9/11/12
continued….
continued….
การวินิจฉัย (Diagnosis)
Go to link... http://ordo-yukbelajar.blogspot.com/
Go to link... http://ordo-yukbelajar.blogspot.com/
แพทย์จะทำการตรวจสอบประวัติของการเกิดโรค และบอกให้ท่านอธิบาย
อาการของท่านว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? เช่น:
§ ท่านอาศัยอยู่ในที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นพิษ หรือมีสารกัมมันตภาพรังสีหรือไม่ ?
§ ท่านรับยาอะไร ?
§ ท่านมีประวัติของคนในครอบครัว เป็นโรคโลหิตจาง aplastic anemia หรือไม่ ?
บางครั้ง การเกิดโรคโลหิตจาง Aplastic anemia อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการ
เกิดมะเร็งเลือด Leukemia รูปใดรูปหนึ่ง
จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจ ด้วยการมองหาอาการแสดงของโรค Aplastic
Anemia จากนั้น จะมีการตรวจเลือดดูระดับของเม็ดเลือดแดง,
เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด
เมื่อใดก็ตามที่พบว่า เม็ดเลือดทั้งสามชนิดมีระดับต่ำ
เราจะสงสัยว่า มันเป็นโรคโลหิตจาง Aplastic anemia แต่เซลล์ยังมีรูปร่างเป็นปกติ
การตรวจเพื่อยืนยันว่า คนไข้เป็นโรคโลหิตจางหรือไม่ คือ
การตรวไขกระดูก ด้วยการเจาะเอาไขกระดูกมาทำการตรวจ (bone marrow biopsy)
ในการทำการเจาะไขกระดูกมาตรวจ สามารถกระทำได้ด้วยการเจาะเอาไขกระดูก
จากกระดูกเชิงกราน หรือ กระดูกสันหลัง จากนั้น
แพทย์ทางพยาธิวิทยาจะนำเอา ไขกระดูกไปทำการตรวจในห้องปฏิบัติการณ์
ผลที่ได้จะยืนยันคำวินิจฉัยโรค
Expected Duration
เมื่อโรคโลหิตจาง aplastic anemia ….
เกิดขึ้นแล้ว จะกินเวลานานเท่าใด มันย่อมขึ้นกับความรุนแรงของโรค, อายุของคนไข้
รวมถึงการตอบสนองต่อการรักษา ยกตัวอย่าง คนที่เป็น Aplastic anemia
ที่เกิดจากการใช้ยา, จากการตั้งครรภ์, จาก infectious mononucleosis
หรือ การถูกรังสีขนาดน้อย ๆ จะใช้เวลาไม่นานก็หายแล้ว
แต่หากโรคที่เกิดไม่ทราบต้นตอของโรค หรือรายที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบ B,
ถูกพิษของสารบางอย่าง เช่น benzene, ยาฆ่าแมลง, ยาบางตัว, ถูกรังสีที่มีขนาดสูง
หรือเกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน (autoimmune disease) การรักษาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งต้องใช้เวลา
การป้องกัน (Prevention)
ท่านสามารถป้องกันโรคโลหิตจางบางชนิดได้
ด้วยการหลีกเลี่ยงไปสัมผัสสารพิต่าง ๆ, หลีกเลี่ยงจากสารกัมมันตภาพรังสี,
และยาต่าง ๆ ที่สามารถทำให้เกิดโรคได้ ให้หลีกเลี่ยงจากการเกิดอักเสบของไวรัสในตับ ซึ่งท่านสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการฉีดวัคซีน hepatis B และ HIV และ hepatitis B โดยท่านสามารถป้องกันได้ด้วยการระมัดระวังเรื่องการมีเพศสัมพันธ์
ด้วยการหลีกเลี่ยงไปสัมผัสสารพิต่าง ๆ, หลีกเลี่ยงจากสารกัมมันตภาพรังสี,
และยาต่าง ๆ ที่สามารถทำให้เกิดโรคได้ ให้หลีกเลี่ยงจากการเกิดอักเสบของไวรัสในตับ ซึ่งท่านสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการฉีดวัคซีน hepatis B และ HIV และ hepatitis B โดยท่านสามารถป้องกันได้ด้วยการระมัดระวังเรื่องการมีเพศสัมพันธ์
และหลีกเลี่ยงจากการใช้ยาฉีดเข้าเส้น
การรักษา (Treatment)
การรักษาโรค aplastic anemia จะรักษาอย่างใด ย่อมขึ้นกับสาเหตุ
และความรุนแรงของโรคเป็นสำคัญ ถ้าเป็นโรคที่เกิดในระยะสั้น
เช่น เกิดจากยา, ตั้งครรภ์, ถูกรังสีต่ำ ๆ,
หรือกจาการอักเสบ infectious mononucleosis….
และความรุนแรงของโรคเป็นสำคัญ ถ้าเป็นโรคที่เกิดในระยะสั้น
เช่น เกิดจากยา, ตั้งครรภ์, ถูกรังสีต่ำ ๆ,
หรือกจาการอักเสบ infectious mononucleosis….
