่นอน...ต้องมีการวางแผนที่ดี และเหมาะสมกับสถานการณ์
และเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง
ซึ่ง นอกจากจะต้องมีปัญญา และมีเงินทองเป็นต้นทุนแล้ว
สุขภาพโดยรวมของเราจะต้องดีด้วย

มีสินทรัพย์อย่างหนึ่ง ที่มีค่ามหาศาล และเป็นส่วนสำคัญต่อชีวิต และการงานของเรา
ถ้าปล่อยให้เสียหายขึ้นเมื่อใด
สิ่งที่เราได้วางแผน และดำเนินไปเป็นอย่างดี...ต้องพังทลายลงเมื่อนั้น

สินทรัพทย์ที่ว่านั้น คือ สมอง (brain) ของคนเรานั้นเอง

นี้คือตัวอยางที่มองเห็นชัดที่สุด...และน่าเสียดายที่สุด !
เพื่อนของเรา ดำรงค์ตำแหน่งระดับผู้อำนวยการของหน่วงานแห่งหนึ่ง
ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ มีการออกกำลังกายทุกวัน ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ
มีสุกเดียวที่ขาดไม่ได้...
ต้องดื่มแอลกอฮอล เป็นประจำ
วันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น...สมองไม่ยอมทำงาน หมดสติล้มลง...
และจากไปด้วยความเศร้าโครกเสียใจของครอบครัว...และญาติมิตร

สาเหตุของความตายของเพื่อนเราคนนี้
คือ สมองขาดเลือด หรือออกซิเจนนั้นเอง

เราต้องดำเนินชีวิตต่อไป ให้คุ้มค่ากับที่เราได้มีโอกาสเกิดมา
เพื่อทำทุกอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง และต่อสังคมส่วนรวมให้มากที่สุด
แล้วเราจะทำอย่างไร ?

นั่นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเราเอง (จะขออนุญาติใช้คำพ่อขุนราม..ว่า ตัวใคร ตัวมัน)
รักษาสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด
ปกป้องทรัทพย์อันมีค่าสุงสุด (สมอง) อย่าให้พังทลายลงก่อนเวลาอันควร (brain attack)
ซึ่งเรา...ใคร ๆ ก็ทำได้

สมองตายจากการขาดเลือด หรือที่ชอบเรียกทับศัพท์ว่า Stroke
เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 5 (ตามสถิติของอเมริกน)
เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมอไม่พอ จะทำใหเนื้อสมองถุูกทำลายลง สมองตาย
ซึ่งจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนในชีวิตของคนป่วย และญาติ ๆ ของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าคนไข้ไม่ตาย จะยังความพิการให้แก่คนไขได้

จากสถิติของสหรัฐฯ
ในแต่ละปีจะมีคนเป็นโรคสมองขาดเลือด (stroke) ถึงปีละ 700,000 ราย
ในจำนวนดังกล่าว จะมีคนตาย 160,000 ราย

What is a Stroke?
เมื่อกระแสเลือดไปเลี้ยงสมองถูกตัดขาด จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม
เซลล์สมองจะตายจากการขาดเลือด และขาดออกซิเจน
ซึ่งมันจะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ
พวกที่มีการอุดตันของกระแสเลือดไปเลี้ยงสมอง
และพวกที่มีเลือดตกในสมอง

พวกที่มีการอุดตันของเส้นเลือดบริเวณคอ เรียก ischemic stroke (สมองขาดเลือด)
ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยสุดถึง 80 % ของคนที่สมองตายจากการขาดเลือด

สาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดของสมองเกิดการอุดตัน
เกิดจากการมีการสร้างก้อนเลือดในเส้นเลือดของสมอง หรือบรวิเวณต้นคอ เรียก thrombosis

ถ้ามีก้อนเลือดจากที่ส่วนอื่นของร่างกาย เช่น จากหัวใจ
แล้วเคลื่อนไปอุดตันที่สมอง เรียก embolism

หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเกิดแคบลง เรียกภาวะดังกล่าวเรียก stenosis

การมีเลือดตกในสมอง หรือบริเวณรอบ ๆ สมอง
จัดเป็นสาเหตุอันที่สอง ที่ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด (stroke) ขึ้น
เรียกภาวะดังกล่าวว่า “Hemorrhagic stroke”

มีขั้นตอนสำคัญสองประการ สำหรับลดอัตราเสี่ยงต่อความตาย หรือพิการจากโรคดังกล่าว
นั้นคือ: ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดเลือด
และ รู้จักอาการแสดง “เตือนภัย” ที่จะเกิดภาวะสมองขาดเลือด
ถ้าเราเข้าใจสองอย่างนี้ดี เราอาจช่วยเหลือตัวเองได้มากพอสมควร...

What are Warning Signs of a Stroke?
อาการที่สมองเตือนให้ทราบว่า สมองไม่ได้รับเลือด หรือออกซิเจนได้เพียงพอ
ถ้าท่านสังเกตพบอาการหนึ่ง หรือ มากกว่าท่านอย่าได้รอช้าเป็นอันขาด
ต้องไปพบแพทย์ หรือเรียกรถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลทันที
เมื่อ:

• เกิดมีอาการ "ชา" ที่ใบหน้า หรือ กล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ “ใบหน้า” “แขน” หรือ “ขา”
โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย
• เกิดอาการ "สับสน" อย่างฉับพลัน (sudden confusion)
พูดลำบาก (trouble talking) หรือ ไม่เข้าใจคำพูด (understanding speech)
• มีปัญหาด้านการมองเห็นอย่างฉับพลัน อาจเกิดขึ้นกับตาด้านเดียว หรือสองข้าง
• เกิดมีอาการอย่างฉับพลันของ การเดินที่ผิดปกติ วิงเวียน หรือ เสียการทรงตัว
• ปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยไม่ทราบสาเหตุ

เมื่อท่านมีอาการอย่รางใดอย่างหนึ่งตามที่กล่าว...อย่าได้ลังเลใจ ต้อพบแพทย์ทันที!

นอกจากนั้น ยังมีอาการที่น่ากลัวที่บ่งบอกให้ทราบว่า สมองกำลังขาดออกซิเจน
เชน ท่านอาจเกิดมีภาพซ้อนเกิดขึ้น มีอาการง่วงนอน (drowsiness)คลื่นไส้ และ อาเจียน
อาการเหล่านี้ บางที เกิดขึ้นสั้นนิดเดียว แป๊บเดียวก็หายไป
ภาวะส้น ๆ ดังกล่าว เป็นที่รู้กันว่าเป็นภาวะขาดออกซิเจนชั่วระยะสั้น ๆ (transient ischemic attacks)
หรือ TIA หรือบางที่เรียก minimal strokes

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า มันเป็นภาวะที่เกิดสั้น ๆ ประเดี๋ยวประด๋าวก็ตาม
ขอให้ทราบไว้ด้วยว่า มันมีอะไรที่น่ากลัวซ่อนเร้นอยู่ในร่างกาย
โดยมันจะไม่หนีหายไปไหน จนกว่าจะได้รับการรักษา
เท่าที่เห็น มีผู้คนจำนวนหนึ่ง ไม้ค่อยจะใส่ใจเท่าที่ควร
การให้ความใส่ใจต่อมัน สามารถทำให้ชีวิตของเราปลอดภัยได้

What are Risk Factors for a Stroke?
ปัจจัยเสี่ยง คืออะไร ?
ปัจจัยเสี่ยง หมายถึงเงือนไข หรือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ กับคนที่เป็น หรือ
มีแนวโน้มที่จะเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้บ่อยกว่าคนอื่น

การที่ท่านมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองขาดเลือด ไม่ได้หมายความว่า สมองของท่านจะขาดเลือด
ในทางตรงกันข้าม การที่ท่านไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า
ท่านจะไม่เกิดภาวะสมองขาดเลือดเช่นกัน

