วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Medications for Parkinson's Disease

ในทศวรรษที่ผ่านมา เราพบว่า
การรักษาคนไข้โรคพาร์คินสัน ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
จากการมียาที่ผลิตขึ้นใหม่ และ มีความเข้าใจในโรคดีขึ้น
นอกจากจะทำให้การรักษาคนไข้ที่เป็นโรคดังกล่าวดีขึ้นแล้ว
ยังทำให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ดีขึ้นด้วย

ในการรักษาคนไข้โรค “พาร์คินสัน” มีสองแนวทางด้วยกัน คือ:

 เป็นการชะลอการสูญเสียสาร dopamine ในสมองลง
 รักษาอาการที่เกิดขึ้นจากโรค

คนไข้ส่วนใหญ่ ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการของโรค “พาร์คินสัน”
สามารถรักษาด้วยยา anti-parkinson drugs แล้วได้รับผลดีขึ้น
มีเพียง 15 % เท่านั้น ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา
ซึ่งพวกนี้ สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดได้

What are the most common medicines used to treat
Parkinson's?
ยา ที่ถูกนำมาใช้รักษาโรค พาร์คินสัน:

Sinemet® (levodopa/carbidopa)
Levodopa บางครั้งเราเรียก L-dopa เป็นยาที่แพทย์เราสั่งให้แก่คนไข้มากที่สุด
เป็นยาที่สามารถควบคุมอาการต่าง ๆ ของโรค “พาร์คินสัน”
โดยเฉพาะอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (rigidity) และการเคลื่อนไหวร่างกาย
ช้า (bradykinesia)

Sinemet เป็นยาที่มีส่วนผสมระหว่าง Levodopa และ carbidopa
สาร levodopa เมื่อกินเข้าไป มันจะเข้าสู่สมอง และถูกเปลี่ยนเป็น Dopamine
ส่วน carbidopa จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ levodopa ถูกทำลาย
ก่อนที่จะมันจะเข้าสู่สมอง และเปลี่ยนเป็น dopamine

นอกจากนั้น มันยังลดผลข้างเคียงจากตัวยา Levodopa
เช่น อาการคลื่นไส้ (nausea) อาเจียน (vomiting)
และการเต้นของหัวใจผิดปกติ (arrhythmia)
เป็นยาที่ควรรับประทานขณะท้องว่างอย่างน้อย ½ ชั่วโมงก่อน
หรือหลังอาหาร

ยา Sinemet มีสองชนิด controlled-release และ immediate-release
ทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคพาร์คินได้เท่ากัน
ในขณะที่ยา Sinmet เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาโรคพาร์คินสันนั้น
นอกจากจะมีผลข้างเคียงระยะสั้นแล้ว ยังมีข้างเคียงในระยะยาวด้วย
เช่น เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ ชนิดไม่สามารถควบคุมได้ (dyskinesia)
ซึ่งสามารถเป็นอุปสรรคต่อการทำงานในชีวิตประจำได้

การเปลี่ยนแปลงขนาดของยา เวลาการรับประทานยาอาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้
แต่ผู้เชี่ยวชายส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้ยาในกลุ่ม dopamine agonist ก่อน
จะมีการใช้ Sinemet เสริม เมื่อใช้ยา dopamine agonist ไม่ได้ผลเท่านั้น

Dopamine agonists:
Dopamine aonist เป็นยาที่ทำงานกระตุ้น dopamine receptor
มันทำหน้าที่ลอกเลียนการทำงานของยา dopamine

ยาในกลุ่ม dopamine agonists ได้แก่ Requip และ Mirapex
ยาพวกนี้ สามารถใช้การรักษาโรค “พาร์คินสัน” โดยใช้เพียงอย่างเดียว
หากไม่สามารถควบคุมอาการได้เพียงพอ แพทย์จะเพิ่มยา levodopa ในตอนหลัง

