ถ้าไม่บอกเราอาจไม่รู้...
ในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วยการใช้ยาเป็นอาวุธ
หากไม่มีการสำรวจตรวจสอบดูผลของการรักษา ที่เราได้พยายามลงแรง
ด้วยการใช้ยาเป็นอาวุธนั้น เราอาจไม่ได้รับผลตามที่เราต้องการก็อาจเป็นไปได้
ในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วยการใช้ยาเป็นอาวุธ
หากไม่มีการสำรวจตรวจสอบดูผลของการรักษา ที่เราได้พยายามลงแรง
ด้วยการใช้ยาเป็นอาวุธนั้น เราอาจไม่ได้รับผลตามที่เราต้องการก็อาจเป็นไปได้
ตามความเป็นจริง การให้คนไข้รับทานยา แอสไพริน วันละครั้ง
สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย (heart attack)
ได้ถึง 75 % ของคนที่เป็นโรคหัวใจ แต่มีประมาณ 25 % ที่ใช้ยาแล้วปรากฏว่า
ยาไม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าวเลย
สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย (heart attack)
ได้ถึง 75 % ของคนที่เป็นโรคหัวใจ แต่มีประมาณ 25 % ที่ใช้ยาแล้วปรากฏว่า
ยาไม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าวเลย
คำถามมีว่า...ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ?
ผลจากการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์...รายงานว่า
ที่แอสไพริน ไมได้ปกป้องหัวใจจากการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายนั้น
เป็นเพราะว่ามีระดับของ “คลอเลสเตอรอล” ในกระแสเลือดสูงนั่นเอง ที่เป็นต้นเหตุ
ทำให้ประสิทธิภาพของ “แอสไพริน” ลดลง ไม่สามารถยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือดได้เป็นปกติ
ที่แอสไพริน ไมได้ปกป้องหัวใจจากการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายนั้น
เป็นเพราะว่ามีระดับของ “คลอเลสเตอรอล” ในกระแสเลือดสูงนั่นเอง ที่เป็นต้นเหตุ
ทำให้ประสิทธิภาพของ “แอสไพริน” ลดลง ไม่สามารถยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือดได้เป็นปกติ
แอสไพริน ซึ่งทำหน้าที่ลดกับจับตัวของเกล็ดเลือด ได้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า
มันสามารถลดอันตรายจากการเกิด heart attack ได้ถึง 20 – 30 %
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาจาก Maryland University รายงานว่า
ในรายที่มี“คลอเลสเตอรอล” ในกระแสดเลือดสูงมากกว่า 220 mg/dl จะพบว่า
การจับตัวของเกล็ดเลือดยังคงเหมือนเดิม
หรือจะพูดว่า อาวุธที่เราใช้ (แอสไพริน) ไม่สามารถทำอะไรกับเกล็ดเลือดได้นั่นเอง
จึงเป็นเหตุให้คนไข้ตกอยู่ในสภาพที่จะเกิดภาวะ heart attack เหมือนเดิม
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราสั่งจ่ายยาให้คนไข้รับทานแอสไพริน เพื่อหวังผลใน
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจขึ้นนั้น เราอาจไม่เคยตรวจดูประสิทธิผล
ของการใช้ยาแอสไพรินเลย...
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจขึ้นนั้น เราอาจไม่เคยตรวจดูประสิทธิผล
ของการใช้ยาแอสไพรินเลย...
จากการเสนอบทความนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า การให้คนไข้ทานแอสไพริน มันอาจไม่
ได้ผล ถ้าหากระดับ “คลอเลสเตอรอล” ในกระแสเลือดสูง
คนไข้ยังตกอยู่ในสภาวะของความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอยู่ดี
ได้ผล ถ้าหากระดับ “คลอเลสเตอรอล” ในกระแสเลือดสูง
คนไข้ยังตกอยู่ในสภาวะของความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอยู่ดี
ผลจากการศึกษาในคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจจำนวน -63 ราย รับทาน “แอสไพริน”
ขนาด 325 mg ต่อวัน เป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน
ได้ถูกทำการตรวจว่า มีการจับตัวของเกล็ดเลือดหรือไม่ ?