แต่ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดเลือด (stroke)
ย่อมมีโอกาสมากขึ้น เมือท่านมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น

มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดสมองขาดเลือด
ซึ่งไมสามารถแก้ได้ด้วยยารักษา หรือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต เช่น:

• Age. สมองขาดออกซิเจน เกิดขึ้นกับคนทุกอายุ
จากการศึกษาพบว่าความเสี่ยงต่อการเกิดโรค จะเพิ่มเป็นสองเท่าของทุกสิบปี
ของช่วงระหว่างอายุ 55 – 85 โรคดังกล่าวยังสามารถเกิดในเด็ก และวัยรุ่นได้อีกด้วย

แม้ว่า โรคดังกล่าว เป็นโรคของคนสูงอายุ แต่อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคในเด็ก
จะพบได้สูงในระยะแรกเกิด ซึ่งรวมถึงระยะเวลาก่อนเกิดประมาณ 2-3 เดือนก่อนคลอด
และหลังคลอดประมาณ 2-3 อาทิตย์

• Gender. เพศชายมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองขาดออกซิเจนได้สูงกว่าเพศหญิงก็จริง
แต่ถ้าเป็นสตรี ที่เป็นโรดังกล่าวจะมีโอกาสตายจำโรคได้มากกว่า
โดยปกติเพศชาย จะจะมีอายุสั้นกว่าหญิง ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นโรคได้มากกว่าหญิง
และมีรอดตายได้มากว่าหญิง

• Race. บางเชื้อชาติมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้สูง เช่น
ชาวอาฟกัน-อเมริกัน มีแนวโน้มเกิดได้สูงพวกอื่น ๆ และมีโอกาสตายได้มากกว่า
ทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย หรืออยู่ในช่วงกลางคนเท่านั้น

• จากการศึกษาอุบัติการณ์เกิดโรคตามอายุ พบว่า
โรคมักเกิดในคนผิวดำ (อาฟกัน-เมิริกัน) ได้มากเป็นเท่าตัว เมื่อเปรียบกับพวก Hispanincs & Caucasians
เขาพบว่า ปัจจัยเสี่ยงของชาวอาฟกัน-อเมริกัน คือโรค sickle cell anemia
ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเสนเลือดแคบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอ
นอกจากนั้น อุบิตการณ์ของชนิดต่าง ๆ ของสมองขาดออกซิเจน ยังมีความแตกต่างกันในแต่ละชาติพันธ์อีกด้วย

• Family history of stroke.
เป็นที่ทราบกันว่า ภาวะสมองขาดออกซิเจน มักเป็นโรคที่เกิดขึ้นในครอบครัว
เช่น สมาชิคในครอบครัว อาจมีพันธุกรรมบางตัวที่มแนวโน้มให้เกิดโรคดังกล่าว
ได้แก่ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
การดำเนินชีวิต อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดสมองขาดออกซิเจนภายในครอบครัวได้

Contine> Stroke: What arenthe ntreatable RisK factors ?

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

Effects of Stroke (Brain Attack)

ผลที่เกิดจากเส้นเลือดของสมองอุดตัน
หรือภาวะสมองขาดเลือด ที่เราเรียกทับศัพท์ว่า
stroke หรือ brain attack นั้น
ปรากฏว่า มีความแตกต่างกันระหว่างคนไข้แต่ละราย
ซึ่งขึ้นกับชนิด ความรุนแรง และตำแหน่งของสมองที่ขาดเลือด

สมองจัดเป็นอวัยวะที่สำคัญ มีความสลับซับซ้อนอย่างมาก
และแต่ละส่วนของสมอง มีหน้าที่รับผิดชอบกับการทำงานที่เฉพาะของมัน

เมื่อสมองส่วนนั้น ๆ ขาดเลือดหล่อเลี้ยง จะทำให้สมองถูกทำลาย หรือตายไป
ซึ่งจะยังผลให้เกิดขึ้น กับการทำงานของสมองส่วนนั้น ๆ ทันที
บางราย บางรายอาจพิการ หรือไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

สมองถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก ๆ ดังนี้:

• Cerebrum (right&left sides)
• Cerebellum
• Brain stem

เมื่อเกิดการอุดตันของเส้นเลือดขึ้นที่สมองส่วนใด
ผลย่อมแตกต่างกันไป ตามตำแหน่งที่เส้นเลือดเกิดอุดตัน

ถ้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วน cerebrum เกิดการอุดตัน.
อะไรจะเกิดขึ้น ?

Cerebrum เป็นสมองส่วนที่อยู่ด้านบน และด้านหน้าของกะโหลกศีรษะ
มันทำหน้าที่รับผิดชอบต่อพลังกาย และจิต หรือ วามชำนาญในการทำงานต่าง ๆ
เช่น การเคลื่อนไหว และ ความรู้สึก การพูด คิด กระบวนการคิด และตัดสินใจ ความจำ
ปฏิบัติการทางเพศ ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก
สมองส่วนนี้ (cerebrum) ถูกแบ่งเป็นซ้าย และขวา
หรือเรียกว่า hemisphere (ครึ่งซีก...)

จากน้าที่ของสมองส่วนดังกล่าว ถ้าปรากฏว่า เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเกิดการอุดตัน
อาจเป็นบางส่วนของสมอง ที่เสียไป หรือหน้าที่ทั้งหมดเสียไป
เช่น

• การเคลื่อนไหว และความรู้สึก (movement and sensation)
• คำพูด และภาษา (speech and language)
• การกิน และการกลืน (eating and swallowing)
• ความคิด หรือภาพที่เห็นทางจิต (vision)
ความเข้าใจกับสภาพแวดล้อม (perception and orientation to surroundings)
• ความสามารถในการดูแลตัวเอง (self –care ability)
• สามารถควบคุมการขับถ่าย (bowel and bladder control)
• สมรรถภาพทางเพศ (sexual ability)

นอกเหนือจากที่กล่าว คนไข้อาจมีการสูญเสียบางอย่าง
ซึ่งอาจเกิดกับสมองส่วน cerebrum ถูกทำลายไปก็ได้

Effects of a right hemisphere stroke in the cerebrum
ผลที่เกิดจากสมองซีกขวา (cerbrum)ขาดเลือด อาการที่พบ:

• ซีกซ้ายของร่างกายอ่อนแรง (อยู่ตรงข้ามกับสมองส่วนที่ถูกทำลาย)
เรียกอัมพาติครึ่งซีก (Left hemiparesis) และ มีการสูญเสียความรู้สึก
• ปฏิเสธการเป็นอัมพาติ หรือ ไม่สามารถมองทะลุเข้าไปในเหตุการณ์
ซึ่งถูกสร้างโดยสมองที่ขาดเลือด (ดูเรื่อง denial of paralysis)
• มีปัญหาเรื่องสายตา รวมถึงไร้ความสามารถในการมองภาพทางด้านซ้าย
(ft visual field of each eye)
• มีปัญหาด้านสถานที่ ไม่สามารถบอกความลึก สูงต่ำ หรือด้านหน้า-หลัง
ไม่สามารถจำกัดตำแหน่ง หรือรู้ส่วนของร่างกาย
• ไม่เข้าใจแผนที่ หรือส่วนของพื้นราบ ไม่สามารถหาสิ่งของ เช่นเสื้อผ่า หรือห้องน้ำ
มีปัญหาด้านความจำ
• มีปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ไม่สนใจต่อสภาพแวดล้อม
มีการกระทำที่ปราศจากการวางแผน พฤติกรรมไม่เหมาะสม และมีอาการซึมเศร้า

ผลกระทบที่เกิดจากสมองซีกซ้าย Lt. cerebrum ขาดเลือด
ผลกระทบที่เดจาสมองซีกซ้าย (lt cerebrum) ขาดเลือด สมองถูกทำลาย อาการที่พบเห็น ได้แก่:

