8/31/12
กรรมวิธีปลูกถ่ายกลุ่มเบต้า-เซลล์
กรรมวิธีปลูกถ่ายกลุ่มเบต้า-เซลล์
นักวิจัยใช้เอ็นไซม์พิเศษ สกัดเอากลุ่มเซลล์ออกจากตับอ่อนจากศพ(donor)
เนื่องจากกลุ่ม “เบต้า-เซลล์” มันแตกเป็นส่วนเล็ก ๆ ได้ง่าย
ดังนั้นควรฉีดเข้าสู่คนที่ต้องการได้รับการปลูกถ่ายให้เร็วที่สุด
(สกัดได้ปุบก็ฉีดเข้าสู่คนทันที)
โดยทั่วไป คนได้รับการปลูกถ่าย ควรได้รับกลุ่มเบต้า-เซลล์จำนวนอย่างน้อย
10,000 กลุ่ม ต่อน้ำหนักหนึ่งกิโลกรัม ส่วนใหญ่ คนไข้จะได้รับการปลูกถ่าย
สองครั้ง เพื่อให้คนไข้ที่เป็นเบาหวาน ไม่ต้องพึ่งพาอินซูลินอีกต่อไป
การปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์ที่ได้จากผู้บริจาค ส่วนใหญ่กระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยว
ชาญทางเอกซเรย์ ซึ่งเขาใช้เอกซเรย์ หรือ อัลตร้าซาวด์ เป็นตัวช่วย
ในการสอดใส่สายยางเข้าสู่ช่องท้องผ่านเส้นเลือด portal vein เข้าสู่ตับ
จากนั้นเขาก็ปล่อยกลุ่มเซลล์ (เหมือนปล่อยน้ำเกลือ) ผ่านไปตามสายยางเข้า
สู่ตับอย่างช้า ๆ
ภายหลังการปลูกถ่ายกลุ่มเบต้า-เซลล์ มันจะปล่อยอินซูลินออกสู่กระแสเลือดมาทันที อย่างไรก็ตาม กลุ่มเซลล์เบต้าจะทำงานได้เต็มที่ และมีเส้นเลือดเกิดขึ้น จำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง และคนไข้จำเป็นต้อง
ได้รับอินซูลินจนกว่า กลุ่มเซลล์เบต้าจะทำงานได้เต็มที่
|
ประโยชน์ และโทษที่พึงไดจากการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้า ?
เป้าหมายของการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้าจากตับอ่อน คือ ควบคุม
ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดของคนไข้โรคเบาหวาน
โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอินซูลินอีกต่อไป
ประโยชน์อย่างอื่น ๆ เช่น นอกจากจะควบคุมระดับน้ำตาลดีขึ้นแล้ว
ยังป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลลดต่ำ (hypoglycemia)
เนื่องจากการควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี สามารถป้องกันไม่ให้คนไข้
เบาหวานเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ, โรคไต,
โรคเส้นประสาท, และโรคตาถูกทำลาย
การที่เราสามารถทำการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้าจากตับอ่อนได้สำ
เร็จ สามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวได้
ผลเสียที่ได้จากการปลกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้า จะพบได้ตั้งแต่การที่
เราทำการเริ่มปลูกถ่าย เช่น มีเลือดออก, มีการเกิดมีเลือดเป็นก้อน
และ ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาระยับยั้งการทำงานของระบบ
ภูมิคุ้มกัน ไม่ให้ต่อต้าน (rejection) กลุ่มเซลล์ที่ปลูกถ่ายให้แก่คนไข้
Immunosuppressive Drugs
ในการปลูกถ่ายอวัยวะ มีปัญหาสำคัญคือ การที่ร่างกายของคนที่ได้
รับการปลูกถ่าย ไม่ยอมรับอวัยวะ หรือเซลล์ที่ได้รับการปลูกถ่าย
ซึ่งมันเป็นบทบาทของระบบภูมิคุ้มกัน จะออกคำสั่งให้มีการทำลาย
สิ่งแปลกปลอมทั้งหลาย ที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อแบคทีเรีย
รวมถึงอวัยวะที่เราทำการปลูกถ่ายด้วย
และเนื่องจาก ระบบภูมิต้านทานได้ทำลายกลุ่มเซลล์เบต้าของตัวเอง
ตั้งแรกอยู่แล้ว(DM1) เมื่อมีการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์เบต้าที่ได้จากศพ
ระบบภูมิต้านทาน อาจทำลายกลุ่มเซลล์ที่ปลูกถ่ายอีกครั้งก็ย่อมได้
การให้ยาต้านการทำงานของระบบภูมิต้านทาน (immunosuppressive)
จำเป็นต้องกระทำเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มเซลล์ที่ปลูกถ่าย ถูกทำลาย
ยาที่เขาใช้กัน คือยารวม เรียกยาต่อต้านระบบภูมิต้านทาน (rejecting
drugs) ซึ่งประกอบด้วย daclizumab (Zenapax), sirolimus
(Rapamune),และ tacrolimus (Prograf):
จะฉีดยาตัวนี้ทางเส้นเลอดแก่คนไข้ทันที และหยุดยา
Ø ส่วนอีกสองตัว Sirolimus และ tacrolimus เป็นยาหลักสองตัว
ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบภูมิคุ้มทำลายอวัยวะ (เซลล์ที่ปลูกถ่าย)
โดยใช้ไปตลอดชีวิต ตราบเท่าที่อวัยวะที่ปลูกถ่ายยังทำงานได้
ยาต้านระบบภูมิคุ้มกัน จะมีผลข้างเคียงมากพอสมควร และผลในระยะ
ยาวยังไม่เป็นที่เข้าใจเท่าใดนัก แต่ผลข้างเคียงในระยะสั้น ได้แก่:
เจ็บปาก, ปวดท้อง และท้องร่วง คนไข้อาจมีอาการอยางอื่น เช่น เพิ่ม
ระดับไขมันในเลือด, เพิ่มความดันโลหิต, เลือดจาง, อ่อนเพลีย,
เม็ดเลือดขาวลดต่ำ, การทำงานของไตลดลง, เพิ่มความเสี่ยงต่อการติด
เชื้อ (แบคทีเรีย และไวรัส) นอกจากนั้น การให้ยาต้านระบบภูมิต้านทาน
ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอก และมะเร็งได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น