วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Do You Have Arthritis ? Overview ( 2 ) : Osteroarthritis & Rheumatoid...

Do I Have Arthritis ?
Aug. 27,2013

เป็นที่ทราบกันว่า...
โรคข้ออักเสบ และภาวะต่างๆ ที่มีส่วนสัมพันธ์กับโรคไขข้อ 
ต่างเป็นสาเหตุหลัก  ซึ่งทำให้คนเรามีสุขภาพทรุดโทรม อ่อนเพลีย 
และมีอาการเจ็บปวด

จากสถิติซึ่งรายงานโดย Centers for Disease Control and Prevention
(ปี 2010) ว่า   ในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีเป็นโรคข้ออักเสบ จะทำให้เขาไม่สามารถ
เคลือนไหวได้เท่าปกติถึง  37.7 %, ไม่สามารถทำงานได้เท่าเดิม 31.2 %
และทำให้เขามีอาการปวดอย่างรุนแรงถึง 25.6 %

เรายังพบต่อไปอีกว่า  มีโรคไขข้อ และโรคที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่า 100 รูปแบบ
แต่ที่พบได้บ่อยได้แก่ โรคข้ออักเสบจากการเสื่อมสภาพ (osteoarthritis),
โรครูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis), ไฟโบรไมแอลเกีย (fibromyalgia),
และโรคเก้า (gout)  ซึ่งโรคเหล่านี้ต่างทำให้เกิดอาการเจ็บปวด
ในลักษณะที่แตกต่างกัน

จากข้อมูลต่อไปนี้ เป็นการอธิบายความสั้นๆ เกี่ยวกับโรคข้ออักเสบดังกล่าว
หากท่านเป็นโรคใดโรหนึ่งตามที่กล่าว ท่านจะได้ทราบว่า
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคดังกล่าว มีอะไรบ้าง ?

Osteoarthritis
osteoarthritis


ข้อของคนปกติ...
เราจะพบว่าส่วนประกอบของข้อ เช่น กระดูกอ่อน (cartilage) ที่คลุมกระดูกข้อ
จะมีลักษณะนุ่มเหมือนยาง (rubber-like) ทำหน้าที่เป็นกันชน (cushions) กระดูก-ข้อ
ไม่ให้เสียดสีกัน  มีน้ำไขข้อ (synovial fluid) สร้างจากเยื่อบุข้อ (synovium)
ทำหน้าที่หล่อลื่นให้ข้อเคลื่อนไหวได้สดวก 
Go to....http://www.healthable.org/osteoarthritis-treatment-and-genetics/

เมื่อส่วนประกอบของข้อ ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องข้องเสื่อมสภาพไป...
จะทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยลำบาก และถูกทำลายไป ทำให้เกิดอาการปวดขึ้น
บางครั้งกระดูกของข้อ ซึ่งไม่มีกระดูกอ่อนปกคลุมจะเสียดสีกัน ทำให้เกิด
อาการปวดที่มีความรุนแรงเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนั้นการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในข้อ จะทำให้อาการเจ็บปวดมีความต่อเนื่อง 
ซึ่งจำเป็นต้องได้รับยาลดการอักเสบ (NSAIDs) เพื่อลดการอักเสบ และบรรเทาอาการ
เจ็บปวดที่เกิดขึ้น

นอกจาก NSAIDs แล้ว คนไข้อาจจำเป็นต้องกินยาแก้ปวด (analgesics)
เช่น acetaminophen หรือในรายที่มีอาการรุนแรง อาจต้องใช้ยาที่แรงขึ้น
เช่น ยาแก้ปวด (analgesic) ผสมกับยาประเภท opioid เช่น codeine
หรือ hydrocodone.

