"แอสไพริน"
“แอสไพริน” เป็นยาสามัญ ที่ใคร ๆ ต่างได้ยินชื่อกันมานาน
เป็นยามาตรฐาน ที่แพทย์ชอบสั่งให้คนไข้กิน จนถือเป็นเรื่องธรรมดาไป...
วงการแพทย์ของอเมริกา- American Heart Association
ได้แนะนำให้ใช้ “แอสไพริน” สำหรับคนที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจถูกทำลาย (heart attack)
หรือสมองทำลายจากการขาดเลือด (stroke) จากเหตุการณ์ของก้อนเลือดอุดตัน
หรือ ใช้ในคนที่มีอาการเจ็บหน้าอก unstable angina หรือ ภาวะ “Ministroke”
นอกจากนั้น AHA ยังให้ข้อสังเกตว่า คนมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคดังกล่าว..
เช่น คนสูงอายุ มีความดันสูง และ มีประวัติของคนในครอบครัวว่า เป็นโรคหัวใจ และสมองขาดเลือด
จะได้รบประโยชน์จากการใชยา แอสไพริน” เช่นกัน
แน่นอน! เราทุกคนคุ้นเคยกับยา “แอสไพริน”
แต่ นอกจากประโยชน์ ที่เรารู้ว่า มันถูกนำไปใช้ในการป้องกันไม่ให้มีการจับต้วของเกล็ดเลือด
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมอง หรือ หัวใจขาดเลือด และออกซิเจนแล้ว
ยังมีอะไรหลายอย่าง ที่เราควรรู้เอาไว้ ดังนี้:
ตัดความเสี่ยงจากการเกิดอาการชักในขณะตั้งครรภ์ (pre-eclampsia )--
ผลจากการศึกษาที่ลงในวารสาร Lancet ปี 2007 แนะว่า สตรีที่ตั้งครรภ์ ซึ่งไดรับยา “แอสไพริน”
หรือ ยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด สามารถลดการเกิดความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นในคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
หรือ ลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อันพึงเกิดขึ้นกับมารดา และ ทารกที่อยู่ในครรภ์
ยา “แอสไพริน” สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็งของไส้ใหญ่ (colorectal cancers)
จากวารสาร Gastroenterology ได้รายงานเอาไว้ ว่าการรับประทาน “แอสไพริน” ในระยะ
ยาว สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ได้
มันสามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็งในเต้านมได้
จากวารสาร The Journal of National Cancer Institute...
ได้รายงานว่า แอสไพริน สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในเต้านมได้ถึง 13 %
เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้รับแอสไพริน
(นอกจากนั้น จากการใช้ยา NSAIDs ยังสามารถลดความเสี่ยงได้ถึง 12 %)
จากการใช้ “แอสไพริน” จะทำให้ผลการตรวจหามะเร็งของต่อมลูกหมากผิดไป
ผลที่รายงานจาก Month’s journal Cancer รายงานว่า
ชายที่รับประทาน “แอสไพริน” และยา “NSAIDS” จะทำให้ระดับของการตรวจหา
Prostate-specific antigen ลดลงถึง 10 %
ดังนั้น นักวิจัยจำนวนไม่น้อยต่างแนะนำว่า การใช้ยา “แอสไพริน” จึงทำให้เราพลาด
จากการตรวจมะเร็งของต่อมลูกหมากไป
จากการใช้ยา “แอสไพริน” สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรค “อัลไซเมอร” ได้ถึง 13 %
มีการศึกษา และถกเถียงกันว่า ระหว่าง NSAIDs และ Aspirin ตัวไหนจะดีกว่ากัน
ในการปกป้องคนไม่ให้เกิดโรคสมองเสื่อม “อัลไซเมอร”
ยา “แอสไพริน” สามารถป้องกันไม่ให้เกิด “ภาวะสมองถูกทำลาย (stroke)”
จากการมีก้อนเลือดอุดตันในเส้นเลือดของสมองได้ แต่ถ้าหาใช้ยา "แอสไพริน" ร่วมมกับ ibruprofen
พบว่า ประโยชน์ของ “แอสไพริน” ในการต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด จะลดลง
รับประทานยา “แอสไพริน” 100 mg วันเว้นวัน สามารถป้องกันไม่ให้สตรีอายุ 45 ขึ้นไป
ไม่เกิดโรค asthma ในอนาคตอีกสิบปี ถึง 10 % แต่ถ้าหาคน ๆ นั้นถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรค asthma แล้ว
การใช้ยาแอสไพริน สามารถทำให้เกิดอาการขึ้นมาได้ (exacerbate) ถึง 10 %
จากรายงานใน Neurology ปี 2007 รายงานเอาไว้ว่า สตรีที่รับประทาน “แอสไพริน” อย่างสม่ำเสมอ
อาจลดโอกาสเกิดโรค Parkinson’s ได้ถึง 40 %
รายงานจาก The British Medical Journal รายงานเอาไว้ว่า การใช้ยา “แอสไพริน”
ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน (diabetes) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “heart attack”
ผลที่ได้ ไม่แตกต่างจากการใช้ยาหลอก (placebo) แต่ประการใด
ตามความเป็นจริง คนเป็นโรคเบาหวาน มีโอกาสเกิด heart attack หรือ stroke ได้เท่าของคนปกติ
มีรายงานจาก the British Medical Journal มีคนประมาณ 30 % ที่เป็นโรคในระบบ
เส้นเส้นเลือดและหัวใจ (cardiovascular disease) ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา “แอสไพริน” (Aspirin Resistance) จึงเป็นเหตุให้พวกเขา มีโอกาสเกิด heart attack หรือ stroke
หรือเสียชีวิตถึง 4 เท่าตัวของคนที่ตอบสนองต่อยา “แอสไพริน”
ยา “แอสไพริน” หรือ “NSAIDs” สามารถก่อให้เกิดปัญหาทางเดินอาหาร
เช่น กระเพาะอาหารเป็นแผล และ ตกเลือดได้ โดยเฉพาะในรายที่รับประทานยาเป็นเวลานาน
รายงานจาก BMC Medicine พบว่า ชายจะได้ประโยชน์จากการใช้ยา “แอสไพริน”
มากกว่าสตรี ในการลดอัตราการเกิดภาวะ fatal heart attack
นั้นคือ 12 สิ่ง ที่เราควรรู้จากการใช้ยา “แอสไพริน”
http://health.usnews.com/health-news/articles/2008/10/28/12-things-you-should-know-about-aspirin?page=2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น