9/2/12
เมื่อเราเป็นโรคข้ออักเสบ (RA)ขึ้นมา
นอกจากจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดแล้ว มันยังก่อให้เกิดความรำคาญอีกด้วย
เมื่อเราเป็นโรคข้ออักเสบ (RA)ขึ้นมา
นอกจากจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดแล้ว มันยังก่อให้เกิดความรำคาญอีกด้วย
ข้ออักเสบ ที่สามารถให้มีการทำลายกระดุกข้อได้สูง คือโรค “รูมาตอยด์”
ซึ่งมักเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับคนในวัยหนุ่ม และ คนวัยกลางคน
โรคข้ออักเสบ "รูมาตอยด์"....
มันสามารถเกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปได้ประมาณ หนึ่งเปอร์เซ็น
มันสามารถเกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปได้ประมาณ หนึ่งเปอร์เซ็น
และ เกิดในผู้หญิงได้ ประมาณ 3 – 5 %
ในอดีตที่ผ่านมา ได้มีการผลิตยารักษาโรคดังกล่าว
เรียกว่า biologic agents โดยที่ยากลุ่มดังกล่าว จะทำหน้าที่จัดการกับสารเคมีต่าง ๆ
ที่ถูกปล่อยจากเซลล์ที่เกิดการอักเสบ เรียก “cytokines”
เรียกว่า biologic agents โดยที่ยากลุ่มดังกล่าว จะทำหน้าที่จัดการกับสารเคมีต่าง ๆ
ที่ถูกปล่อยจากเซลล์ที่เกิดการอักเสบ เรียก “cytokines”
ซึ่งเข้าใจว่า มันทำให้เกิดการอักเสบของข้อโดยตรง
และทำให้เกิดโรคไขข้อขึ้น
และทำให้เกิดโรคไขข้อขึ้น
สารเคมี Cytokine มีสารเคมีตัวหนึ่ง ชื่อ Tumour necrosis factor (TNF)
อาจเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้เกิดการอักเสบในโรคไขข้ออักเสบ “รูมาตอยด์” ...
อาจเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้เกิดการอักเสบในโรคไขข้ออักเสบ “รูมาตอยด์” ...
หน่วยงานอาหาร และยาของสหรัฐฯ (FDA) เขาได้รับรองสารสามตัว (ยา)
ซึ่งถูกนำไปใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบ (rheumatoid arthritis)
โดยมีเป้าที่ Tumor necrosis factor (TNF)
โดยมีเป้าที่ Tumor necrosis factor (TNF)
ได้แก่:
Ø adalimumab (Humira)
Ø atanercept (Enbrel) และ
Ø infliximab (Remicade)
ยาทั้งสามตัวจะมีประสิทธิภาพมากกว่ายาที่เคยใช้
ได้ถูกนำมาใช้โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ที่มีความรุนแรง,
ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาที่ใช้ตามปกติ เป็นยาที่ต้องฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาที่ใช้ตามปกติ เป็นยาที่ต้องฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
หรือเข้าเส้นเลือดดำ และ เป็นยาที่มีราคาแพงมากพอสมควร
ไม่ว่าท่านจะเลือกใช้ยาตัวใหน ยาทั้งสามมีความแตกต่างในการทำงานกันเพียงเล็กน้อย
และในการใช้ยาก็มีการใช้ในขนาดที่แตกต่างกัน โดยการฉีดอาทิตย์ละสองครั้ง
ถึงทุกแปดอาทิตย์ ส่วนผลข้างเคียง (side effects) เท่าที่ปรากฏ จะไม่แตกต่างกัน
แพทย์ที่ตัดสินใจจะใช้ยาในกลุ่มนี้....
จะต้องตัดสินใจว่า จะใช้ร่วมกับยาตัวอื่นๆ (ยาเดิม) หรือไม่ ?
ยกตัวอย่าง Inflibimab ได้รับการยอมรับให้ใช้ร่วมกับยา methotrexate ได้
โดย Methotexate เป็นยาที่เราใช้รักษาโรครูมาตอยด์กันเป็นประจำ
ซึ่งเราเข้าใจว่า มัน (ยา)สามารถป้องกันไม่ในมีการสร้างภูมิต้านทาน(antibodies)
ที่ลดประสิทธิภาพของสาร infliximab ลง
ดังนั้น การใช้ยาสองตัวร่วมกัน ก็น่าจะสมเหตุสมผล
ที่ลดประสิทธิภาพของสาร infliximab ลง
ดังนั้น การใช้ยาสองตัวร่วมกัน ก็น่าจะสมเหตุสมผล
อย่างไรก็ตาม มีคนไข้โรคข้อรูมาตอยด์จำนวนไม่น้อย...
