วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การบริบาลเภสัชกรรม (1) (Pharmaceutical care In Elderly)

Jun 2013

ในคนสูงวัย...
เกิดเป็นโรคเรื่อรังขึ้นมา  เขาจำเป็นต้องได้รับการรักษา
และการรักษาที่คนสูงอายุได้รับกันบ่อยที่สุด คือ การรักษาด้วยยา
(drug therapy) นั่นเอง

แน่นอน ผลที่เกิดจากการใช้ยาในคนสูงอายุทั้งหลาย...
พบว่า มีคนไข้จำนวนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ (noncompliance), 
ซึ่ง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ (side effects)
เกิดมีปฏิกิริยาระหว่างยาที่กิน, และบางรายต้องถูกนำส่งเข้ารับการรักษา
เพราะผลอันเกิดจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง

ในสหรัฐอเมริกาเอง...
ประมาณ 10-15 ปีที่ผ่านมา ได้มีรายงานว่า หนึ่งในสี่ของคนในวัย 65 หรือแก่กว่า 
ถูกรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพราะเกิดมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ (กิน) ยา  
โดยเฉพาะ “อาการอันไม่พึงประสงค์” (side effects)
หรือ การไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ (noncompliance)
เป็นเหตุให้ผลของการรักษาไม่บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้

มีปัจจัยเหลายอย่าง ที่ทำให้เกิดกรณีเช่นนั้น
เป็นต้นว่า  คนสูงอายุต้อง “กิน” ยาหลายขนาน  (polymedicine),
ผู้ให้การรักษาสั่งยาให้แก่คนสูงวัยได้ไม่เหมาะสม, ตลอดรวมไปถึงการซื้อยามา
ใช้ (กิน) เอง  โดยแพทย์ไม่มีส่วนรู้เห็น หรือรับทราบเลย

การใช้ (กิน) ยาหลายขนาน
(polymedicine)

มันหมายความว่าอย่างไร ?
ตามคำจำกัดความ Polymedicine สามารถอธิบายความได้หลายแง่
ส่วนใหญ่จะหมายถึงจำนวนยาที่คนไข้ต้อง “กิน” เพื่อหวังผลในการรักษาโรค
หลายขนาน เช่น มีการใช้ยา 5 ตัว หรือมากกว่าขึ้นไป

แต่ เนื่องจากคนสูงอายุมักจะมีหลายโรคภายในตัว จึงจำเป็นต้องกินยาหลายตัว
ดังนั้น คำว่า polymedicine น่าจะหมายถึง “การใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม”
น่าจะถูกต้องกว่า

ยกตัวอย่างในกรณีศึกษา (case histories)  Mr. Brown (Case 1) ได้รับยา
หลายตัว (มากกว่า 5) เพื่อใช้รักษาโรคเรื้อรังหลายอย่างที่รุมเร้า Mr. Brown
ซึ่งยาแต่ละตัวต่างมีความจำเป็น  ที่เขาจะต้องใช้เสียด้วย...
ดังนั้น ในกรณีของ Mr. Brown การใช้ยาหลายตัว
จึงไม่ใช้ภาวะ Polymedicine

ส่วน Mrs. Smith (Case II)”…
เธอต้องกินยาแก้แพ้ (antihistamine) เป็นประจำทุกวัน เพื่อรักโรคที่เกิดตาม
ฤดูกาล มีชื่อเรียกว่า “Hey fever”

นอกจากนั้น เธอยังต้องกินยาแก้ปวด ซึ่งเป็นยากลุ่มNSAIDibuproIbuprofen(NSAID) ทั้ง ๆ ที่แพทย์สั่งให้ยา rofecoxib (Vioxx®) ให้แก่เธอ ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม NSAIDs
เพื่อรักษาโรคไขข้อของเธออยู่แล้ว  แต่เธอยังซื้อยา ibuprofen มากินเพิ่มอีก
ถือว่าเป็นการใช้ยาซ้ำซ้อนไป

ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังซื้อยา Tagamet HB® และ Pepto-Bismol® 
มารักษาอาการทางกระเพาะอาหาร ทั้งๆ  ที่เธอได้รับยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
จากแพทย์ได้สั่งยารักษากรดในกระเพาะอาหารเป็นที่เรียบร้อย แต่เธอยังชื่อยาลด
กรดมาใช (กิน) เพิ่ม ถือว่าเป็นการใช้ยาซ้ำซ้อนเกินความจำเป็น

ในกรณีของ Mrs. Smith...
เป็นตัวอย่างที่บอกให้เราได้ทราบว่าเป็นการใช้ยาซ้ำซ้อน ไม่เหมาะสม 
มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ได้  (side effects)
และกรณีเช่นนี้แหละที่เราเรียกว่า polymedicine