• มีอาการอ่อนแรงทางด้านซีกขวา ซึ่งอยู่ด้านตรงข้ามของสมองส่วนที
• ถูกทำลาย (rt. Hemiplegia) และมีการสูญเสียความรู้สึก
• มีปัญหาเรื่องการพูด และความเข้าใจในด้านภาษา
• มีปัญหาด้านสายตา รวมทั้งไม่สามารถมองเห็นภาพทางด้านขวา right
• Visual fieldเสียไป
• ไร้ความสามารถที่จะจัดคู่ จัดการ เหตุผล หรือวิเคราะห์
• มีพฤติกรรมเปลี่ยน เช่น ซึมเศร้า ระมัดระวังตน และเกิดความลังเล
• มีปัญหาเรื่องการอ่าน เขียน และเรียนรู้ข้อมูลใหม่
• มีปัญหาเรื่องความจำ

What effects can be seen with a stroke in the cerebellum?
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าสมองส่วน cerebellum ถูกทำลายจากเหตุสมอง
ส่วนดังกล่าวขาดเลือด

สมองส่วน cerebellum จะอยู่ในตำแหน่งที่อยู่ใต้ และด้านหลังของสมอง
ส่วน cerebrum และยื่นไปทางด้านหลังของกะโหลกศรีษะ
เป็นสมองส่วนที่รับข้อมูลต่าง ๆ จากร่างกายผ่านไขประสาทสันหลัง
ทำหน้าที่ประสานงานการทำงานของกล้ามเนื้อ
ตลอดรวมถึงการควบคุมการทำงานอันละเอียดอ่อนของกล้ามเนื้อ
และ ความสมดุลของร่างกาย

แม้ว่า สมองส่วนนี้ (cerebellum) จะไม่ค่อยพบในภาวะขาดเลือดเท่าใดนัก
แต่เมื่อเกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้น สามารถก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้

ผลที่เกิดจากสมองส่วนดังกล่าวขาดเลือด จะพบ 4 อย่าง ดังนี้:

• ไม่สามารถเดินได้ และมีปัญหาด้านประสานงาน และการทรงตัว
• เป็นเหตุให้เดินเซ (ataxia)
• วิงเวียน (dizziness)
• ปวดศีรษะ (headache)
• คลื่นไส้ และอาเจียน (nausea and vomiting)

เมื่อก้านสมองขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นเช่นใด ?

Brain stem หรือก้านสมอง จะอยู่ในตำแหน่งฐานของสมอง
และอยู่เหนือไขประสาทสันหลัง (spinal cord)
เป็นส่วนที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของคนเรา
เช่น มีหน้าที่เกี่ยวกับ การเต้นของหัวใจ (heart beat) ความดันโลหิต
(blood pressure) และ การหายใจ (breathing)

นอกจากนั้น ก้านสมองยังมีส่วนเกี่ยวขอ้งกับการควบคุมประสาทการเคลื่อนไหวของตา
การฟัง การพูด การเคี้ยวอาหาร และ การกลืน

ผลจากการทีก้านสมองถูกตัดขาดจากเลือดที่มาหล่อเลี้ยง ได้แก่

• Breathing and heart functions
• Body temperature control
• Balance and coordination
• Weakness or paralysis in all four limbs
• Chewing, swallowing, and speaking
• Vision
• Coma

ใครก็ตามที่เกิดเส้นเลือดไปเลี้ยงก้านสมองอุดตัน...คนไข้มักจะเสียชีวิต

www.Hopkinsmedicine.org.: Effects of stroke (Brain attack)

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

PHENOBARBITAL

Phenobarbital ถือเป็นยาที่สำคัญตัวหนึ่ง ที่เรายังใช้กันอยู่
ถูกนำมาใช้รักษาโรคลมชัก (ลมบ้าหมู) มาเป็นเวลานมนานมาแล้ว
เป็นยาที่ถูกผลิตขึ้นโดยนักเคมีสองนายภายใต้ชื่อว่า Luminal

Phenobarbital เป็นยาในกลุ่ม barbiturate
ซึ่งถูกใช้กล่อมประสาท และทำให้ง่วง
ผลเสียของยาตัวนี้ ได้แก่ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม
เมื่อเลิกใช้ จะทำให้เกิดอาการอันไมพึงปราถนา

ผลประโยชน์ของยา Phenobarbital
มันเป็นยาทีมีประวัติถูกนำมาใช้รักษาโรคชมชัก ราคาถูก
และมีประสิทธิผล และ ออกฤทธิ์ได้นาน
ใช้รับประทานวันละครั้งเท่านั้น (กินก่อนนอน)ก็เพียงพอแก่การควบคุมโรคได้

คนไข้สามารถรับประทานพร้อมอาหาร หรือ หรือขณะท้องว่างก็ได้
คนไข้ส่วนใหญ่ เมื่อรับปประทานเข้าไปแล้ว จะทำให้ง่วงนอน
แต่จะไม่เป็นปัญหา ถ้าหากคนไข้รับประทานก่อนนอกน ขนาด 30 – 60 mg

Mechanisms of phenobarbital:
Phenobarbital จะทำหน้าทีเพิ่มประสิทธิภาพของ
สารสื่อประสาทของสมอง ชื่อ Gamma-aminobutyric acid (GABA)
ซึ่งอยู่ภายในเซลล์ประสาท ที่อยู่ในสมอง

ยาชนิดนี้ ไม่ว่าท่านจะรับประทาน หรือฉัดเข้ากล้าม มันจะถูดดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตได้ 100 %
และมีความเข็มข้นสูงสุดภายใน 3 ชั่วโมง
(ครึ่งอายุ half-life 80-100 ชั่วโมง)

EFFICACY OF PHENOBARBITAL:
Phenobarbital ถูกนำมาใช้รักษาโรคลมชักตั้งแต่ช่วงต้น ๆ ของศตวรรษที่ 20
และยังคงถุกนำไปใช้รักษาคนไข้กันทั่วโลก ด้วยเหตุผล:
มีประสิทธิภาพดีต่อการรักษา และราคาถูก และใช้ง่าย รับประทานวันละครั้ง
ซึ่งโอกาสที่จะลืมกินยาเป็นได้น้อยมาก
ถ้าฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ
มันสามารถควบคุมโรคลมชักชนิด "ชักต่อเนื่อง" ในรายที่เป็นลมชักชนิดทั่วไป (ชักทั่งร่างกาย -
generalized tonic-clonic seizures)

Phenobarbital ถูกนำมาใช้ควบคุมโรคลมชักชนิดต่าง ๆ ได้
เช่น simple และ complex partial seizures และ
Generalized tonic-clonic seizures ในคนไข้ทุกอายุขัย

Phenobarbital จัดเป็นยาที่ถูกเลือกเป็นตัวแรก (First choice)
สำหรับรักษาอาการชักในเด็กแรกเกิด (neonatal seizures)
สามาควบคุมอาการชักในเด็ก (infants)ได้ถึง 1/3 ของคนไข้

Phobartbital ยังเป็นยาที่ถูกมาใช้ป้องกันไม่ไห้เด็กเกิดชักจากอาการไข้ได้
ซึ่งจำเป็นต้องให้เวลาอย่างน้อย 2 วัน (ก่อนมีอาการชัก)
เพื่อให้ปริมาณของยาสูงพอที่จะป้องกันไมให้เกิดอาการชักในเด็กได้
เพราะการให้ยาหลังจากเกิดเกิดมีอาการชักแล้ว
ผลจะไม่ค่อยได้ผลดี

เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่ที่เกิดมีอาการชักจากไข้สูงจะไม่มีอันตรายที่น่ากลัว
ดังนั้น ส่วนใหญ่ เด็กจะไม่ได้รับยา Phenobarbital เพื่อ ป้องกันภาวะดังกล่าว

ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยา Phenobarbital กับยาอีกสามตัว
เช่น carbamazepine (Tegretol), Phenytoin (Dilantin)
และ primidone (Mysoline)
ปรากฏว่าทั้งสี่ตัวมีประสิทธิผลในการรักษาผู้ใหญ่ ที่เป็นโรคลมชักชนิด ชักทั่วไป
(tonic-clonic seizures)

Phenobarbital และ phenytoin (Dilantin)
สามารถควบคุมโรคได้ 43 % ส่วน tegretol ได้ 48 %

เมื่อใช้ยา Phenobarbital ในคนไข้ partial seizure
นานติดต่อกันถึง 18 เดือน สามารถควบคุมอาการชักได้ 100 %
ส่วนยา carbarmazepine สามารถควบคุมได้เพียง สองในสามเท่านั้น

แพทย์บางท่าน ไม่นิยมใช้ phenobrbital ให้แก่คนไข้
ด้วยเหตุผลว่า มันทำให้เกิดอาการอันไม่พึงปรารถนา
เช่น ทำให้คนไข้ (ผู้ใหญ่)เกิดอาการง่วงน่อน (drowsiness)
และทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการเรียนรู้ในเด็ก

ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น (อาการรบกวน) จะเกิดขึ้นเมื่อให้ยา
ในขนาดสูง เช่น 60 – 90 mg (สำหรับผู้ใหญ่)
หรือให้ยาในขนาดสูงในระยะเริ่มต้นการให้ยา
ฉะนั้น หากต้องการลดปัญหาดังกล่าว กระทำได้ด้วยการให้ขนาดน้อยก่อน
แล้วค่อยๆ เพิ่มขนาดของยา อาจลดอาการได้บ้าง

อาการง่วงนอนมักจะเกิดขึ้น เมื่อเริ่มให้ยารักษา
หรือเมื่อมีการเพิ่มขนาดของยาขึ้น

อาจมีการให้ยา Phenobarbital ร่วมกับยาต้านชักตัวอื่นได้
ถ้าปรากฏว่า ยาเพียงตัวเดียวไม่สามารถควบคุมอาการชักได้
อย่างไรก็ตาม การให้ยาร่วมดังกล่าว ใช่ว่าจะควบคุมโรค
ได้ทุกคน

ข้อดีอย่างหนึ่งของ Phenobarbital คือ มันมีทำปฏิกิริยากับยาตัวอื่น ๆ
ดังนั้น ถ้าจำเป็น เราสามารถปรับขนาดของยาได้

http://www.epilepsy.com/medications/p_phenobarbital_commonside

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

Status Epilepticus

โรคชักกระตุกที่เกิดจากคลื่นกระแสไฟฟ้าของสมอง
ที่ผิดปกติไป(มากไป) นอกจากจะทำให้เกิดโรคลมชักแล้ว
ยังมีผลกระทบต่อร่างกาย และจิตใจ
ทำให้เกิดมีปัญจัยหลายอย่าง สามารถทำให้เกิดอาการชักได้
เช่น ไข้สูง มีระดับ sodiumผิดปกติ หรือน้ำตาลในกระแสเลือดสูง
และได้รับบาดเจ็บของสมอง
โรคลมชักที่เกิดขึ้น จะมีอาการที่เกิดแล้วเกิดอีก

ในกรณีที่มีอาการนานอย่างน้อย 30 นาที
มันจะถูกเรียกลมชักชนิดนั้นว่า เป็น status epilepticus
ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ซึ่งสามารถทำให้สมอง
ถูกทำลายหรือ สมองตายได้
มีผู้เชี่ยวด้านการแพทย์หลายท่าน มีความกังวลกับภาวะนี้เป็น
อย่างมากถ้าหากพบคนไข้ที่มีอาการชักต่อเนื่องติดต่อกันนาน
ถึง 5 – 10 นาที...

Facts about status epilepticus
ในภาวะลมชักทีเกิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน (30 นาที) นั้น
ส่วนใหญ่ เราจะพบในเด็กเล็ก และคนสูงอายุ
เราจะพบคนไข้ส่วนหนึ่ง เกิดมีอาการชักอย่างต่อเนื่องได้
แต่ในบางกรณี ปรากฏว่า เขาเหล่านั้นไม่เป็นโรคลมชักเลย
ในกรณีดังกล่าว เราพบได้เพียง 25 % เท่านั้นอง

ในขณะเดียวกัน คนไข้ที่เป็นโรคลมชัก...ในช่วงที่เขายังมีชีวิต
เขามีโอกาสจะเกิดภาวะลมชักอย่างต่อเนื่อง (SE) ได้ถึง 15 %

สาเหตุของโรคลมชักชนิดที่มีอาการต่อเนื่องนาน 30 นาที (SE)
ที่เกิดขึ้นในเด็ก
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าว ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด คือ การอักเสบติดเชื้อ
ส่วนในผู้สูงอายุ จะพบสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่:

o Stroke สมองขาดเลือด
o เกิดการสูญเสียความสมดุลในกระแสเลือด เช่น ระดับน้ำตาลลดต่ำลง
o เกิดจากการดื่ม “แอลกอฮอล” มากไป หรือเกิดจากการหยุดเหล้า

Types of status epilepticus
ภาวะลมชัก ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าว สามารถเกิดได้หลายแบบ เช่น:

o Convulsive status epilepticu(SE).ภาวะชักอย่างต่อเนื่อง
ซึ่ง มีอาการชักเกิดขึ้นนั้น อาจนำไปสู่สมองได้รับบาดเจ็บอย่างเรื้อรัง อาการชักที่เกิด อาจมีอาการชักกระตุก
น้ำลายฟูมปาก (drooling) ลูกตามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

o Nonconvulsive satus epilepticus.
คนไข้ที่เป็นโรคชนิดนี้ อาจมีความสับสน หรืออาจทำให้คนไข้รู้สึกเหมือน
กับว่า คนไข้ตกอยู่ในอาการฝันกลางวัน
เขาอาจตกอยู่ในสภาพไม่สามารถพูดได้ หรือมีพฤติกรรมที่ไร้เหตุผล

Symptoms
คนที่เป็นโรคลมชักอย่างต่อเนื่อง อาจมีอาการต่าง ๆ ต่อไปนี้
These are possible symptoms of status epilepticus:

o อาการลมชัก กินเวลานานเกิน 5 นาที และมีอาการชักมากกว่าหนึ่งครั้ง
ติดต่อกัน และในช่วงระหว่างมีอาการชัก คนไข้ยังไม่สามารถรู้สึกตัวได้
o มีกล้ามเนื้อหดเกร็ง (muscle spasm)
o ล้มลง (falling)
o สับสน (confusion)
o มีเสียงที่ผิดปกติ (unusual noidses)
o ไม่สามารถควบคุมการถ่ายอุจจาระ & ปัสสาวะ (loss of bowel or bladder control)
o กัดฟัน (clenched teeth)
o การเต้นของหัวใจผิดปกติ (Irregular breathing)
o มีพฤติกรรมประหลาด (unusual behavior)
o พูดลำบาก ( Difficulty speaking)
o ดูเหมือนว่า คนไข้เกิดไขกลางวัน (A daydreaming look)

Diagnosis
เมื่อท่านเป็นโรค มีอาการชักติดต่อกันนานถึง 30 นาที
แพทย์อาจวินิจฉัยโรคได้ด้วยการ “สงเกตุ”
และถามปัญหาเกี่ยวกับโรคลมชักของท่าน หรือสุขภาพของท่าน
พร้อมกับถามปัญหาอื่น เช่น อาหารที่ท่านรับประทาน เครื่องดื่ม (แอลกอฮอล)หรือยาเสพติด

ถ้าท่านเป็นโรคชนิด nonconvulsive seizure
แพทย์อาจทำการตรวจ EEG (electroencephalogram)
ซึ่งเป็นงานของเจ้าหน้าทีจะทำการตรวจคลื่นสมอง เพื่อการวินิจฉัยภาวะดังกล่าว

