May 30,2013
Continued….
เมื่อหลายปีมาแล้ว ปรากฏว่ามียาจำนวนหลายขนาน
ได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาคนไข้สูงอายุที่เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดต่างๆ
เพื่อทำให้ความจำของเขาดีขึ้น
และลดอาการสับสนลง ได้แก่:
ergoloid myslates (Hydergine®ม, cyclanderlate (Cyclopasmol®),
papaverine (Pavabid®), niacin, choline hydrochloride
และ lecithin
แม่ว่าจะมีเอกสารจากการวิจัย ได้ชี้แนะว่า
ยาต่างๆ เหล่านี้เป็นยาที่มี
ประสิทธิภาพในการรักษาภาวะสมองเสื่อม
(dementia) ก็ตาม
แต่ก็ปรากฏว่า
ไม่ได้รับความนิยมในด้านเวชปฏิบัติกัน
สาเหตุที่ยาต่างๆไม่ถูกนำไปใช้ในการรักษาคนไข้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์
เป็นเพราะการวิจัยหลายชิ้นที่กระทำขึ้นในอดีต
ปรากฏว่า
เป็นการวิจัยที่ใช้ในกลุ่มคนจำนวนน้อยมาก และรูปแบบการวิจัยก็มีความ
บกพร่อง...จึงทำให้ผลงานไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ
Cholinesterase
Inhibitors
ยาในกลุ่มนี้มีจำนวน
5
ตัวได้รับการรับรองให้นำไปใช้ในการรักษาคนไข้ที่
เป็นโรค
“อัลไซเมอร์” ได้แก่ Tacrine (Cognex®),
donepezil
(Aricept®),
และ galantamine (Reminyl®)
ยาในกลุ่ม
cholinaseterase
inhibitors จะทำหน้าที่ยับยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์
ชื่อ
acetylcholinesterase หรือ butyrylcholinesterase
ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ โดยทำหน้าที่ทำลาย acetylcholine
ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทภายในสมอง
ในปัจจุบัน
ไม่มีการศึกษาเพื่อทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยา
การตอบสนองต่อยา
cholinesterase
inhibitors อาจไม่บอกให้ทราบ
ถึงอาการของคนไข้ดีขึ้น
แต่เป็นเพียงทำให้อาการทรงตัวชั่วระยะเวลาอันสั้น ๆ
หรือทำให้อาการบางอย่างลดลงเท่านั้นเอง
ผลจากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า...
จากการใช้ดังกล่าว หนึ่งในสามของคนไข้จะแสดงให้เห็นถึงอาการที่ดีขึ้น
หนึ่งในสามจะอยู่ในสภาพที่คงที่
หรือเลวลง และอีกหนึ่งในสามจะไม่
เห็นว่ามีอาการดีขึ้น
และจะมีอาการเลวลงอย่างต่อเนื่องอย่างช้าๆ
ถ้าคนไข้เคยได้รับยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่ม
cholinesterase
inhibitors
โดยเฉพาะ
rivastigmine
ถ้าเขาหยุดยามานานเกิน 3 วัน
หากมีการเริ่มยากันใหม่ เขาจะต้องเริ่มต้นด้วยการให้ยาจากน้อยไปหามาก
และควรตรวจเช็คอย่างใกล้ชิดเมื่อเขาใช้ยา
การให้ยา
cholinesterase
inhibitors อาจทำให้โรคประจำตัวของเขาเลวลงได้
เช่น โรคหืด(asthma), โรคระบบกระเพาะ-ลำไส้, โรคชัก(seizures),
โรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (incontinence), และกล้ามเนื้อหดเกร็ง
(muscle cramps)
จากข้อมูลดังกล่าว
หากเป็นไปได้...
เราควรหลีกเลี่ยงจากการใช้ยากลุ่ม
anticholinergic
drugs
Tacrine
(tetrahydroaminacridine, THA, Cognex®)
สาร
Tacrine
ถูกนำมาใช้เป็นยารักษาโรคตั้งแต่ปี 1940s
เพื่อใช้ในการแพทย์หลายอย่าง
เช่น รักษาอาการเพ้อคลั่ง
ซึ่งเกิดจากสารที่เป็น
anticholinergic
drugs
Tacrine
สามารถทำให้การทำงานของสมอง (cognitive function) ดีขึ้นได้
ได้ถึง
30
% ด้วยการให้ยาขนาด 120 – 160 mg ต่อวัน
แต่โชคไม่ค่อยดี
ที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทนต่อยาในขนาดดังกล่าว
เนื่องจากยา
tacrine
จะก่อให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ (side effects) ได้บ่อย,
เป็นยาที่ต้องรับประทานหลายครั้ง, มีโอกาสทำลายตับ (drug toxicity)
ดังนั้นแพทย์จึงหันไปใช้ยาตัวอื่น
ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาน้อยกว่าการใช้ tacrine
Donepezil
(Aricept®)
Donepezil…
แม้ว่าผลที่ได้จากการรักษาคนไข้
“อัลไซเมอร” จะได้ผลดีพอประมาณก็ตาม
แต่ก็เป็นยาที่ได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก เพื่อใช้รักษาคนไข้โรค
“อัลไซเมอร์”
ซึ่งจะออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลางได้ดีกว่าประสาทส่วนปลาย
ผลจากการศึกษาพบว่า...