ยาที่ผลิตขึ้นใหม่ โดยเฉพาะ Requip ไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาวเหมือน
ยา Levodopa ดังนั้น แพทย์จึงนิยมใช้ dopamine agonist เป็น first choice
อย่างไรก็ตาม dopamine agonist จะมีผลข้างเคียงระยะสั้นได้
เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน สับสน และเกิดภาพหลอน

นอกจากนั้น ยา dopamine agonists ยังทำให้เกิดอาการผิดปกติทาง
ประสาท ประเภทมีแรงดลใจ (impulse disorders)
เช่น บ้าการเล่นพนัน บ้ากินอาหาร บ้าซื้อของ หรือบ้ากาม ?
ผลเสียอย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องระมัดระวังให้มาก
เช่น หลับทันทีทันใด....ต้องระวังอย่าขับรถยนต์เป็นอันขาด
ซึ่งมักจะเกิดขึ้น เมื่อเริ่มรับประทานยา หรือเพิ่มขนาดยา

Symmetrel®
Symmetrel ถูกนำมาใช้รักษาโรคพาร์คินสัน ที่มีอาการไม่มาก
แต่มันมักจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่สำคัญ เช่น อาการสับสน และปัญหาด้าน ความจำ

Symmetrel จะทำหน้าที่เพิ่มปริมาณ dopamine ให้สมอง
และจากรายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า
Symmetrel อาจช่วยลดอาการเคลื่อนไหวผิดปกติจากการใช้ยา levodopa ได้

Anticholinergics (Artane®, Cogentin®)
ยาในกลุ่ม Anticholinergics ถูกนำมาใช้ เพื่อ “คง”
ความสมดุลระหว่างสารเคมีในสมอง 2 ตัว คือ dopamine และ
acetylcholine โดยลดปริมาณของสาร acetylcholine ลง
ทำให้อาการสั่น และกล้ามเนื้อแข็งเกร็งลดลง

อย่างไรก็ตาม ยาในกลุ่มนี้ (Artane,Cogentin) สามารถทำให้ความจำ
และความคิดเสื่อมลง โดยเฉพาะคนสูงอายุ
ดังนั้น จึงพบว่า จึงไม่ค่อยนิยมใช้ในคนสูงอายุกันเท่าไหร่

MAO inhibitors:
ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Selegilline และ Rasagiline
Eldepryl และ Deprenyl เป็นยาเดียวกันกับ selegiline
มีฤทธิ์ปกป้องไม่ให้ dopamine ถูกทำลาย ทำให้มีสารดังกล่าว
เพียงพอให้สมองได้ใช้

มีหลักฐานยืนยันว่า ยาตัวนี้สามารถชะลอไม่ให้โรค “พาร์กินสัน” เลวลง
โดยเฉพาะในระยะแรก ๆ ของโรค
คนไข้ทนต่อการใช้ยาตัวนี้ได้ดี เป็นยาที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาตัวนี้ คือ คลื่นไส้ และอาเจียน

Eldepryl/deprenyl สามาระทำปฏิกิริยา กับ ยาตัวอื่นได้
เช่น Demerol และยารักษาอาการซึมเศร้าตัวอื่นๆ
ดังนั้น ก่อนใช้ยาในกลุ่ม MAO inhibitors ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

COM Inhibitors เช่น Tasmar, Comtan
เมื่อสาร COMT ถูกบล็อกเอาไว้
จะทำสาร dopamine คงสภาพอยู่ในสมอง และถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้อาการของโรคพาร์คินสันลดลง

ยาในกลุ่ม COMT Inhibitors นอกจากจะบล็อกสาร COMT แล้ว
ยังเพิ่มประสิทธิภาพของ Levodpa

Medicine guidelines:
ไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับการใช้ยาให้ได้ประสิทธิภาพ
เป็นหน้าที่ของท่าน และแพทย์ผู้ทำการรักษา จะต้องร่วมมือกัน
พิจารณาหาวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับท่านเอง

