วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

Blood Clots

March 1, 2013


เมื่อมีเกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่ม หรือเป็นก้อน  จะเรียกว่าว่า blood clots…

จัดเป็นกระบวนการที่สำคัญของร่างกายอย่างหนึ่ง

ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดเกิดการฉีกขาด...มีเลือดออก

และเพื่อไม่ให้มีการเสียเลือดต่อไป  เกล็ดเลือด (platelets) 

ซึ่งเป็นเม็ดเลือดอีกชนิดหนึ่ง  ร่วมกับโปรตีนที่มีอยู่ในน้ำเลือด (plasma)

รวมตัวกันเป็นก้อนเลือด หรือลิ่มเลือด อุดตรงบริเวณรอยฉีกขาดทำให้เลือดหยุดไหล


โดยทั่วไป  ร่างกายของเรามีหน้าที่ตามธรรมชาติ 
เหมือนกับกิจกรรมต่าง ๆ  ของมนุษย์  เมื่องานเสร็จเป็นที่เรียบร้อย 
เจ้าหน้าที่ผู้ทำความสะอาด  ก็จะทำหน้าที่ต่อ  จัดเก็บทุกอย่างให้กลับสู่สภาพเดิมทันที

ภายในร่างกายของคนเราก็เช่นเดียวกัน...
เมื่อเส้นเลือดฉีกขาด  มีเลือดออก  เลือดจะถูกทำให้หยุดไหล
โดยการจับตัวของเกล็ดเลือดร่วมกับโรตีนที่มีอยู่ในเลือด  และเมื่อบาดแผลหายดี  
ร่างกายก็จัดการสลายก้อนเลือดให้หมดไป
นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติ

บางครั้ง  การมีก้อนเลือด หรือลิ่มเลือดเกิดภายในเส้นเลือดโดยไม่ทราบต้นเหตุว่า 
ได้รับบาดเจ็บมาก่อน  หรือมีลิ่มเลือดอยู่ภายในเส้นเลือด
แต่ร่างกายไม่สามารถทำให้ถูกสลาย (dissolve) ได้ตามธรรมชาติ
ซึ่งภาวะดังกล่าว  เมื่อเกิดขึ้นสามารถทำให้เกิดเป็นอันตรายได้
จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัย และให้การรักษาได้อย่างเหมาะสม

ลิ่มเลือด (clots) สามารถเกิดภายในเส้นเลือดแดง หรือเส้นเลือดดำ...
ซึ่งเส้นเลือดทั้งสองชนิด  ต่างเป็นส่วนหนึ่งของระบบการไหลเวียนของเลือด
โดยจะทำหน้าที่น้ำเลือดให้ไหลเวียนทั่วร่างกาย  เส้นเลือดดำ  
ซึ่งมีความดันภายเส้นเลือดต่ำ  จะทำหน้าที่ที่นำเลือดดำ จากส่วนปลายกลับสู่หัวใจ
การมีก้อนเลือดเกิดภายในเส้นเลือดดำ  อาจขัดขวางไม่ให้เลือดไหลกลับสู่หัวใจได้ตามปกติ  
สามารถทำให้เกิดอาการเจ็บปวดตรงบริเวณที่มีเลือดคั่งได้ 

การมีลิ่มเลือดเกิดภายในเส้นเลือดดำที่อยู่ลึกลงไป  เรียก deep-vein thrombosis (DVT) 
ซึ่งสามารถพบได้ที่บริเวณขา  หรือพบได้ที่บริเวณแขน, บริเวณเชิงกราน  หรือส่วนอื่นๆ
ส่วนใหญ่เราจะพบที่บริเวณของขา  

มีบางรายเกิดมีลิ่มเลือดหลุดเข้าสู่หัวใจ  และหลุดเข้าสู่ปอด
ทำให้เลือดไม่สามารถไหลได้สะดวก  เรียก pulmonary embolism
ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอันตรายได้อย่างรุนแรง

ลิ่มเลือดที่เกิดในร่างกาย...
ทำให้เกิด pulmonary embolism ได้อย่างไร ?

สำหรับเส้นเลือดแดง...
พบว่าผนังของเส้นเลือดแดงจะเป็นกล้ามเนื้อ  ทำให้ความดันภายใน
เส้นเลือดแดงสูงกว่าความดันในเส้นเลือดดำ
โดยมันจะทำหน้าที่นำเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย  

และเมื่อเราถูกวัดความดันโลหิต  ความดันที่วัดได้เป็นตัวเลข...

เลขตัวบนบ่งบอกให้ทราบถึงความดันภายในเส้นเลือดแดงนั้นเอง

เคยกล่าวมาแล้วว่า  ลิ่มเลือดเกิดในเส้นเลือดดำ...
แต่ตามเป็นจริง  ลิ่มเลือดสามารถเกิดในเส้นเลือดแดงได้ด้วย 
โดยเฉพาะจะเกิดในรายที่เป็นโรคเส้นเลือดแข็ง  ซึ่งมีคราบของไขมัน
เกาะตามภายในของผนังเสนเลือดแดง  ทำให้เส้นเลือดแดงเกิดแคบลง  
เป็นเหตุให้กระแสไหลเวียนของเลือดถูกขัดขวาง

การที่กระแสไหลเวียนของเลือดที่พุ่งผ่านเส้นแดงตรงบริวณที่แคบ  
สามารถทำให้คราบของไขมันบนผนังเส้นเลือดแตก  เกิดมีเลือดออกและมีเกล็ด
เลือดมาเกาะ  ทำให้เกิดเป็นลิ่มเลือดอุดเสนเลือด หรือหลุดไปอุดตัน
เส้นเลือดที่สำคัญของหัวใจ  หรือของสมอง  
ทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะทั้งสอง (heart attack &  stroke)


ปัจจัยเสี่ยง(Risk)

เราจะพบว่า  ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในเส้นเลือดดำ  จะมีความ
แตกต่างจากลิ่มเลือดของเส้นเลือดแดง
และปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
ความจริงมีว่า  ในร่างกายของเรา  มีโมเลกุลหลายอย่าง 
ซึ่งจะส่งสัญญาณให้ร่างกายสร้างลิ่มเลือดขึ้น  โดยกำหนดให้มันสร้าง
ลิ่มเลือดขึ้นเมื่อไหร่, ที่ไหน และสร้างเร็วขนาดใด ?