ท่านอาจได้รับการตรวจหาสาเหตุของโรคด้วการตรวจอย่างอื่น
เช่น การเจาะหลังเอาน้ำไขสันมาตรวจ เพื่อหาสาเหตุของการอักเสบ
การตรวจ CT และ MRI เพือหารสาเหตุ ที่เกิดขึ้นกับสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง

Treatment
สิ่งที่แพทย์จะต้องทำ เมื่อเขาเจอคนไข้ที่มีอาการชักเกิดขึ้น
คือ หยุดอาการชักอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดอาการชัก...
แพทย์อาจให้ออกซิเจน เจาะเลือด ให้น้ำเกลือเข้าเส้นเลือด
ท่านได้อาจได้รับน้ำตาล (glucose) เข้าเส้น
ถ้าหากพบว่า น้ำตาลในกระแสเลือดของท่านลดต่ำลง

แพทย์อาจใช้ยาตานลมชัก เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งได้แก่:
• Diazepam
• Lorazepam
• Phenytoin
• Fosphenytoin
• Phenobarbital
• Valproate
ยาเหล่านี้ อาจให้เข้าเส้น IV หรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

Prevention
ถ้าท่านเป็นโรคลมชัก ท่านจะต้องรับประทานยาตามทีแพทย์สั่ง
อาจช่วยให้ท่านรอดพ้นจากภาวะลมชักอย่างต่อเนื่องได้

ถ้าท่านเคยมีภาวะลมชักแบบต่อเนื่อง (SE)
ท่านอาจจำเป็นต้องเริ่มรับประทานยาต้านอาการชัก หรือ ทำการเปลี่ยนยา
ที่ท่านเคยรับประทานมาก่อน...
นอกจากนั้น ท่านจะต้องงดเว้นทุกอย่าง ที่สามารถทำให้เกิดภาวะชักอย่างต่อเนื่องให้หมด
เช่น เลิกดื่มเหล้า (แอลกอฮอลทุกชนิด) ป้องกันไมให้มีน้ำตาลลดต่ำ....
ซึ่งอาจเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอาการดังกล่าวได้

ทั้งหมดที่ได้กล่าวมา เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรคลมชักที่มีอาการชัก
แบบต่อเนื่อง ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาอย่างรีบด่วนที่สุด

Hopkinsmedicine.org : Status Epilepticus

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์: FREQUENTLY ASKED QUESTIONS: What is epilepsy?

นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์: FREQUENTLY ASKED QUESTIONS: What is epilepsy?: โรคลมชัก หากจะว่าไปแล้ว มันเป็นโรคทีพบได้ไม่บ่อยนัก และเราก็ไม่ค่อยจะเข้าใจมันเท่าใดนัก ? คำถามที่ชอบถามเสมอ: อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโร...

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

Frequntly Asked Questions : Treatment of Epilepsy (cont.)

Barbiturate Drugs

ยาในกลุ่มนี้ ถูกนำมาใช้รักษาโรคลมชักกันอย่างกว้างขวางเมื่อปี 1950s
และ 1960s
แต่ในขณะนี้ มีคนรายงานว่า เป็นยาที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว
นั่นเป็นความเห็นจองแพทย์ในออสเตรเรีย...
แต่สำหรับประเทศไทยเรายังมีการใช้ยาตัวนี้อยู่....
เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
จะขอแยกไปเขียนเรื่องนี้โดยเฉพาะในคราวต่อไป

Other Drugs

The Newest Anti-epileptic Drugs
ยาต้านอาการชัก หรือยารักษาโรคลมชัก ที่ถูกผลิตขึ้นใหม่
โดยให้ยาไปทำหน้าที่ยับยั้งไม่ให้เกิดอาการชักเกิดขึ้นได้
ซึ่งสามารถกระทำได้สองทาง:

o ไปเพิ่มความสามารถในการทำงานของสารสื่อประสาท (GABA)
ซึ่ง เป็นตัวทำหน้าที่ยับยั้งคลื่นกระแสไฟฟ้า ที่วิ่งติดต่อระหว่างเซลลประะสาท เซลล์ ต่อ เซลล์
โดยกระบวนการทำงานของสารสื่อประสาทดังกล่าว มันจะไปยับยั้งกระแสไฟฟ้า(ผิดปกติ)
ซึ่ง ทำให้เกิดอาการชักลดลง
นั้นเป็นฤทธิ์ของสารสื่อประสาท GABA เขาละ.... หรือ

o ไปยับยั้ง (inhibit) ผลการทำงานของสารสื่อประสาทอีกตัว
ที่ทำหน้าที่กระตุ้นคลื่นกระแสไฟฟ้าระหว่างเซลล์ประสาทเพิ่มมากขึ้น เมื่อคลื่นกระแสไฟฟ้า
ระหว่างเซลล์ประสาทลดลง...จะทำให้คลื่นไฟฟ้ที่ทำให้เกิดอากาชักลงลงตา
สารสื่อประสาที่ว่า นั้น ก็คือ glutamate นั่นเอง

Drugs Acting Through Increasing Inhibition (GABA)
ยาที่ทำหน้าที่ไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารสื่อประสาท
ซึ่งทำหน้ายับยั้งคลื่นประสามในเซลล์สมอง ได้แก่:

 GABAPENTIN และ PROGABIDE ถือเป็นยากลุ่มแรกที่ถูกสร้างขึ้น
เป็นยามีฤทธิ์กว้าง (broad spectumr) ต่อการต้านอาการชัก
ถูกนำมาใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่าง ๆ ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต้านมชักตัวอื่น ๆ

Drugs Which Reduce Excitation of Neurones (Glutamate)

Lamotrigine เป็นยาที่ทำหน้าทีลดการกระตุ้นเซลล์ประสาท ด้วยวิธีการสองประการ:
ประการแรก: ไปยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาท Glutamete
ซึ่งทำหน้าทกระตุ้นคลื่นไฟฟ้าระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง ที่อยู่ในบริเวณปลายประสาทนั่นเอง
ประการที่สอง: ยับยั้งไม่ให้ sodium ไหลผ่านกลับเข้าเซลล์ประสาท
เป็นเหตุให้คลื่นประสาทระหว่างเซลล์ลดลงเข่นกัน

Lamotrigine มีฤทธิ์กว้าง (broad spectrum) ในการต้านอาการชัก
ผลข้างเคียงของยาตัวนี้ ที่พบบ่อยได้แก่ เป็นผื่นตามผิวหนัง

เป็นยาที่ถูกนำมาใช้เสริมการรักษาคนไข้ที่เป็นโรคลมชักชนิด partial seizures
รวมทั้งชนิดที่กลายเป็นโรคลมชักแบบทั่วไป
ซึ่ง ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยาต้านโรคลมชักได้

Topiramate
เป็นยารักษาคนไข้ที่เป็นโรคลมชัก
ซึ่งสามารถลดความถี่ของการเกิดอาการชักลงได้
รวมถึงการนำไปใช้รักษาคนไข้ ที่เป็นโรคลมชักชนิดที่เกิดเฉพาะที่ ( partial seizure)
ซึ่ง เป็นรายที่ไม่ตอบสนองต่อยารักษาต้านอาการชัก (refractory)

นอกจากนั้น ยังพบว่า Topiramate ยังสามารถช่วยสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในกระแสไฟฟ้า
ภายในสมอง

Drugs that affect the availability of
gamma aminobutyric acid (GABA)

GABITRIL (tiagabine hydrochloride)
เป็นยาที่ผลิตขึ้นใหม่ มีผลโดยตรงต่อสารสื่อประสาท “GABA” ในสมอง
ซึ่งเราคิดว่า มันทำหน้าทียับยั้งคลื่นประสาท (ผิดปกติ)
ที่ทำให้เกิดอาการชักขึ้น
สาร Gabitril ที่ว่านี้ มันทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ประสาทดูดสาร GABAกลับเข้าสู่เซลล์
ซึ่งหมายความว่า Gabritril ช่วยทำให้สารสื่อประสาท GABA ทำงานได้ยาวนานขึ้น

