วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

BETA-ADRENERGIC BLOCKING


ยาในกลุ่ม beta blockers อาจลดความดันโลหิตลงได้
โดยการลดปริมาณเลือด  ที่หัวใจต้องปั้มออกไปในเวลาหนึ่งนาที(cardiac output) 
ซึ่งบางที อาจเป็นผลจากการที่ฤทธิ์ของยา
ที่ไปยับยั้งการการสร้าง angiotensin ก็ได้

มันเคยถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ใน...สหรัฐฯ ปี 1960s เพื่อรักษาอาการเจ็บหน้าอก
และ ลดความดันโลหิต  โดยสะกัดการทำงานของปุ่มที่ทำหน้า ที่รับคลื่นประสาท
ที่มีช่อเรียกว่า  “เบต้า”  (Beta nerve receptors)
ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ  และ ความดันของโลหิตลดลง

นอกจากนั้น  Beta blockers ยังมีฤทธิ์ในการสกัดการทำงานของฮอร์โมนบางตัว 
ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมระดับความดันอีกด้วย

ในระหว่างการออกกำลังกาย  หรือ  ภายใต้ความเครียด 
ร่างกายจะปล่อยสาร adrenaline และ  Norepinephrine  ออกมา   
และ สารดังกล่าว  จะไปกระตุ้น ปุ่มรับคลื่นประสาท “beta nerve receptors”
(ซึ่งมันจะส่งคลื่นคำสั่งไปยังหัวใจ  ทำให้มันปั้มเลือดหนัก ขึ้น  และเร็วขึ้น)

เมื่อ beta receptor ถูกสะกัดเอาไว้ ด้วยยา beta blocler 
ย่อมทำให้กล้ามเนื้อหัวใจลดการทำงานลง 
สามารถลดการใช้ออกซิเจนในขณะที่กายมีการออกแรง 
หรือ  ลดการทำงานของหัวใจ  ในระหว่างที่คนเราตกอยู่ภายใดความกดดัน

จากฤทธิ์ของยาในกลุ่มดังกล่าว  มันจึงช่วยลดอาการเจ็บหน้าอก 
จากภาวะหัวใจขาดออกซิเจน...
 
เมื่อใดจึงจะสั่งยาตัวนี้:
เราอาจสั่งยาตัวนี้  เป็นตัวแรก  (First choice)
เพื่อใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรความดันโลหิตสูง  หรือ อาจสั่งให้คนไข้  ร่วมกับยาขับปัสสาวะ 
หรือ  ยาลดความดันนัวอื่น  โดยไม่มีกฎตายตัวใดๆ

โดยทั่วไป ยา beta blockers จะใช้ได้ผลดีในคนหนุ่ม  ที่เป็นโรคความดันสูง
และเนื่องจากมันสามารถลดอาการเจ็บอก(angina) ได้ดี 
มันจึงป็นยา  ที่แพทย์ชอบสั่งให้คนไข้  ที่เป็นความดันโลหิตสูงมาเป็นเวลานาน

มันสามารถลดอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นจาก  ความเครียด,
ออกกำลังกาย หรือ กังวลใจ
เคยมีรายงานว่า  มีการสั่งยาตัวนี้ให้แก่นักแสดงบนเวที (stage performers) 
เพื่อลดอาการใจสั่น  ประหม่า  หรือ มีอาการมือสั่นในระหว่างการแสดงบนเวที

มีเหตุการณ์หลายอย่าง  ซึ่งเราไม่สามารถอธิบายได้ว่า
ทำไม  ชาว African-american ไม่ตอบสนองต่อยา beta blockers
ได้ดีเท่ากับพวกผิวขาว...

