9/9/12
continued...
มะเร็งของน้ำเหลือง (Lymphomas) เกิดจากเม็ดเลือดชื่อ Lymphocytes
ซึ่งถูกสร้างในเนื้อเยื่อของน้ำเหลือง (lymph tissue)
Lymphocytes ในร่างกาย จะมีประมาณ 25 % ของเม็ดเลือดขาว
ซึ่ง เซลล์ Lymphocyte หนึ่ง จะไหลเวียนไปตามกระแสเลือดตลอดทั้งร่าง
กาย ทำหน้าที่ต่อสู่กับการอักเสบติดเชื้อที่เกิดขึ้นในร่างกาย
ต่อมน้ำเหลือง สามารถพบตามเครือข่ายของระบบน้ำเหลือง
ซึ่งมีอยู่ทั่วทั้งร่างกาย และจะรวมตัวเป็นกลุ่มของต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณสำคัญ
เช่น ที่บริเวณคอ, ใต้รักแร้, และบริเวณขาหนีบ
มันจะมีขนาดโตขึ้นเมื่อมีการอักเสเกิดขึ้น ยกตัวอย่าง
เวลามีการอักเสบที่บริเวณต่อมทอนซิล
จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอมีขนาดโตขึ้น
ต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้น จะพบได้เสมอ
และส่วนใหญ่จะไม่ใช้อาการแสดงของปัญหาที่ร้ายแรง
และถ้าต่อมน้ำเหลืองโตคงที โดยไม่มีอาการแสดงว่า มีการอักเสบติดเชื้อ
มันอาจเป็นตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงโรคที่น่ากลัว มากกว่าการอักเสบติดเชื้อได้
เช่น เป็นมะเร็งของต่อมน้ำเหลือง Lymphoma
สำหรับ Leukemia อาจไม่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม
ส่วน Multiple myeloma จะไม่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวมได้เลย ยกเว้นเฉพาะ
มีการอักเสบเกิดขึ้นเท่านั้น
ทั้ง leukemia และ multiple myeloma จะเริ่มขึ้นที่ไขกระดูก
โรค Leukemia ส่วนใหญ่จะเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ Lymphocytes
หรือ เม็ดเลือดขาว Neutrophiles ส่วน Multiple myeloma จะเกิดจากเซลล์
ในไขกระดูก เรียก plasma cells
มะเร็งของเลือดทั้ง Leukemia และ multiple myeloma
จะตอบสนองต่อการรักษาเป็นอย่างดี และ มีอัตราการรอดชีวิตจากโรคแตกต่าง
กันอย่างมาก
เราจะพบว่า ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งของเลือด
จะเพิ่มขึ้นตามอายุของคนที่แก่ขึ้น โดยจะเกิดในผู้ชายได้มากกว่าผู้หญิง
และเนื่องจากเราไม่สามารถทราบสาเหตุที่แท้จริงได้ เราจึงไม่มีทางป้องกัน
ไม่ให้มันเกิดขึ้นได้เลย แต่เรามีแนวทางที่ควรปฏิบัติ
เช่น: หลีกเลี่ยงจากรังสีเอกซเรย์ และสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตราย
ผลจากการศึกษา พบว่า benzene ซึ่งพบในน้ำมัน unleaded gasoline, asbetose
และยาฆ่าแมลง สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร้งเลือดบางชนิด
ดังนั้น เมื่อใดที่ท่านเข้าใกล้กับน้ำมัน benzene หรือ สารเคมีที่เป็นอันตราย
ทานควรสรวมถุงมือเสีย ....
ความก้าวหน้าทางการรักษา (Advances in Treatments)
เมื่อเปรียบเทียบสมัยเมื่อสามสิบปีมาแล้ว จะพบว่า
ในสมัยก่อน ทั้ง Leukemia และ Lymphoma ต่างเป็นโรคที่น่ากลัว
มีอัตราการตายสูง แต่พอมายุคปัจจุบันจะพบว่า มะเร็งทั้งสองชนิดมี
อัตราหาย (cure) สูงเป็นที่พอใจทีเดียว
ในการรักษา...เคมีบำบัด chemotherapy) มีบทบาทสำคัญต่อการรักษามะเร็งเลือด
ส่วนการฉายแสง (radiation therapy) ถูกนำมาใช้รักษามะเร็ง
ที่จำกัดตัวอยู่ในวงแคบ หรือเพื่อทำให้มะเร็งที่มีขนาดใหญ่
เพื่อทำให้ก้อนมะเร็งหดเล็กลง
สำหรับการปลูกถ่ายไขกระดูก ปรากฏว่า มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย
นอกจากนั้น ยังมีการรักษาใหม่ ๆ เช่น biological therapies ได้พัฒนาอย่าง
รวดเร็วเช่นกัน และถูกนำมาใช้รักษากันจนส่วนหนึ่งของการรักษา
โดยใช้ร่วมกับการรักษาอย่างอื่น ๆ
การปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone marrow transplantation)
การปลูกถ่ายไขกระดูกได้ถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่เป็น Lymphoma และ Leukemia
ในการรักษาด้วยวิธีนี้ จะมีการให้สารเคมีทำลายเซลล์มะเร็ง (chemotherapy)
ด้วยขนาดที่สูงมากๆ หรือทำการรักษาด้วยการฉายแสงก่อน
ภายหลังเซลล์มะเร็งทั้งหลาย ตลอดรวมถึงเซลล์ปกติที่อยู่ในไขกระดูก ถูกทำลาย
จนหมดสิ้น จากนั้น ก็จะเข้าสู่กระบวนการปลูกถ่ายไขกระดูกใหม่
โดยการฉีดเซลล์ต้นกำเนิด (stem cells) ที่ได้จากไขกระดูก
หรือ จากเลือดให้แก่คนไข้
ในการปลูกถ่ายไขกระดูก....
เป็นเรื่องที่มีอันตรายมาก รวมถึงขั้นทำให้คนไข้เสียชีวิตได้
วิธีการรักษาชนิดนี้ จะได้ผลดีในคนไข้มะเร็งเลือดที่อายุยังน้อย
และโรคมะเร็งเลือดถูกตรวจพบในระยะแรก ๆ
กระบวนการปลูกถ่ายจะต้องกระทำในโรงพยาบาล ที่มีประสบ
การณ์ในการรักษามะเร็งชนิดต่าง ๆ เป็นอย่างดี
และ โปรตีน เข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของคนไข้ ให้ทำลายเซลล์มะเร็ง
สารชีวะภาพ หรือ biological agents ได้แก่:
interferons, interleukins , Monoclonal antibodies, tumor-necrosis factors
และ colony-stimulating factors ต่างเป็นสารที่มีตามธรรมชาติในรางกายของคน
ซึ่งสามารถช่วยระบบภูมิคุ้มกัน ให้จัดการกับเซลล์มะเร็งได้
ในปัจจุบันนี้ นักวิจัยสามารถผลิตสารชีวะภาพจาห้องปฏิบัติการณ์ (lab) ได้
และสารเหล่านั้น สามารถเลียนแบบสารที่มีตามธรรมชาติ และถูกนำไปใช้เสริม
ระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายเซลล์มะเร็งได้
นั้นคือเรื่องราวเกี่ยวกับมะเร็งของเลือดโดยรวม อย่างย่อที่สุด...
สำหรับรายละเอียดของแต่ละโรค จะนำเสนอในโอกาสต่อไป
<< BACK
<< BACK
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น