ยาใหม่ตัวนี้ ถูกนำไปใช้รักษาคนไข้ที่เป็นลมชักชนิด Parital seizure
ที่เกิดในผู้หใญ่ และในเด็กที่มีอายยุ 12ปีขึ้นไป

Surgery for Epilepsy

ความคิดที่จะทำการรักษาโรคลมชักด้วยการผ่าตัด..
ถือได้ว่า ไม่เป็นเรื่องใหม่เลย
เพราะมีการใช้ศัลยกรรมเข้าทำการรักษาคนไข้โรรคลมชัก ตั้งแต่ปี 1886

เมื่อเวลาหลายปีผ่านไป การรักษาทางศัลยศาตร์ทางสมอง ได้พัฒนาในด้านความปลอดภัย
ด้วยการผ่าตัดเอาสมองส่วนเล็ก ๆ ที่เป็นรอยโรค ซึ่งทำหน้าที่ผิดปกติ
ทำให้เกิดอาการชักออกไป

จาก Australian teaching hospitals ได้พัฒนาเครื่องมือ ที่สามารถ
ประเมินคนไข้ว่า ใครที่เป็นโรคลมชัก ควรได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดสมอง...
เขารายงานว่า คนไข้ที่เป็นโรคลมชักที่มีอาการชักตั้งตัว (generalized epilepsy)
ไม่สามารถที่จะทำการผ่าตัดสมองได้
เพราะไม่สามารถตรวจพบได้ว่า จุดใดในสมองเป็นจุดที่ทำให้เกิดอาการชักได้

วิธีการผ่าตัด เป็นวิธีที่สามารถรักษาโรคลมชักให้หายขาดได้
ถ้าเลือกคนไข้ได้ถูกต้อง คนไข้คนนั้นก็ได้รับการผ่าตัดไป
ซึ่งปรากฏว่า มมีเพียง 1 % ของคนที่เป็นโรคลมชัก ที่มีโอกาสเช่นนั้น

เห็นตัวเลขแล้ว....
เกิดความสงสัยว่า จะมีสักกี่คนที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ?
สำหรับในบ้านเรา...คนผ่าตัดเขาคงกล้าทำ แต่คนที่ถูกผ่า จะกล้าให้เขาผ่าหรือไม่
ยังสงสัย (คงต้องศึกษาหาความรู้เรื่องนี้กันต่อไป ?)

First Aid for Seizures
ด้วยพฤติกรรมที่เหมาะสม เราสามารถช่วยคนไข้บางคน
ที่เป็นลมชักได้ โดยเฉพาะคนไขที่เป็นโรคลมชักชนิด grand mal
ซึ่งอาจจำเป็นต้องได้รับการปฐมพยาบาล
ส่วนชนิดอื่น ๆ เราอาจไม่ต้องทำอะไรเลย

ในคนไข้ลมชักแบบ grand mal (tonic-clonic seizures)
ใครเห็นแล้ว จะจำไปจนวันตาย...น่ากลัว!
แต่ต้องรู้ด้วยว่า ในขณะที่อยู่ในอาการชัก คนไข้ไม่รู้สึกตัว (unconscious)
ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ
อาการชักจะเป็นนานประมาณไม่กี่นาที และไม่ต้องให้ยาไประงับอาการชัก
สิ่งที่ควรทำ มีเพียงกรรมวิธีง่าย ๆ :

1. จงสงบเข้าไว้ จำไว้ว่า เมือคนไข้มีอาการชักเกิดขึ้น
เราไม่สามารถหยุดมันได้ ไม่ต้องพยายามทำอะไร ปล่อยให้เขาชักต่อ
2. วางคนไข้บนพื้นราบ ให้อยู่ในท่าที่สบาย คลายเสื้อผ้าให้หลวม
3. เอาสิ่งของมีคม หรือของแข็งออกห่างจากคนไข้ เป้นการป้องกันอันตราย
ไม่ให้เกิดกับคนไข้ อาจใช้อะไรสักอย่างป้องกันไม่ให้ศีรษะได้รับการกระแทก
4. อย่าใส่อะไรเข้าไปในปากคนไข้เป็นอันขาด...เดี๋ยวเขากัดนิ้วขาดได้
5. เมื่อคนไข้เข้าสู่ระยะผ่อนคลาย ซึ่งเกิดหลังอาการชักผ่านไป
ให้จับคนไข้นอนคว่ำ หันศีรษะไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ให้ศีศีรษะเหยียด
(อย่าให้งอพับไปทางด้านหน้า) เพื่อ ให้น้ำลายไหลออกจากปากได้ง่าย
ต้องแน่ใจด้วยว่า คนไข้หายใจสะดวก ไม่มีอะไรขัดขวางทางเดินหายใจ
6. ถ้าคนไข้ยังรู้สึกอ่อนเพลีย สับสน เราควรอยู่เป็นเพื่อนดูแลเขาต่อไป
7. ถ้าเป็นเด็กเกิดอาการชัก...ให้ติดต่อพ่อ-แม่ หรือคนดูแลเด็ก
8. ในกรณีที่คนไข้เกิดอาการชักหลายครั้ง เรียงกันเป็นตับ(เกิดหลายครั้ง) ก่อนที่คนไข้
จะฟื้นคืนสติเป็นปกติ หรืออาการชักที่เกิดเป็นนานเกิน 10 นาที...คนไข้ควรส่งพบแพทย์โดยด่วน

Absence Seizures:
ในรายที่เป็นโรคลมชักชนิด Absence (petit Mal) seizures
ไม่จำเป็นต้องได้รับการปฐมพยาบาลแต่อย่างใด

Complex-Partial (Psychomotor or Temporal lobe):
1. อย่ารั้งคนไข้ ปล่อยให้เขาชัก เราเพียงแต่ป้องกันไม่ให้เขาได้รับอันตรายจากของมีคม หรือของร้อน
2. ถ้าคนไข้เดินเตร็ดเตร่ ไม่ยอมอยู่นิ่ง ก้ไม่ต้องทำอะไร เราเพียงแต่อยู่กับเขาเท่านัน

Absence (Petit Mal) No first aid is required.

Simple-Partial (Focal) seizure:
ไม่จำเป็นต้องได้รับการปฐมพยาบาลแต่อย่างใด

Adapted from: http://137.172.248.46/treatmen.htm

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

Frequently Asked Questions: Treatment of Epilepsy (continued)

Which Drug to Use
เราจะใช้ยารักษาโรคลมชักตัวใหนดี ?
ในการใช้ยารักษา จำเป็นต้องขึ้นกับชนิดของโรคลมชักว่า เป็นชนิดใด ?

ยาบางตัว เช่น Epilim ซึ่งเป็นยาที่มีฤทธิ์กว้าง (Broad spectrum)
ถุกนำไปใช้นโรคลมชักหลายชนิด เช่น พวก tonic-clonic, absence attack และ อื่น ๆ
ส่วน Zarontin จะมีฤทธิ์แคบ (Narrow spectrum)
ถูกนำไปใช้แก้โรคลมชักชนิดเดียวเท่านั้น นั่นคือ absence seizure(Silent seizures)

เมื่อกล่าวถึงผลข้างเคียงของยา ยกตัวอย่าง Dilantin
เมื่อนำมาใช้รักษาโรค จะทำให้เกิดมีขน (Hair) เกิดขึ้นทีใบหน้า
ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ใช้ในสุภาพสตรี โดยเฉพาะสตรีผิวดำ
เมื่อมีขนขึ้นเต็มหน้า...
คงไม่ต้องพูดหรอกว่า เธอจะมีใบหน้าเหมือนอะไร ?