และเนื่องจาก beta blockers อาจทำให้เส้นเลือดระดับปลาย เกิดการหดตัว
ดังนั้น  เขาจึงไม่สั่งยาประเภทนี้ให้แก่คนที่เป็นโรคของมือ และเท้าที่ขาดเลือด
หรือโรคเส้นเลือดส่วนปลายเดิดการติบตัน (peripheral vascular disaese) 
นอกจากนั้น  เขายังไม่แนะนำให้ใช้ในคนที่เป็นโรคหืด (asthma) รับทานยาดังกล่าว
เพราะ  มันทำให้เกิดมีการหดเกร็งของหลอดลม (bronchial tubes)

คนไข้ส่วนใหญ่สามารถทนต่อการใช้ยา beta blockers ได้ดี 
โดยเฉพาะ ถ้าหากยาในขนาดต่ำ ๆ ร่วมกับยาขับปัสสาวะ หรือ ยาลดความดันตัวอื่นๆ
หากใช้ยาตัวนี้ร่วมกัยากลุ่ม nitrates  จะได้ผลดีในคนไข้ที่มีอาการเจ็บหน้าอก
ตัวอย่างของยาในกลุ่ม blockers ได้แก่  atenolol (Tenormin), metoprolol (Lopressor)
Propranolol (Inderal)  ....เป็นยาที่ออกฤทธิ์ที่หัวใจโดยตรง (cardioselective) 
โดยทำงานตรงข้ามกับการทำงานของหัวใจ และ การทำงานของปอด
เป็นยาที่มีใช้มาตั้งแต่ปี 1985, 1981  และ 1978 ถูกนำมาใช้รักษาโรคความดันสูง,
อาการเจ็บหน้าอก (angina), ใจสั่น (palpitation),  มือสั่นจากโรคต่อมไทรอยด์
ทำงานเกิน, และจากความเครียดที่เกิดจากทำงานต่อหน้าชุ่มชน

ประโยชน์ที่ได้จากยาตัวนี้  ยังมีอีกมากมาย
เช่น  อาจป้องกันไม่ให้หัวใจทำลายเพิ่มหลังจากการเกิด heart attack 
อาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคปวดศีรษะไมเกรน

ผลเสียจากยาตัวนี้  ได้แก่ เฉื่อยชา,  มือ-เท้าเย็น  เนื่องจากการการไหลเวียน
ของเลือดสู่บริเวณมือ และเท้าลดลง 
นอกจากนั้น  มันอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้  ฝันร้าย  หรือฝันพิสดาร (vivid dream) 
หมดความรู้สึกทางเพศ  และอาจกระตุ้นได้เกิดอาการหืดหอบ (asthmatic attack) ได้

ข้อสังเกตุ:

o   ไม่ควรใช้ยากกลุ่ม beta blockers  ในคนไข้ที่เป็นโรคหืด (asthma)
หรือ ในคนที่เป็นโรคปอดเรื้อรังเป็นอันขาด
o    Beta blocker ควรระมัดระวังในคนไข้ที่เป็นเบาหวาน ชนิดไม่ตอบสนองต่อ
อินซูลิน  หรือ คนที่เป็นโรค peripheral vascular disease
o   ในปัจจุบันนี้  ปรากฏว่ามียาในกลุ่ม beta blockers ประมาณ 10 กว่าตัว

CALCIUM CHANNEL BLOCKERS
เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า  ”แคลเซี่ยม” เป็นสารที่มีบทบาทสำคัญต่อการกระตุ้น
คลื่นกระแสไฟฟ้าในกล้ามเนื้อของหัวใจ  และ การหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ
ของผนังของเส้นเลือดแดงทั้งหลาย

สารในกลุ่ม calcium channel blockers เป็นยาที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นใหม่
โดยออกฤทธิ์สกัดกั้นการเคลื่อนย้ายของธาตุแคลเซี่ยม  ไม่ให้เข้าสู่เซลล์ของกล้าม
ที่ทำหน้าที่ควบคุมการหดเกร็งของเส้นเลือด