ยา
donepezil
จะให้ผลดีในด้านความคิด (cognition)
แต่มีผลกระทบต่อภารกิจในชีวิตประจำวันได้น้อย
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา
donepezil
ที่พบได้บ่อยได้แก่ อาการคลื่นไส้,ท้องร่วง,
เบื่ออาหาร เราสามารถหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าวได้
ด้วยการเริ่มรับประทานยาจากขนาดน้อย
ๆ และเพิ่มยาอย่างช้า ๆ
อาการนอนไม่หลับ
ซึ่งอธิบายโดยคนไข้จำนวนหนึ่งว่า...
เขาจะตื่นกลางดึกจากการฝันร้าย
ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการสับเปลี่ยนเวลารับประทานยา โดยให้รับประทาน
ในตอนเช้าแทน
สามารถแก้ปัญหาได้
เพื่อหลีกเลี่ยงอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
donepezil…
ควรเริ่มให้ยาจากน้อยไปหามาก
โดยเริ่มต้นจาก 5
mg ในตอนเย็น
วันละครั้ง และให้เปลี่ยนเป็นให้ในตอนเช้าแทน
ในรายที่มีอาการนอนไม่หลับ และขนาดสูงสุด (maximum 10 mg ต่อวัน)
ซึ่งจะต้องกินเวลานานถึง
4 – 6 อาทิตย์
อาจมีคนไข้บางคนไม่สามารถทนต่อขนาดยา
5
mg/ วันได้
ซึ่งในกรณีดังกล่าว
เขาอาจเริ่มใช้ยาขนาด 2.5 mg/ วัน
จากนั้นให้เพิ่มยาอย่างช้า
ๆ
ในกรณีที่คนไข้มีอาการทางกระเพาะ-ลำไส้...
เพื่อให้คนไข้ได้รับยาถึงระดับ
therapeutic
dose สามารถกระทำได้
ด้วยการแบ่งรับประทานยาเช้าเย็น
สามารถแก้ปัญหาได้
Rivastigmine
(Exelon®)
Rivastigmine
เป็น carbamate derivative เป็นสารที่ออกฤทธิ์ได้นาน,
เป็น
noncompetitive
acetylcolinestrase inhibitor
ซึ่งออกฤทธิ์ต่อเอ็นไซม์ทั้ง
cholinesterase
และ butyrylcholinesterase
เมื่อเปรียบเทียบกับ
Tacrine
จะออกฤทธิ์ที่ butyrylcholinesterase
ส่วน
donepezil
จะยับย้งเอ็นไซม์ตรงตำแหน่งของ acetylcholinesterase
แม้ว่า
ยาแต่ละตัวออกฤทธิ์ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน
แต่ยังไม่มีใครอธิบายถึงความสำคัญของตำแหน่งที่ยาออกฤทธิ์ได้
Rivastigmine มี half-life สั้น แต่ฤทธิ์ของมันกลับยาวนาน
ดังนั้น
เขาจึงให้ยาดังกล่าววันละสองครั้ง และขนาดของยาเพียงแค่ 6 mg
ก็สามารถให้ผลทางการรักษา
(therapeutic
Effect) โดยมีคนไข้บางคนได้
ยาขนาด
6
-12 mg ต่อวัน สามารถทำให้ความคิดดีขึ้น
(cognitive
improvement)
ผลอันไม่พึงประสงค์จากยา
rivastigmine
จะสัมพันธ์กับขนาดของยา
ซึ่งเป็นผลจากการให้ยาขนาดสูงเกินไป
หรือเพิ่มขนาดของยาเร็วไป
ที่พบมากที่สุด
ได้แก่ อาการคลื่นไส้ (nausea), อาเจียน (vomiting),
เบืออาหาร
(anorexia),
และปวดกระเพาะ (dyspepsia)
อาการเหล่านี้
จะเกิดขึ้นได้ไม่นานก็หายไป และไม่รุนแรงเท่าใดนัก
ยกเว้นเฉพาะในกรณีที่เพิ่มขนาดยาอย่างรวดเร็วเท่านั้น
เพื่อหลีกเลี่ยง
หรือลดดีกรีของผลอันไม่พึงประสงค์จากยา...
เขาแนะนำให้รับประทานยาพร้อมอาหาร
วันละสองครั้ง สามารถลดอา
การทางกระเพาะ-ลำไส้ได้
โดยที่ยายังสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต
ได้ตามปกติ
ได้ตามปกติ
ถ้าคนไข้มเป็นโรคตับ
และไต (heptic & renal impairment)
จำต้องลดขนาดของยาลง ซึ่งรวมถึงยาทุกตัวในกลุ่ม
cholinesterase
inhibitors (tacrine, Donepezil
และ galantamine
Galantamine
(Reminyl®)
ยาจะออกฤทธิ์โดยเป็น selective, competitive actylcholinesterase
Inhibitors และทำหน้าที่เป็น modulator สำหรับ nicotinic receptors)…
ผลจากการทดลองเมื่อไม่นานมานี้...
พบว่า
ยา galantamine
ขนาด 16-24 mg/วัน สามารถทำให้ระดับความคิด,
การทำงานในชีวิตประจำวัน,
และอาการทางพฤติกรรมดีขึ้น
และหากให้ขนาดน้อย
และเพิ่มขนาดอย่างช้า ๆ
จะทำให้คนไข้ทนต่อผลข้างเคียงได้เป็นอย่างดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น