นอกจากนั้น dilantin ยังมีแนวโน้มทำให้กระบวนทางความรู้สึกนึกคิด
รวมทั้งความจำช้าลงได้มากกว่า
ยาต้านอาการชักตัวใหม่ ๆ เช่น Tegretol หรือ Epilim
จะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าว

สำหรับสตรีที่ต้องการตั้งครรภ์ บังเอิญเธอมีโรคลมชักด้วย
พบว่า ยาต้านอาการชักทุกตัว....ย้ำทุกตัว!
จะมีอันตรายต่อเด็กที่ยังไม่คลอด

เมื่อมีการใช้ยาต้านลมชัก (antiepileptic drugs) ร่วมกับยาชนิดอื่น...?

ในขณะที่ท่านกำลังรับประทานยาต้านชักอยู่นั้น หากท่านรับยาตัวอื่นเข้าไปด้วย
โอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ย่อมเกิดได้สูงมาก
ยกตัวอย่าง เช่น ยาควบกำเนิด

ซึ่งมียาเพียงตัวเดียวเท่านั้น คือ Epilim ทีพบว่าปลอดจากการทำปฏิกิริยากับยาตัวอื่น ๆ
ส่วนยาต้านอาการชักตัวอื่น ๆ จะทำให้ยาคุมเนิดถูกเผาผลาญที่ตับได้เร็วขึ้น
หรือทำให้มันถูกขจัดออกจากระแสเลือดได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้จะกล่าวว่ายา Epilim เป็นยาเพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่สตรีเป็นโรคลมชัก
สามารถรับปทานร่วมกับยาคุมกำเนิดได้ โดยไม่มีผลกระทบ
แต่ก็ควรระวังไว้เสมอว่า ยาตัวดังกล่าว อาจทำปฏิกิริยาคุมกำเนิดขึ้นก็ได้
อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด !

คำถามต่อไปที่มักจะถามกันเสมอ
เราสามารถรับประทานยากันชักได้มากกว่าหนึ่งชนิดหรือไม่ ?

โดยทั่วไป การรักษาโรคลมชัก จะใช้ยาเพียงชนิดเดียวเท่านั้น
เพราะการใช้ยาต้านอาการชักหลายตัว มีโอกาสเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาขึ้นได้
แม้กระทั้งยาที่ว่า เป็นยาต้านลมชักด้วยกัน

มีแพทย์ทางระบบประสาทกล่าวว่า
คนไข้รายใดที่รับประทานยาต้านชักมากกว่าหนึ่งตัว...
ถือว่า เป็นการรักษาที่ผิด (Mismananged)

ส่วนแพทย์ท่านอื่น ๆ เขาแย้งว่า..... ไม่จริง !
เพราะมีคนไข้จำนวนหนึ่ง ทั่ง ๆ ที่ระดับยาในกระแสเลือดมีเพียงพอต่อการ
ควบคุมอาการชักได้ แต่คนไข้ก็ยังมีอาการชักอยู่ดี...แล้วจะให้ทำอย่างไร ?

การเพิ่มยาตัวที่สอง อาจควบคุมอาการที่ล้มเหลวจากการใช้ยาตัวเดียวได้
แต่ ไม่แนะนำให้มีการใช้ยาตัวที่สาม หรือตัวที่สี่แก่คนไข้.

How Safe are Anti-epileptic Drugs in Pregnancy
หากเธอต้องการตั้งครรภ์ เธอควรทำอย่างไร ?

คนเรา...เมื่อแต่งงานเป็นฝั่งป็นฝาแล้ว ก็ต้องการมีบุตรไวสืบสกุล...
นั่นเป็นเรื่องปกติของชาวโลก
แต่ถ้าเธอโชคร้าย มีโรคลมชักด้วย...จะทำอย่างไรดี?

เป็นที่ทราบกันว่า ในระหว่างตั้งครรภ์ และมีการใช้ยาต้านชัก
โอกาสที่จะทำให้เกิดความพิการในเด็กได้ แม้ว่าจะมีเปอร์เซ็นต์น้อยก็ตามที
นอกเหนือไปจากนั้น ในรายที่เป็นโรคลมชักชนิด tonic-clonic Seizures
ที่ไม่สมารถควบคุมอาการชักได้ สตรีตั้งครรภ์มีโอกาสแท้งลูกได้
หรืออาจคลอดก่อนกำหนด หรืออาจได้รับบาดเจ็บจากการ

ความพิการของเด็กที่เกิดจากสตรีตั้งครรภ์ ที่ได้รับยาต้านอาการชัก
จะเกิดขึ้นที่ไขประสาทสันหลัง เช่น spina bifida ไขประสาทสันหลังเจริญไม่เต็มที่
ยังผลให้เกิดที่เกิดมีอาการขาอ่อนแรง ไม่สามารถปัสสาวะได้ตาม ปกติ

ยาทั้งสามตัว ที่ใชกันบ่อย คือ Dilantin, epilim และ tegretol
ต่างมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดความพิการดังกล่าวได้
และเราไม่ทราบเสียด้วยว่า ตัวไหนจะทำให้เกิดความพิการได้มากกว่ากัน

มีหลักฐานยืนยันว่า การให้ Folic acid แก่มารดา สามารถลดความ
เสี่ยงต่อการเกิดความพิการของไขประสาทสันหลัง (spina bifuda ลงได้

สุดท้าย อย่าได้ลืมเป็นอันขาด...
การรับประทานยาต้านชัก ร่วมกับยาคุมกำเนิด สามารถทำให้ท่านท้องได้
เพราะยาต้านชัก ทำให้ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดลดลง

ยาต้านโรคลมชัก (Anti-epileptic drugs ที่มีใช้ในปัจจุบัน ได้แก่:

• Tegretol (Carbamazepine)
• Epilum (Sodium valproate)
• Dilantin (Phenytoin sodium)
• Zarontin (Ethosuximide)
• Rivertril (Clonazepam)
• Frisium (Clobazepam)
• Valium (Diazepam)
• Mogadon (Nitrazepam)
• Prominal (Methylphenobarbitone)
• Mysoline (Primidone)
• Phenobarbitone
• Ospolot (Suthiame)
• Gabapentin
• Progabide
• Vigabatrin
• Lamotrigine
• Topiramate
• Gabitril

ยาต้านโรคลมชัก (anti-epileptic drugs)

บางครั้งเราเรียก ยาต้านอาการชัก (anticonvulsant) ด้วยเหตุผลที่ว่า
มันทำหน้าที่ต้านไม่ให้เกิดอาการชักเกิดขึ้น
บางท่านเรียกยาต้านโรคลมชัก (anti-epileptic)
แต่เนื่องจากโรคลมชักบางชนิด ไม่มีอาการชักเลย แต่ก็เรียกว่าเป็นโรคลมชัก
เช่น Abence seizure บางทีเราเรียก silent seizures
เพราะโรคดังกล่าว การเรียกยาพวกนี้ว่า เป็น anti-epileptic drugs
น่าจะเหมาะสมกว่า ?