มีปัจจัยบงอย่าง  เช่น  ความอ้วน (obesity), กระแสเลือดที่วิ่งอย่างเชื่อง
ช้าในเส้นเลือดดำ  และปัจจัยอย่างอื่น  เช่น “อายุ” สามารถทำให้เพิ่ม
ความสามารถในการสร้างลิ่มเลือดได้

นอกจากนั้น  ยังปรากฏว่า  มียาบางตัว (medications)  สามารถกระทบ
ต่อกรสร้างลิ่มเลือดได้เร็วขึ้น

ปัจจัยต่อไปนี้  สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการสร้างลิ่มเลือดในเส้นเลือดดำ
ได้  เช่น :
§  ความอ้วน (Obesity)
§  ตั้งท้อง (Pregnancy)
§  สูบบุหรี่ (Smoking)
§  รับทานยาคุม (Contraceptives)
§  มะเร็งบางชนิด (Certain cancers)
§  ได้รับบาดเจ็บ (Trauma)
§  อายุมากขึ้น (มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 60)
§  พันธุกรรม (Inherited clotting disorders)
§  โรคอักเสบไร้เชื้อ ( chronic inflammatory disease)

ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดในเส้นเลือดแดง  สามารถทำให้ดีขึ้นได้
โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม  และการรักษาทางกายต่อภาวะต่อไปนี้:
ได้ด้วยการ

§  โรคอ้วน (obesity)
§  ไม่ออกกำลังกาย (Lack of physical activity)
§  สูบบุหรี่ (smoking)
§  โรคเบาหวาน (diabetes)
§  โรคความดันโลหิตสูง (high blood pressure)
§  ระดับ cholesterol สูง

อาการ (symptoms)

นอกเหนือจากการรู้ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคแล้ว...
การรู้อาการของการเกิดลิ่มเลือดในเส้นเลือดก็มีความสำคัญเช่นกัน
ซึ่งอาการที่เกิดจะแตกต่างกันตามตำแหน่งที่เกิด เช่น

§  Heart: อาการที่เกิด  จะมีอาการเจ็บหน้าอก  ซึ่งมักจะมีอาการ
        ปวดร้าวไปที่แขนด้านซ้าย  อาจมีหายใจได้อากาศไม่พอ  และ
        อาจมีเหงื่อออก

§  Brain: จะพบว่ามีความผิดปกติทางสายตา, มีการอ่อนแรง,
        กระตุก, มีปัญหาเรื่องการพูด

§  Arm or Leg: จะมีอาการเจ็บหน้าอก, บวม  และกดเจ็บ

§  Lung:  เจ็บหน้าอก, หัวใจเต้นเร็ว, ไอเป็นเลือด,  หายใจ
        ไม่พอ(shortness of breath),  มีเหงื่อ  และไข้

§  Abdomen: ปวดท้องอย่างแรง, อาเจียน  และท้องร่วง

 

การรักษา (Treatment)

 การรักษาลิ่มเลือดมีได้แตกต่างกัน  โดยขึ้นกับตำแหน่งที่เกิดลิ่มเลือด และสุขภาพของคนไข้

ถ้าท่านมีความสงสัยว่า  มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นกบตัวท่าน  ท่านจะต้องไปพบแพทย์ทันที 

ในปัจจุบัน  มีวิธีการรักษาลิ่มเลือด (antithrombotic therapy) หลาย
อย่าง  ซึ่งสามารถทำมาใช้เพื่อป้องกัน และรักษาลิ่มเลือด

การรักษาที่มีใช้ในปัจจุบัน  ได้แก่:

o   Anticoagulants- เป็นยาป้องกันไม่ให้มีการเกิดลิ่มเลือด
o   Clot busters- เป็นยาสลายลิ่มเลือด
o   Catheter-direct thrombolysis- เป็นวิธีการใสสายยา
    เรียก catheter สายยางสู่ตำแหน่งลิ่มเลือด  จากนั้นจึงฉีดยาเข้าไปสลายลิ่มเลือด
o   Thrombectomy- เป็นการผ่าตัด...เอาลิ่มเลือดออก

ถ้ามีลิ่มเลือดเกิดในเส้นเลือดดำ...
แพทย์จะแนะนำให้แพทย์ทางโรคเลือด (hematologist)
เป็นผู้ดูแลรักษาต่อไป  และถ้าเป็นลิ่มเลือดในเส้นเลือดแดง  อาจมีแพทย์
หลายสาขาร่วมกันทำการรักษา  เช่น แพทย์เฉพาะทางโรคเลือด และแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ

การป้องกัน (Prevention)

การเกิดลิ่มเลือด  ส่วนใหญ่เป็นโรคเลือดที่เราสามารถป้องกันได้
ด้วยการ ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ นั่นเอง....

http://www.hematology.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น