ในกรณีเหล่านี้ เราอาจไม่ต้องทำอะไร เพราะโรคมันหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา
อย่างไรก็ตาม เราสามารถรักษาอาการที่เกิดขึ้นได้
เช่น เสียเลือด...ให้เลือด และเกล็ดเลือด,
หากเกิดการอักเสบ... ให้ยาปฏิชีวนะ
หากเกิดการอักเสบ... ให้ยาปฏิชีวนะ
สำหรับสตรีที่เกิดโรค aplastic anemia ชนิดไม่รุนแรง (mild forms)….
อาจะให้ยาคุมกำเนิดรับทาน (oral contraceptives)
ซึ่งทำให้ประจำเดือนออกไม่มาก
ในกรณีที่เป็นโรคโลหิตจาง aplastic anemia ที่รุนแรง และเป็นโรคที่กินเวลา
ยาวนาน การรักษาหลักได้แก่ การปลูกถ่ายไขกระดูก และให้ยายับยั้งภูมิคุ้มกัน
(bone marrow transplantation & immunosuppressive therapies)
ในการรักษาโรค aplastic anemia โดยได้รับยาหลายตัว
ซึ่งจะทำลายการทำงานของระดับภูมิคุ้นกันไปนั้น จะทำให้คนไข้ตกอยู่ภายใต้
ความเสี่ยงต่อการเกิดอักเสบติดเชื้อ....ชนิดไม่ธรรมดาเสียด้วย
และ การอักเสบที่เกิด อาจเกิดก่อนที่ไขกระดูก (ใหม่) จะมีโอกาสฟื้นตัว
และสามารถตอสู้กับการอักเสบได้
และสามารถตอสู้กับการอักเสบได้
การปลูกถ่ายไขกระดูก เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมาก
แต่สำหรับคนสูงอายุที่เป็นโรคดังกล่าว มีโอกาสตายจากการรักษาด้วยวิธีการ
ปลูกถ่ายไขกระดูกได้ ดังนั้น จึงเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับรักษาในเด็ก, เด็กวัย
รุ่น และ คนหนุ่ม นอกจากนั้น หากคนไข้ได้รับไขกระดูกจากพี่น้องของเขา
ยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้น
ในบางราย ผู้บริจาคไขกระดูกสามารถเข้ากับผู้รับได้พอดี...
อย่างไรก็ตาม จะพบว่า อัตราเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการปลูกถ่ายจะสูงใน
คนไข้ที่ไม่ได้รับไขกระดูกจากพี่น้องของเขา
มีคนไข้บางราย แทนที่จะรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก แต่ได้รับการรักษา
ด้วยการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive medications)
โดยมียาถูกนำมาใช้ ได้แก่:
Ø Anti-thymocte globulin (Thyoglobulin) เรามักเรียกว่า ATG
Ø Antilymphocyteglobulin (ALG)
Ø Prednisone
Ø Cyclosporine
นอกจากนั้น เรามียาสำหรับกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดเลือด (blood cell production)
ซึ่งสามารถกระตุ้นได้ด้วย:
Ø Erythropoietin
Ø Granulocyte colony-stimulating factor (G-CSF)
Ø Granulocyte-macrophage colony-stimulatingmfactor (GM-CSF) หรือ
Ø Other hematopoietic growth factor medications
การพยากรณ์โรค (Prognosis)
อนาคตของคนเป็นโรคโลหิตจาง aplastic anemia จะเป็นอย่างไร
ย่อมขึ้นกับสาเหตุหรือความรุนแรงของโรคเป็นสำคัญ
คนไข้ที่เกิดจากยาบางอย่าง (Medications), ตั้งครรภ์, รังสีที่ขนาดต่ำ ๆ
หรือ การอักเสบติดเชื้อ-infectious mononucleosis จะเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ
และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น เลือดจาง, เลือดออก, มีแนวโน้มเกิดการอักเสบ
ซึ่งพวกนี้สามารถรักษาได้
สำหรับสตรีที่ตั้งครรภ์ แล้วเกิดเป็นโรคโลหิตจาง aplastic anemia
พวกนี้อาจมีปัญหาอีกครั้งในการตั้งครรภ์คราวต่อไป
โรคโลหิตจาง Aplastic anemia สามารถนำไปสู่ความตายได้
ถ้าโรคนั้นเป็นเป็นนาน และมีความรุนแรง
ในการรักษาคนไข้กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก
ประมาณ 70 % ถึง 90 % ซึ่งได้รับไขกระดูกจากพี่น้องของเขา (siblings)
ในกรณีที่เราไม่สามารถรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก...
ประมาณว่า 50 % ของคนไข้จะสนองตอบต่อ immunosuppressive therapy
เพียงอย่างเดียว แต่หากได้รับการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวในระยะยาว คนไข้
มีแนวโน้มที่จะเกิดมะเร็งขึ้น โดยเฉพาะมะเร็งเลือด Leukemia
ซึ่งสามารถเกิดได้อย่างเฉียบพลัน
สำหรับคนไข้ที่เป็นโรค aplastic anemia ซึ่งเป็นรายที่รุนแรง
และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีที่เรามี พบว่า 80 % มีโอกาสเสียชีวิตภาย
ในเวลา 18 ถึง 24 เดือน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น