TEGRETOL (Carbamazepine, Ciba-Geigy Ltd)
เป็นยารักษาโรคลมชักที่มีฤทธิ์กว้าง และ แรง (powerful broad spectrum)
ออกมาในรูปของยาเม็ดสีขาวสองขนาด (100 mg & 200 mg)
ให้วันละสองครั้งเช้า-เย็น (หลังอาหาร)
สำหรับขนาดของยาในผู้ใหญ่ มักจะให้ประมาณ 1 – 2 เม็ด รับประทาน เช้าเย็น

ถ้ายาทีให้มีขนาดสูงเกินไป คนไข้จะรู้สึกเมา เหมือนเมาเหล้า รู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น เดินเสียศูนย์
ซึ่งเราสามารถลดขนาดของยาลง โดยยึดความเข็มข้นของยาที่วัดได้จากเลือด
ฤทธิ์อันไม่พึงปรารถนาจากการใช้ยาต้านชัก มักจะปรากฏในสองสามวันแรก
หรือ 1 – 2 อาทิตย์ ด้วยอาการวิงเวียน คลื่นไส้ ปากแห้ง
อาการเหล่านี้จะหายไปในไม่กี่วัน

ถ้าเราให้ Tegretol จากน้อยไปหามาก อย่างช้า ๆ อาการดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น
บางครั้ง การเกิดเป็นผื่นบนผิวหนังเหมือนหัดเยอรมันได้
ผลข้างเคียงที่รุนแรงกว่านี้ได้แก่ เกิดตัวเหลืองตาเหลือง เม็ดเลือดขาวลดลง
และมีแผลที่ปาก และ คอ...
โชคยังดีที่อาการเหล่านี้พบได้มาก

ก่อนใช้ยาตัวนี้ (tegretol) เพื่อป้องกันในเรื่องของตับ
ควรทำการตรวจเลือดก่อนให้ยา และตรวจซ้ำทุกอาทิตย์ในเดือนแรกหลังการรักษา
จากนั้นให้ตรวจทุกเดือน ภายในปีแรกของการรักษาด้วยยาดังกล่าว

ในด้านปฏิบัติ ฤทธิ์ข้างเคียงส่วนมากมักจะมีอาการเพียงเล็กน้อย
อาการจะหายไปภายในอาทิตย์แรก...สองอาทิตย์
Tegretol เป็นยาที่มีฤทธิ์แรงมากที่สุด และมีประโยชน์ในการใช้รักษาโรคลมชัก
ที่มีใช้ในปัจจบัน

EPILIM (Sodium valproate, Reckitt & Colman)

Epilim เป็นยาอีกตัว ที่มีฤทธิ์กว้าง (Broad spectrum) สำหรับรักษาโรคต้านลมชัก
โดยเขาเชื่อว่า มันไปเพิ่มระดับสารสื่อประสาท GABA
ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ยับยั้งสัญญาณประสาทระหว่างเซลล์ประสาท
GABA เป็นสารสื่อประสาท ที่ทำหน้าที่ยับยั้งสัญญาณประสาทรหว่างเซลล์ประสาท
ทำให้คลื่นประสาท ที่จะทำให้เกิดอาการชักลดลง

Epilim (sodium valproate) มีหลายชนิด ชนิดเม้ด
มีสองขนาด 200 mg และ 500 mg ชนิด syrup 200mg/5ml

ส่วนใหญ่จะให้ Epilim เช้า-เย็น พร้อมอาหาร ให้ห่างกัน 12 ชั่วโมง
เนื่องจากไม่สามารถพึ่งพาความเข็มข้นของยาในกระแสเลือด
ดังนั้น การปรับขนาดของยา กระทำได้ด้วยการอาศัยน้ำไหนักของ
คนไข้เป็นเกณฑ์ ซึ่งมีขนาดของยา 20-30 mg/kg body weigth/24
hours

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ได้แก่อากาคลื่นไส้ และท้องล่วง โดยมันจะเกิดใน 2-3 วันแรก
เมื่อรับประทานยา epilim เป็นระยะเวลานาน ๆ จะมีอาการมือสั่นได้
นอกจากนั้น ยังทำให้เพิ่มน้ำหนักตัว แล ะผมล่วง

เนื่องจาก Epilim อาจทำให้เกิดตับวายได้ (พบได้น้อยมาก ๆ)
เคยมีตัวอย่างของคนเกิดตับวายแบบฉับพลัน บางรายถึงกับตายได้
ดังนั้น เขาจึงแนะนำว่า รายที่มีโรคตับ ไม่ควรให้ยา epilim
เมื่อมีการใช้ยา epilim ควรดูเลือดดูการทำงานของตับก่อนเริ่มให้ยา
หลังจากได้รับยาแล้ว ให้ตรวจดูการทำงานของตับทุกเดือน

DILANTIN Phenytoin sodium,

Dilantin แม้ว่าจะเป็นยาเก่าแก่มาก เป็นยาที่นำมาในรักษาคนไข้เป็นโรคลมชัก
ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้ยังใช้รักษาคนไข้ โรคลมชักชนิด grand mal seizures
และโรคลมชักชนิดอื่น ๆ แต่เนื่องจาก การใช้ยาตัวนี้ มักจะถูกรบกวนด้วยผลข้างเคียง
ดังนั้น เขาอาจเปลี่ยนยาใหม่แทน เช่น tegretol และ Epilim (sodium valproate)

ยา Dilantin เป็นยาที่ดีสำหรับควบคุมอาการชักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยังเป็นยาที่มีประโยชน์ในด้าน เป็นยาเสริมยาตัวอื่น
ที่ใช้เพียงตัวเดียวมาก่อน (monotherapy) แต่ไม่ได้ผล

นอกจากนั้น เราจะใช้ยาตัวนี้ เมื่อไม่ต้องการที่จะใช้นานนัก
เช่น ในรายที่ได้รับการผ่าตัดสมอง แพทย์เขาจะให้ยา dialntin
เป็นเวลาเป็นเวลา 1-2 ปี )

ถ้ากินยาขนาดแรงไป (overdose) จะทำให้เกิดอาการคล้ายเมาเหล้า
ร่วมกับครึ่งหลับครึ่งตื่น เสียการทรงตัวทีเท้า


ผลข้างเคียงระยะสั้น จะไม่คอยพบในการใช้ยา dilantin
แต่ผลอันไม่พึงประสงค์จะค่อย ๆ เกิด มื่อมีการใช้ยานานเป็นปี ๆ
ถึงจะเกิดอาการข้างเคียง ที่รุนแรง

ผลข้างเคียงระยะยาวได้แก่ มีขนเกิดขึ้นที่ใบหน้า แขน-ขา โดยเฉพาะสตรีผิวดำ
เกิดเหงือกบวม และหนาขึ้น มีแนวโน้มที่จะเกิดมีเลือดออก
จิตซบเซา และ ความจำเสื่อม

เมื่อจำเป็นต้องใช้ (กิน) ยา dilantin เป็นเวลานาน
ให้สังเกต... สนใจเหงือกของตนเองให้มาก เพราะมันสามารถทำให้เลือดออกได้
ดังนั้น เราควรรักษาความสะอาดปาก และฟันให้ดี

ผลแทรกซ้อนอีกอย่างหนึ่งของการใช้ dilantin คือ เกิดผื่นเหมือนหัดเยอรมัน
ในกรณีดังกล่าว อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยาตัวอื่นแทน

ZARONTIN ethisyxunudem Parke Davis Pty Ltd
Zarontin เป็นยาเพียงตัวเดียว ที่นำมาใช้รักษาโรคลมชักชนิดเดียวเท่านั้น
นั้นคือโรคลมชัก ที่ไม่มีอาการชัก- Absence seizure
ซึ่งเราเคยเรียกว่า petit mal seizures

ผลข้างเคียง ซึ่งได้ไม่บ่อย ได้แก่ อาการคลื่นไส้ และมีอาการปวดท้อง
มีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น


Benzodiazepine Drugs
เป็นยาที่มีคุณสมบัติทำให้เกิดการกล่อมประสาท และสามารถต้าน
อาการเครียด และถูกใช้ต้านอาการชักด้วย
ตามความเป็นจริง ยาตัวนี้ มีฤทธิ์ในการต่อต้านโรคลมชักได้อ่อนมาก
ในด้านการปฏิบัติ เราไม่ควรใช้ยาตัวนี้เป็นตัวเลือกแรก
แต่ควรสงวนเอาไว้สำหรบสถานการณ์ ที่โรคลมชักไม่สามารถควบคุมได้
แม้ว่า เราจะให้ยาต้านอาการชักตัวอื่นอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม

The benzodiazepine drugs ได้แก่:
• RIVOTRIL (Clonazepam, Roche Products Pty Ltd)
• FRISIUM (Clobazepam, Hoescht Australia Ltd)
• VALIUM (Diazepam, Roche Products Pty Ltd)

continue >