โรคข้อเสื่อม (OA) มักจะเกิดขึ้นกับข้อเข่า (knee), ข้อสะโพก (hips), เท้า (feet), มือ (hands) 
และนิ้วมือ (fingers), ข้อมือ (wrists), คอ (neck) และกระสันหลัง (spine)
โดยทั่วไป ข้ออักเสบเสื่อมสภาพ  ( OA ) ทั้งสองข้างจะไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน
เช่น ข้อเข่า (knee joint) เป็นต้น

อาการปวดที่เกิดโรค OA มีระดับที่แตกต่างกันไป จากน้อยไปถึงระดับปวดพอประมาณ 
ซึ่งสามารถทำให้บรรเทาได้ด้วยการใช้ยา แก้ปวด, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
ส่วนที่รุนแรง  ข้อถูกทำลายลงมาก จนทำให้่คนไข้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าเปลี่ยนข้อในที่สุด

Rheumatoid Arthritis

อาการเจ็บปวดจากโรครูมาตอยด์ (RA) มักเป็นผลมาจากการอักเสบของข้อเป็นเบื้องแรก 
โดยที่การอักเสบดังกล่าว ไม่ได้เป็นผลมาจากส่วนประกอบของข้อเสียดสีซึงกันกัน
เหมือนโรค OA... แต่เป็นผลมาจากความผิดปกติในระบบภูมคุ้มกันทำงานผิดเพี้ยนไป

ตามปกติ ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองต่อบาดเจ็บที่คนเราได้รับ หรือโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยการ
กระตุ้นให้เกิดการอักเสบในระยะสั้นๆ  และการอักเสบทที่เกิดขึ้น บอกให้ท่านได้ทราบว่า 
ท่านมีปัญหา ซึ่งควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

ในโรครูมาตอยด์...
ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดเพี้ยนไป และหันอาวุธเข้าทำลายตนเอง
จนเป็นเหตุให้มีการอักเสบเกิดขึ้นนั้น  จะพบว่า การอักเสบที่เกิดขึ้น เป็นการอักเสบเรื้อรัง
มากกว่าที่จะเป็นการอักเสบระยะสั้น

เมื่อเวลาผ่านไป...
ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) ไม่เพียงต่ทำให้เกิดมีอาการปวดเท่านั้น แต่มันยังทำลายข้อ 
และทำให้ข้อถูกแปรสภาพเป็นข้อที่ถูกทำลายอย่างถาวรได้
นอกจากทำลายข้อแล้ว โรคดังกล่าว ยังสามารถทำลายอวัยวะภายในได้อีกด้วย 
เช่น  ตับ (liver), ตับอ่อน (pancreas), หัวใจ (heart), และตา (eyes)

เมื่อโรค RA เกิดขึ้นกับเด็ก เราเรียกว่า juvenile idiopathic arthritis
เป็นโรคที่สามารถทำลายข้อของเด็ก และมีความรุนแรงได้สูงมาก

ในคนที่เป็นโรครูมาตอยด์ มักจะมีอาการปวดเกิดซ้ำขึ้นมาใหม่อีก หรือ
มีอาการอักเสบอย่างรุนแรงประมาณสองสามวัน หรือหลายอาทิตย์
แล้วอาการก็หายไป

ในการรักษาโรครูมาตอยด์...
แพทย์จะสั่งยายับยั้งการอักเสบ ซึ่งเกิดจากกระบวนการของภูมิคุ้มกัน
โดยยาที่ใช้ได้แก่ยา กลุ่ม disease-modifying antirheumatic drugs
(DMARDs) ...โดยชื่อของมันแล้ว มันจะทำหน้าที่ยับยั้งกระบวนการที่
ก่อให้เกิดการอักเสบ 

นอกจากนั้น ยังมียาอีกกลุ่ม...ทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนการตอบสนองทางชีวภาพ  
เป็นการทำหน้าทีระดับเซลล์ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Biologics
(biologic response modifiers )

นอกจากการใช้ยากลุ่ม DMARDs เพื่อจัดการกับปัญหาด้านภูมิคุ้ม
กันแล้ว ท่านอาจจำเป็นต้องใช้ยา NSAIDs หรือ analgesics (ยาแก้ปวด)
ร่วมด้วยก็ได้

<< Prev.    >> Next

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น