การให้คำแนะนำ หรือการให้ความรู้แก่คนไข้เกี่ยวกับกับการใช้ยาได้อย่างเหมาะสม 
ถือเป็นเรื่องสำคัญ  โดยเป็นหน้าที่ของเภสัชกร และแพทย์ผู้สั่งยา
ซึ่งจะต้องตื่นตัวกับการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม (polymedicine)
โดยมีบ่อยครั้งจะไม่ปรากฏอาการให้เห็นได้ง่ายนัก

การที่เราจะทราบได้ว่า...
คนไข้ใช้ยาไม่เหมาะสม (polymedicine) จำเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสารอย่าง
มีประสิทธิภาพระหว่างคนไข้, แพทย์, เภสัชกร,
และเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการด้านอื่น ๆ

การสั่งยาของแพทย์มีโอกาสทำให้เกิดการสั่งยาให้แก่คนไข้ได้ไม่เหมาะสม
จากตัวอย่าง Mr. Brown ได้รับยา diazepam สำหรับรักษา “ความเครียด”
และ “นอนไม่หลับ” ซึ่งเกิดขึ้นเป็นบางครั้งเท่านั้น


ในกรณีของ Mr. Brown ซึ่งเป็นคนสูงอายุ ไม่จำเป็นต้องใช้ยา diazepam 
เลย แต่ในการรักษาความเครียด และการนอนไม่หลับของเขา
สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการอื่น ซึ่งปลอดภัยสำหรับเขา 
นั่นคือ รักษาโดยไม่ต้องใช้ยา (non-drug treatment)

สำหรับ Mrs. Smith เป็นตัวอย่างของ polymedicine…
โดยเธอใช้ยาซ้ำซ้อนกันหลายตัว และจากการใช้ยาไม่เหมาะสมดังกล่าว
ยังสามารถทำให้เธอเกิดภาวะอันไม่พึงประสงค์ (side effects) ได้
เช่น เกิดมีแผลในกระเพาะอาหาร จนกระทั้งถึงการมีมีเลือดตกได้

คำว่า polymedicine บางครั้งจะถูกเรียกว่า polypharmacy ก็ได้
ท่านสามารถเลือกใช้ได้ตามอัธยาศัย

สาเหตุที่ทำให้เกิด polypharmacy ได้แก่:

§  มีหลายโรค (multiple diseases)
§  ผู้ให้บริการทางการแพทย์มีเวลาจำกัด (time constrains on
Health professionals) ไม่มีเวลาตรวจสอบความถูกต้อง
§  ได้รับริการจากแพทย์หลายนาย(multiple health care providers)
§  ใช้ยาเองโดยแพทย์ไม่มีส่วนรู้เห็น (nonprescription medications)

มียาหลายขนาน ซึ่งสามารถทำปฏิกิริยาต่อกัน ได้แก่ cimetidine, fluoxetine 
และ warfarin

ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร omeprazole สามารถกระทบต่อ
การดูดซึมของยา digoxin ได้

ส่วน gingko biloba อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมีเลือดตกได้เมื่อมีการใช้ยา
ร่วมกับยาป้องกันการจับตัวของเม็ดเลือด ชื่อ warfarin

Mrs. Smith ต้องการใช้ยา ibuprofen ทั้งๆ ที่เธอมีข้อห้ามไม่ให้ใช้ยาตัว
ดังกล่าว  โดยเธอกำลังใช้ยา warfarin
ซึ่งสามารถทำให้เขาเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดตก (bleeding)ได้
นอกจากนั้น การรับประทานยา ibruprofen ยังอาจทำให้ละคายกระเพาะ
อาหาร และทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้

นอกจากนั้น ในการใช้ยาของ Mrs. Smith ยังมีตัวชี้บอกให้ทราบว่า
เธอตกอยู่ในภาวะใช้ยาได้ไม่ถูกต้อง หรือที่เรียกว่า Polymedicine อีก นั้นคือ...
เธอได้รับยารักษากระเพาะอาหาร (ยาลดกรด) omeprazole อยู่แล้ว
แต่เธอก็ยังปรารถนาที่จะได้รับยา Tagamet HB® ซึ่งเป็นยาลดกรดใน
กระเพาะอาหารเช่นเดียวกัน  ถือว่าเป็นการเพิ่มยาซ้ำซ้อน...ไม่ถูกต้อง
เป็นภาวะที่เราเรียกว่า  polymedicine

>>Next :  Pharmaceutical care in elderly: nonadherence

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น