วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

Pancreatic Islet Transplantation

9/7/12

กรรมวิธีปลูกถ่ายกลุ่มเบต้า-เซลล์

นักวิจัยใช้เอ็นไซม์พิเศษ  สกัดเอากลุ่มเซลล์ออกจากตับอ่อนจากศพ
เนื่องจากกลุ่ม “เบต้า-เซลล์” มันแตกเป็นส่วนเล็ก ๆ ได้ง่าย 
ดังนั้นควรฉีดเข้าสู่คนที่ต้องการได้รับการปลูกถ่ายให้เร็วที่สุด
(สกัดได้ปุบก็ฉีดเข้าสู่คนทันที)


โดยทั่วไป  คนได้รับการปลูกถ่าย  ควรได้รับกลุ่มเบต้า-เซลล์จำนวนอย่างน้อย
10,000 กลุ่ม  ต่อน้ำหนักหนึ่งกิโลกรัม
(ถ้าคนไข้น้ำหนัก 60 kg  เขาจะได้รับกลุ่มเซลล์จำนวน 60x10,000 กลุ่ม) 
ส่วนใหญ่ คนไข้จะได้รับการปลูกถ่ายกันสองครั้ง  เพื่อให้คนไข้ที่เป็นเบาหวาน  
ไม่ต้องพึ่งพาอินซูลินอีกต่อไป


การปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์ที่ได้จากผู้บริจาค  ส่วนใหญ่กระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยว
ชาญทางเอกซเรย์  ซึ่งเขาใช้เอกซเรย์  หรือ  อัลตร้าซาวด์  เป็นตัวช่วย
ในการสอดใส่สายยางเข้าสู่ช่องท้องผ่านเส้นเลือด portal vein เข้าสู่ตับ
จากนั้นเขาก็ปล่อยกลุ่มเซลล์ (เหมือนปล่อยน้ำเกลือ) ผ่านไปตามสายยางเข้า
สู่ตับอย่างช้า ๆ
  
ภายหลังการปลูกถ่ายกลุ่มเบต้า-เซลล์  มันจะปล่อยอินซูลินออกมาทันที
อย่างไรก็ตาม  กลุ่มเซลล์เบต้าจะทำงานได้เต็มที่  และมีเส้นเลือดเกิดขึ้นจำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง  และคนไข้จำเป็นต้องได้รับอินซูลินจนกว่า 
กลุ่มเซลล์เบต้า  ที่ปลูกถ่ายจะทำงานได้เต็มที่




ประโยชน์ และโทษที่พึงไดจากการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้า ?
  
เป้าหมายของการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้าจากตับอ่อน  คือ  ควบคุม
ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดของคนไข้โรคเบาหวาน  โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา
อินซูลินอีกต่อไป   ประโยชน์อย่างอื่น ๆ ที่ได้จากการปลูกถ่าย....
นอกจากจะควบคุมระดับน้ำตาลดีขึ้นแล้ว   ยังป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลลดต่ำ
(hypoglycemia)


เนื่องจากการควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี  สามารถป้องกันไม่ให้คนไข้
เบาหวานเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้  เช่น  โรคหัวใจ, โรคไต,
โรคเส้นประสาท, และโรคตาถูกทำลาย


การที่เราสามารถทำการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้าจากตับอ่อนได้สำ
เร็จ  สามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวได้


ผลเสียที่ได้จากการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้า  จะพบได้ตั้งแต่การที่
เราทำการเริ่มปลูกถ่าย  เช่น  มีเลือดออก, มีการเกิดมีเลือดเป็นก้อน
และ  ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาระยับยั้งการทำงานของระบบ
ภูมิคุ้มกัน  ไม่ให้ต่อต้าน (rejection) กลุ่มเซลล์ที่ปลูกถ่ายให้แก่คนไข้


Immunosuppressive Drugs
ในการปลูกถ่ายอวัยวะ  มีปัญหาสำคัญคือ  การที่ร่างกายของคนได้
รับการปลูกถ่ายไม่ยอมรับอวัยวะ หรือเซลล์ที่ได้รับการปลูกถ่าย
ซึ่งมันเป็นบทบาทของระบบภูมิคุ้มกัน  จะออกคำสั่งให้มีการทำลาย
สิ่งแปลกปลอมทั้งหลาย  ที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย  เช่น  เชื้อแบคทีเรีย
รวมถึงอวัยวะที่เราทำการปลูกถ่ายด้วย


และเนื่องจาก  ระบบภูมิต้านทานได้ทำลายกลุ่มเซลล์เบต้าของตัวเอง
ตั้งแรกอยู่แล้ว(DM1)  เมื่อมีการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้าที่ได้จากศพ
ระบบภูมิต้านทาน  อาจทำลายกลุ่มเซลล์ที่ปลูกถ่ายอีกครั้งก็ย่อมได้
การให้ยาต้านการทำงานของระบบภูมิต้านทาน (immunosuppressive)
จำเป็นต้องกระทำเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มเซลล์ที่ปลูกถ่าย  ถูกทำลาย


ยาที่เขาใช้กัน คือยารวม  เรียกยาต่อต้านระบบภูมิต้านทาน (rejecting
drugs)  ซึ่งประกอบด้วย  daclizumab (Zenapax), sirolimus
(Rapamune),และ  tacrolimus (Prograf):


Ø  ยา daclizumab (Zenapax) เมื่อได้รับการปลูกถ่ายเซลล์เบต้า
จะฉีดยาตัวนี้ทางเส้นเลอดแก่คนไข้ทันที  และหยุดยา
Ø  ส่วนอีกสองตัว Sirolimus และ tacrolimus เป็นยาหลักสองตัวใช้เพื่อป้องกัน
ไม่ให้ระบบภูมิคุ้มทำลายอวัยวะ (เซลล์ที่ปลูกถ่าย)ตลอดชีวิต 
ตราบเท่าที่อวัยวะที่ปลูกถ่ายยังทำงานได้


ยาต้านระบบภูมิคุ้มกัน  จะมีผลข้างเคียงมากพอสมควร  และผลในระยะ
ยาวยังไม่เป็นที่เข้าใจเท่าใดนัก  แต่ผลข้างเคียงในระยะสั้น  ได้แก่:
เจ็บปาก,  ปวดท้อง และท้องร่วง  คนไข้อาจมีอาการอยางอื่น  เช่น เพิ่ม
ระดับไขมันในเลือด, เพิ่มความดันโลหิต, เลือดจาง, อ่อนเพลีย,
เม็ดเลือดขาวลดต่ำ, การทำงานของไตลดลง, เพิ่มความเสี่ยงต่อการติด
เชื้อ (แบคทีเรีย และไวรัส)  นอกจากนั้น  การให้ยาต้านระบบภูมิต้านทาน 
ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอก  และมะเร็งได้
  

http://www.intelihealth.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น