คำแนะนำต่อ ไปนี้ สามารถช่วยให้ท่าน ใช้ยารักษาได้อย่าง
ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพได้:

 อย่าหักเม็ดยา หรือดึงแคบซูลยา ยกเว้นแพทย์เป็นคนบอก
ดื่มน้ำอย่าน้อย 10 แก้ว
 อาบน้ำอุ่น หรือออกกำลังกาย สามารถช่วยให้ยาดูดซึมได้ดีขึ้น
 รู้ชื่อของยาที่ท่านรับประทาน รู้ว่ามันทำงานอย่างไร รู้ขนาด
ของยาทีท่านต้องรับประทานเข้าไป ตลอดรวมถึงผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น
มีรายชื่อของยาทุกชนิด และขนาดที่ท่านต้องใช้
 กินยาตามเวลาทีแพทย์สั่ง
 อย่าหยุดยา หรือเปลี่ยนขนาดของยา เมื่อท่านรู้สึกอาการดีขึ้น
การหยุดยาเองทันที สามารถทำให้อาการของโรคเลวลง
 อย่าเพิ่มขนาดยาขึ้นเอง (เมื่อท่านอาการไม่ดีขึ้น)
 กินยาให้ตรงเวลาเป็นประจำ
หากลืมกินยา ไม่ต้องตกใจ ให้กินยาทันที หากระยะเวลาใกล้กับ
เวลาครั้งต่อไป ให้กินยาในครั้งต่อไปแทนยาที่ลืมไป
 อย่าเก็บยาที่หมดอายุ...กำจัดทิ้งทันที
 เก็บยาไว้ในที่แห้ง ไม่เปียกชื้น ยกเว้นเฉพาะยาที่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็น
 เก็บยาไว้ ไม่ให้เด็กเล็กเอื้อมถึงได้
 รู้ผลข้างเคียง ที่จะเกิดจากการกินยาดังกล่าว เมื่อเกิดอาการข้างเคียงขึ้นให้ติดต่อแพทย์ทันที
 อย่าแบ่งปันยากับคนอื่นเป็นอันขาด
 เมื่อท่านต้องเดินทาง ให้เก็บยาไว้กับตัวท่าน อย่าเก็บไว้ในกระเป่าเดินทาง
หากกระเป่าหาย...ท่านยังสามารถมียารักษาติดตัว
 ให้เพิ่มจำนวนยา ในกรณีที่ท่านต้องเสียเวลาเดินทางเกินกำหนด
 อย่าปล่อยให้ยาหมดเสียก่อน จึงไปพบแพทย์
อย่างน้อยท่านต้องมียาเหลืออีกอย่างชั่วน้อย 48 ชั่วโมง

Avoiding interactions with other medicines
ท่านสามารถหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาจากยาที่ท่านรับประทานได้ โดย:
 อ่านฉลากยาอย่างละเอียด
 บอกให้แพทย์ทราบยาทุกชนิดที่ท่านรับประทาน
 รู้ตัวว่า ตนเองแพ้ยา หรือแพ้อาหารชนิดใด
 เขียนรายชื่อของยา และขนาด ทีท่านต้องรับประทาน
รวมถึงยาหยอดตา ไวตามิน ซึ่งยาทุกตัวจะต้องไม่หมดอายุ
 ให้ตรวจสอบผลข้างเคียงจากการใช้ยา ส่วนมากเมื่อใช้ยาใหม่ มักจะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้น
ยาบางตัว จะเกิดทีหลัง (delayed) หรืออาจเกิดเมื่อใช้ยาตัวใหม่
 ถ้าเป็นไปได้ ให้รับยาจากเภสัชกรคนเดียวกัน เพราะเภสัชกรสามารถตรวจสอบ
ปฏิกิริยาระหว่างยาได้ ตลอดรวมไปถึงการกำหนดขนาดยาที่เหมาะสมให้


http://www.webmd.com/parkinsons-disease/drug-treatments

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น