จะพบว่า  กล้ามเนื้อทุกมัดที่มีการหดตัวได้นั้น  จำเป็นต้องอาศัย “แคลเซียม” ทั้งนั้น
ถ้าไม่มีสารแคลเซียมเสียอย่าง  กล้ามเนื้อจะหดตัวไม่ได้
เมื่อกล้ามเนื้อของเส้นเลือดถูกป้องกันกันไม่ให้หดเกร็ง  ทำให้เส้นเลือดจะขยายตัวออก
ทำให้การไหลเวียนของเลือดไหลผ่านได้สะดวก
พร้อมๆ  กับทำให้ความดันโลหิตภายในเส้นเลือดลดลง

ถ้าเราให้ยาตัวนี้   เพื่อรักษาคนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงตั้งแต่แรก 
มันสามารถลดความดันลงได้ถึง  30 – 40 % ของคนไข้ที่เป็นโรคดังกล่าว
เราอาจให้ยาตัวนี้  เสริมกับยาขับปัสสาวะ (diuretics)
หรือ ให้ร่วมกับยาลดความดันตัวอื่น ๆ

ยาในกลุ่มนี้จะแพงกว่ายาในกลุ่ม beta blocker
แต่คนไข้สามารถทนต่อการใช้ยาตัวนี้ได้ดี  แม้กระทั้งคนที่เป็นโรคหืด
เป็นยาที่แพทย์ส่วนมาก แนะนำให้ใช้เป็นยาตัวแรก (first choice)
เพื่อใช้รักษาคนไข้  ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง

มันสามารถช่วยลดอาการเจ็บหน้าอก  ป้องกันไม่ให้เกิด heart attack
ใช้ลดความดันโลหิต  และช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดไปยังมือ และเท้าดีขึ้น

Verapamil เป็นยาในกลุ่ม  calcium cannel blockers 
ที่สามารถลดเต้นผิดปกติของหัวใจ (anti-arrhythmic) ได้
ผลเสียจากการใช้ยาตัวนี้ ไดแก่ ทำให้เกิดหน้า  และคอ แดง,  ปวดศีรษะ, ใจสั่น,
วิงเวียน, คลื่นไส้, ความดันลดต่ำ,  ข้อเท้าบวม, มีผื่นที่ผิวหนัง

CENTRALLY ACTING DRUGS

เป็นยาที่ออกฤทธิ์ที่สมองส่วนกลาง  ทำหน้าที่ลดคลื่นกระแสประสาทจากสมอง
ไม่ให้ส่ง(คลื่น)ไปทำให้เส้นเลือดเกิดการหดตัว (constrict)  ทำให้เส้นเลือดเกิดการขยายตัว
นอกจากเส้นเลือดเกิดการขยายตัวแล้ว  มันอาจทำให้หัวใจเต้นช้าลงอีกด้วย

ยากลุ่มดังกล่าว  ไม่ค่อยถูกนำมาใช้เป็นยาตัวแรกของการรักษาโรคความดัน 
แต่ มันจะถูกใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะ  หรือยาลดความดันชนิดอื่นๆ

ยาในกลุ่มนี้  ได้แก่ clonidine (Catapres), methydopa (Aldomet)
ยาเหล่านี้จะลดตัวกระตุ้นไม่ให้มีคลื่นกระแสประสาทจากสมองไปยังหัวใจแล้ว
เรายังพบว่า  ยา clonidine  ยังสามารถลดอาการ withdrawal จากการเลิกสูบบุหรี่
หรือ พิษจากเหล้าได้

ผลเสียจากการใช้เหล่านี้แก่  ง่วงนอน,  ท้องผูก , ปากแห้ง, ผื่น, ซึมเศร้า, 
เข้าเท้าบวม, มือเย็น,  และ  อาจหมดความรู้สึกทางเพศ
Methyldopa  อาจเป็นยาที่เหมาะสำหรับรักษาสตรีที่มีความดันสูงในช่วงการเกิดท้อง
ในช่วงหลัง (late pregnancy)


อ่านต่อ > 5

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น