ยังคงได้รับยา methotrexate ร่วมกับการรักษาด้วย adalimumab
( biologic therapy) หรือ etanercept ต่อไป
ทั้งนี้เพราะมีคนไข้โรคข้ออักเสบ เมื่อมีการเลิกใช้ยา methotrexate จะทำให้
อาการของโรคเลวลงไป
ผลจากการศึกษาในปัจจุบัน ยืนยันว่า การใช้ยาร่วมกันระหว่างยาเก่า (methotrexate)
และ ยาใหม่ (biologic therapy) จะมีประสิทธิภาพในการรักษาเหนือกว่า
การใช้ยาอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงชนิดเดียว
และ ยาใหม่ (biologic therapy) จะมีประสิทธิภาพในการรักษาเหนือกว่า
การใช้ยาอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงชนิดเดียว
และ ยังแนะนำต่อไปอีกว่า การให้ยาร่วมกันระหว่างยาใหม่ และยาเก่า
สามารถซ่อมแซมข้อที่เคยถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งเคยเข้าใจว่า
มันไม่มีทางที่จะใช้ยาเก่ารักษาได้
มันไม่มีทางที่จะใช้ยาเก่ารักษาได้
มียาฉีดตัวใหม่ถูกผลิตออกมาเพิ่มอีกสองตัว
และได้รบการยอมรับในปี 2006 ให้ใช้ทำการรักษาโรค rheumatoid arthritis ได้
ยาทั้งสองได้แก่: Rituximab (Rituxan) และ abatacept (Orncia)
และได้รบการยอมรับในปี 2006 ให้ใช้ทำการรักษาโรค rheumatoid arthritis ได้
ยาทั้งสองได้แก่: Rituximab (Rituxan) และ abatacept (Orncia)
Ø Rituximab จะออกฤทธิ์ โดยมีเป้าหมายไปที่ B cells ซึ่งเป็นเซลล์ของ
ระบบภูมิคุ้มกัน ทำหน้าที่สร้างภูมิต้านทาน เพื่อทำลายเซลล์ของตนเอง
Ø Abatacept จะออกฤทธิ์ มีเป้าหมายไปที่การป้องกันไม่ให้ T-cells
ซึ่งเป็นเซลล์ของภูมิคุ้มกันอีกเชนกัน โดยไม่ให้มันทำงานได้เต็มที่
จากการศึกษา พบว่า มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้ยาทั้วสอง
ในคนไข้ที่มีอาการของโรครุนแรง ประกอบกับคำโฆษณาชวนเชื่อ
ให้ใช้ยาใหม่กับคนไข้ทุกราย...จึงทำให้เรารู้สึกว่า
biologic therapy อาจถูกนำไปใช้กับคนไข้ที่เป็นโรครูมาตอยด์ทุกคน....
ในคนไข้ที่มีอาการของโรครุนแรง ประกอบกับคำโฆษณาชวนเชื่อ
ให้ใช้ยาใหม่กับคนไข้ทุกราย...จึงทำให้เรารู้สึกว่า
biologic therapy อาจถูกนำไปใช้กับคนไข้ที่เป็นโรครูมาตอยด์ทุกคน....
ไม่แน่ว่า วันหนึ่งข้างหน้า ยาดังกล่าว อาจเป็นยามาตรฐานสำหรับรักษา
โรครูมาตอยด์ก็อาจเป็นได้
สำหรับคนไข้โรครูมาตอยด์ ซึ่งอาการไม่รุนแรง
และสามารถควบคุมได้ด้วยยาตัวอื่น ๆ หรือยาเดิม 9methotrexate) อยู่แล้ว
ก็ไม่มีเหตุผลใด ที่จะต้องเปลี่ยนไปใช้ยาในกลุ่ม anti-TNF
ก็ไม่มีเหตุผลใด ที่จะต้องเปลี่ยนไปใช้ยาในกลุ่ม anti-TNF
การรักษาด้วยยาอย่างอื่นๆ เช่น methotrexate, sulfasalazine, leflunomide,
และ hydroxychloroquine ก็ปรากฏว่า ได้ผลดีในการรักษาโรครูมาตอยด์ทั่วไป
ดังนั้น ถ้าคนไข้เป็นโรครูมาตอยด์ ที่มีอาการไม่รุนแรง ข้อกระดูกไม่ถูกทำลาย
ดังนั้น ถ้าคนไข้เป็นโรครูมาตอยด์ ที่มีอาการไม่รุนแรง ข้อกระดูกไม่ถูกทำลาย
แต่ถ้าหากมีหลักฐานที่แน่ชัดว่า คนไข้ที่เป็นโรครูมาตอยด์มีความรุนแรง
ข้ออาจถูกทำลายภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า...
การรักษาที่ดีที่สุด คือการให้ยาเก่า (methotrexate) บวก ยาใหม่ (Biologics)
แก่คนไข้โรคไขข้อดังกล่าวได้
ไม่ว่า ท่านจะรักษาด้วยยาใดก็ตาม (เก่า หรือ ใหม่)
อย่าลืมปรึกษาแพทย์ถึงแนวทางการรักษา ที่ท่านได้เลือกแล้ว
อย่าลืมปรึกษาแพทย์ถึงแนวทางการรักษา ที่ท่านได้เลือกแล้ว
รวมถึงการใช้ anti-NTF ซึ่งท่านจะต้องมีการตรวจเช็ดอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าท่านรับทานยา methotrexate ท่านต้องตรวจเลือดบ่อย ๆ (liver)
ถ้าท่านรับยาฉีด anti-TNF ท่านต้องพบแพทย์เป็นระยะ,
หากมีอาการผิดปกติใด ๆ ต้องรายงานแพทย์ และ หากมีการอักเสบเกิดขึ้น
ท่านต้องหยุดยา...
หากมีอาการผิดปกติใด ๆ ต้องรายงานแพทย์ และ หากมีการอักเสบเกิดขึ้น
ท่านต้องหยุดยา...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น