ผลปรากฏว่า แอสไพริน สามารถป้องกันไม่ให้เกิดการจับตัวของเม็ดเลือด 41 คน
และไม่ตอบสนอง 20 คน
ขนาด 325 mg ต่อวัน เป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน
ได้ถูกทำการตรวจว่า มีการจับตัวของเกล็ดเลือดหรือไม่ ?
ผลปรากฏว่า แอสไพริน สามารถป้องกันไม่ให้เกิดการจับตัวของเม็ดเลือด 41 คน
และไม่ตอบสนอง 20 คน
สำหรับคนไข้ที่มีระดับ cholesterol >220 mg mb/dL
ปรากฏว่ามีคนไข้ไม่ตอบสนองต่อการใช้ แอสไพรินเลย 60 %
เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคนที่มีระดับไขมัน “คลอเลสเตอรอล” < 180 mg/dL
ปรากฏว่า มีคนไข้เพียง 20 % เท่านั้น ที่ไม่ตอบสนองต่อยา “แอสไพริน”
ปรากฏว่ามีคนไข้ไม่ตอบสนองต่อการใช้ แอสไพรินเลย 60 %
เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคนที่มีระดับไขมัน “คลอเลสเตอรอล” < 180 mg/dL
ปรากฏว่า มีคนไข้เพียง 20 % เท่านั้น ที่ไม่ตอบสนองต่อยา “แอสไพริน”
เคยมีการศึกษามาก่อนหน้านี้ว่า การมีระดับ “คลอเลสเตอรอล” ในกระแสเลือดสูง
ปรากฏว่า มันมีความสัมพันธ์กับการทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกันเป็นก้อนเลือดขึ้น
และจากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การมีกระดับไขมั “คลอเลสเตอรอล” สูง
จะมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา แอสไพริน
ปรากฏว่า มันมีความสัมพันธ์กับการทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกันเป็นก้อนเลือดขึ้น
และจากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การมีกระดับไขมั “คลอเลสเตอรอล” สูง
จะมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา แอสไพริน
กล่าวโดยสรุป ในการใช้ยาแอสไพรินเพื่อป้องกันไม่เกิดมีก้อนเลือดในกระแสเลือด
มันก็เปรียบเสมือนเตะบอลล์ให้เข้าประตูของฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง..
.ถ้าการเตะนั้น มีคนของฝ่ายตรงข้ามขวางประตูเอาไว้
ย่อมป้องกันไม่ให้ลูกบอลล์ถูกเตะเข้าไประตูได้
เช่นเดียวกัน การให้ “แอสไพริน” เพื่อป้องกันไม่ให้มีการจับตัวของเกล็ดเลือด
หากมีไขมัน “คลอเลสเตอรอล” ในกระแสเลือดสูง
มันย่อมทำให้ประสิทธิภาพของของแอสไพรินลดลง...
มันก็เป็นเช่นนั้นเอง
มันก็เปรียบเสมือนเตะบอลล์ให้เข้าประตูของฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง..
.ถ้าการเตะนั้น มีคนของฝ่ายตรงข้ามขวางประตูเอาไว้
ย่อมป้องกันไม่ให้ลูกบอลล์ถูกเตะเข้าไประตูได้
เช่นเดียวกัน การให้ “แอสไพริน” เพื่อป้องกันไม่ให้มีการจับตัวของเกล็ดเลือด
หากมีไขมัน “คลอเลสเตอรอล” ในกระแสเลือดสูง
มันย่อมทำให้ประสิทธิภาพของของแอสไพรินลดลง...
มันก็เป็นเช่นนั้นเอง
http://www.umm.edu/news/releases/aspirin.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น