วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Look For These Signs and Symptoms of Diabetes


คนเป็นโรคเบาหวาน ไม่ว่าเขาจะเป็นชนิดใด I หรือ II
จะมีอาการ และอาการแสดงเหมือน ๆ กัน

เบาหวานทั้งสองชนิด ต่างมีน้ำตาล ในกระแสเลือดสูงด้วยกัน
น้ำตาล กลูโกสที่กล่าวถึง เป็น monosaccharide หรือ เป็น simple sugar
ซึ่งได้จากพืช และจากเนื้อสัตว์

ในคนที่เป็นเบาหวาน แม้ว่าจะมีระดับน้ำในตาลในเลือดสูงก็ตามที
แต่ปรากฏว่า ในเซลล์กลับไม่มีน้ำตาลเลย

การที่คนเป็นเบาหวานชนิด I การมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูง เป็นเพราะร่างกายขาดสาร “อินซูลิน”
ซึ่งเป็นฮอร์โมน ที่ถูกสร้างโดย "เบต้า เซลล์" ของตับอ่อน มีหน้าที่ทำให้น้ำตาลเข้าสู่เซลล์
และช่วยร่างกาย ให้ใช้น้ำตาลเป็นพลังงานต่อไป
ในเบาหวานชนิดที่ I มีสาเหตุจากการขาดสารฮอร์โมนอินซูลินไปนั่นเอง

ส่วนเบาหวานชนิดที่ II ปรากฏว่า ในร่างกายจะมีสารอินซูลิน
แต่เซลล์...ไม่สนองตอบต่อการทำงานของอินซูลิน (resistant)
เป็นเหตุให้มีนำ้ตาลอยู่ในกระแสเลือด และอยู่นอกเซลล์เช่นเดียวกับชนิดแรก

ในเบาหวานทั้งสองชนิด พบว่า เซลล์ไม่สามารถรับ และใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได่ตามที่มันต้องการ
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงก่อให้เกิดอาการ และอาการแสดงต่าง ๆ ขึ้น
เช่น :

ปัสสาวะบ่อย(Frequent trips to bath room)

คุณเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะบ่อยหรือเปล่า ?
การที่คุณมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเลือดสูง จะทำให้คุณเข้าห้องน้ำบ่อยผิดปกติ
ถ้าในกระแสเลือดของคุณไม่มีอินซูลิน หรือร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไตไม่สามารถกรองเอาน้ำตาลกลับสู่กระแสเลือดได้
ร่างกายพยามดึงเอาน้ำออกจากเลือด เพื่อทำให้ระดับน้ำตาลเจือจางลง
นั่นเป็นเหตุที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะของคุณเต็ม (full bladder) และทำให้คุณวิ่งเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ


กระหายน้ำบ่อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ (unquenchable thirst)

หากคุณรู้สึกว่า ดื่มน้ำไม่รู้สึกอื่มสักที...ดื่มแล้วดื่มอีก
มันอาเป็นอาการแสดงของโรคเบาหวาน
โดยเฉพาะหากคุณเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ร่วมกับอาการกระหายน้ำดังกล่าว
จากการที่ร่างกายของคุณพยายามดึงเอาน้ำออกจากเลือด
เพื่อทำให้น้ำตาลที่ถูกขับออกทางปัสสาวะเจือจางลงนั้น จะเป็นการทำให้คุณขาดน้ำ (dehydration)
ทำให้คุณกระหายอยากดื่มน้ำเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการชดเชยน้ำที่สูญเสียไป

น้ำหนักลดโดยมีได้ตั้งใจให้มันลด (Losing weight without trying)

อาการชนิดนี้จะพบเห็นในเบาหวานชนิดที่ I
เบาหวานชนิดนี้ จะไม่สร้างอินซูลิน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส
หรือเป็นเพราะระบบภูมคุ้มกันของตัวเอง ทำลายเซลล์ของตับอ่อน
เมื่อเซลล์ไม่สามารถใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้ ดังนั้น ร่างกายจึงหาพลังงานจากที่อื่นแทน
เช่น จากกล้ามเนื้อ และ ไขมัน
จึงเป็นเหตุให้น้ำหนักตัวลดลง

ส่วนคนเป็นเบาหวานชนิดที่สอง ซึ่งเกิดจากการที่เซลล์ต้าน หรือไม่สนองต่อการทำงานของอินซูลิน
จึงทำให้น้ำหนักลดลงโดยไม่เป็นที่สังเกต

รู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนแรง และเหนื้อหล้า ( Weakness and Fatigue):

อาหารที่เรารับประทานเข้าไป มันจะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโกส เมื่อมันเดินทางถึงกระแสเลือด
จากนั้นมันจะถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ เพื่อใช้เป็นพลังงานต่อไป
แต่ในกรณีของโรคเบาหวาน ชนิดที่ไม่มีอินซูลิน หรือเซลล์ไม่สนองต่ออินซูลิน
น้ำตาลไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ ต้องค้างเติ่งอยู่ในกระแสเลือดนอกเซลล์
เซลลไม่สามารถใช้กลูโกสเพือ่เป็นพลังงานได้
นั่นแหละคือต้นเหตุที่ทำให้คนเรารู้สึกเหนื่อย และหมดแรงไป

มีอาการชา หรือเสี่ยวส่านตามมือ เท้าและขา
(Tingling or Numbness in Your Hands ,Legs or Feet)

อาการแสดงของประสาทที่ถูกทำลาย จะมรอาการชา (numbness) เสี่ยวตามเส้นประสาท (tingling)
มันจะเกิดอย่างช้า ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากน้ำตาลในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ
เป็นเหตุให้เกิดมีการทำลายเส้นประสาทไป
โดยเฉพาะเส้นประสาของแขนและขา

เบาหวานชนิดที่ II มักจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ซึ่งคนไข้ส่วนมากจะไม่ค่อยรู้ตัว ไม่ระวัง
เป็นเหตุให้เขามีระดับน้ำตาลสูงเป็นเวลานานหลายปี โดยไม่ได้รับการวินิจฉัย
การทำลายของเส้นประสาท เกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้
และอาการที่เกิดขึ้น (neuropathy) จะดีขึ้นเมื่อเขาสามารถควบระดับน้ำตาล

อาการอย่างอื่น ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ เช่น ตามัว (blurred vision) ผิวหนังแห้ง (dry skin)
ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนไข้มีอาการคัน
มีการติดเชื่อเกิดขึ้นได้บ่อย หรือเกิดแผลหายยาก
อาการเหล่านี้มักจะปรากฏขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง

หากคุณสังเกตพบอาการตามที่กล่าวมา ท่านน่าจะเป็นโรคเบาหวานแล้วละ
ท่านจำป็นต้องพบแพทย์เพื่อยืนยันว่าเป็นเบาหวานหรือไม่...
หากใช่.. ท่านจะไดรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป


www.diabetes.about.com/od/symptomsdiagnosis/p/symptoms.htm.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น