วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Diagnosing Stroke

Nov. 14, 2012

ได้มีโอกาสได้ฟังเพื่อนเล่าให้ฟังว่า...
ลูกสาววัย
20 เศษ  เกิดภาวะสมองถูกทำลาย (stroke)
โดยแพทย์กล่าว่ว่า  เขาไม่ทราบว่า  อะไรทำให้เกิดเช่นนั้น
เพราะจากการตรวจร่างกาย  และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์
ไม่พบอะไรผิดปกติ:  ความดันโลหิตปกติ  ไม่มีโรคเส้นเลือดแดง 
ไขมันในเลือดต่างอยู่ในระดับปกติ...

โรคหรือภาวะทั้งสาม   ต่างพบเห็นในคนสูงอายุเสียเป็นส่วนใหญ่
ถ้าเช่นนั้น  มีคำถามว่า  อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนที่พึ่งสำเร็จการศึกษา   
ต้องลงเอยด้วยโรคสมองถูกทลาย (stroke)
มีอาการแขนขาอ่อนแรง...

ในการประเมินภาวะสมองถูกทำลาย (stroke)…
สิ่งแรกที่เราจะต้องรู้ให้ได้  คือ  คนไข้ได้รับยาป้องกันการจับตัวเป็นก้อนของ
เม็ดเลือด (blood – thinning medications) หรือไม่

ขั้นตอนต่อไป  เราต้องรู้และเข้าใจด้วยว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดัง
กล่าว (stroke)  ซึ่งจะทำให้เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง

การตรวจด้วยภาพ (Imaging Tests)
ในการวินิจฉัยภาวะสมองถูกทำลายจากการขาดเลือด (stroke)
รวมถึงการจำแนกชนิดของมัน  แพทย์จำเป็นต้องอาศัยการตรวจสมองด้วย
ภาพ (imaging tests)  โดยการทำ computed tomography scan
เราชอบเรียกสั้นๆ ว่า CT (หรือ cat) scan  ซึ่งเป็นการถ่ายภาพเป็นชุดของ
สมองในแนวตัดขวาง   ทำให้เราสามารถตรวจสอบพยาธิสภาพ (stroke)
ตามที่สงสัยได้

ในกรณีที่เกิดภาวะของสมองขาดเลือด (จากการอุดตัน)
ในระยะแรก ๆ ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการเกิดภาวะสมองถูกทำลาย 
เราจะไม่สามารถเห็นภาพอะไรจากการตรวจ CT scan

ถ้าสมองขาดเลือดจากการฉีกขาดของเส้นเลือด  CT scan  เป็นอีกเรื่อง
โดยเราสามารถเห็นภาพของเลือดที่ไหลออกสู่บริเวณรอบเส้นเลือดที่ฉีกขาดได้

ในกรณีมีเลือดออกในสมอง  แพทย์เขาจะไม่สั่งยาป้องกันการจับตัวของ
เม็ดเลือด (blood thinning) ให้แก่คนไข้
เพราะจะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นไปอีกทำให้อาการยิ่งแย่ลงไปอีก

ยาลดการจับตัวของเม็ดเลือด (blood thinning) ได้แก่ heparin, warfarin
และยาสลายก้อนเลือด ( thrombolytic  dissolving) ท้งหลาย
เช่น  tissue plasminogen activator (t-PA)  
ซึ่งยาเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อภาวะสมองถูกทำลายโดยมีสาเหตุอย่างอื่น
ที่ไม่ใช่เลือดออกในสมอง

การตรวจด้วยภาพชนิดอื่น ๆ  ได้แก่ magnetic resonance imaging scan
(MRI)  ซึ่งเป็นการใช้สนามแม่เหล็ก (magnetic fields) ทำการตรวจดูสมอง
ที่มีการเปลี่ยนแปลงของสมองน้อย

เมื่อสมองขาดเลือด  จะทำให้มีน้ำในเซลล์ของสมองเพิ่มขึ้น 
เราเรียกภาวะดังกล่าวว่า  สมองบวม (brain edema)
ซึ่งสามารถตรวจพบได้ด้วย MRI ภายใน 30  นาทีหลังการเกิดภาวะ stroke
นอกจากนั้น  การทำ MRI angiogram  สามารถทำให้เห็นการไหลเวียน
ของเลือดภายในสมองได้ชัดเจนขึ้น

Cardiac Tests
เมื่อมีก้อนเลือด หรือลิ่มเลือดเกิดภายในหัวใจ...
มีเศษของก้อนเลือด  หรือลิ่มเลือดสามารถหลุดไปตามกระแสเลือดเข้าสู่สมอง 
เมื่อเกิดการอุดตันกระแสเลือดขึ้น
ย่อเป็นเหตุให้เกิดภาวะสมองตาย (stroke) ได้

การมีลิ่มเลือดหลุดลอยไปอุดตันเส้นเลือดในสมองอย่างนี้  เรียก Embolism
ซึ่งในคนที่สมบูรณ์เป็นปกติจะไม่เกิดภาวะเช่นนี้

ในคนที่เป็นโรคหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอชนิด  atrial fibrillation และคนไข้ที่
เป็นโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure) ต่างมีโอกาสเกิดมีก้อนเลือดภายในหัวใจ
ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการไหลเวียนของเลือดได้ช้ามาก 
เป็นเหตุให้เลือดมีความเหนียวเพิ่มขึ้น และ
มีการจับตัวของเม็ดเลือดเป็นก้อนเลือดขึ้นได้ในที่สุด

คนไข้ชนิดนี้  ต่างมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองถูกทำลายด้วย
ลิ่มเลือดที่เคลื่อนไปอุดตันเส้นเลือด (embolic stroke)

การตรวจด้วย EKG  สามารถตรวจพบคลื่นกระแสไฟฟ้าของหัวใจ
ซึ่งสามารถพบเห็นความผิดปกติในจังหวะ (rhythm) การเต้นของหัวใจ
เช่น atrial fibrillation … เป็นการตรวจที่ใช้เวลาไม่กี่นาที
และไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใด ๆ

ถ้าแพทย์สงสัยว่า  คนไข้ที่เป็น stroke 
อาจมีต้นเหตุจาก atrial fibrillation  ชนิดเป็น ๆ หาย ๆ 
ซึ่งจะทำให้การตรวจ EKG เพียงครั้งเดียวอาจไม่พบความผิดปกติใดๆ
ในกรณีเช่นนี้  แพทย์อาจจำเป็นต้องตรวจด้วยเครื่อง EKG ชนิดน้ำหนักเบา
ติดตัวคนไข้  ซึ่งสามารถตรวจวัดคลื่นหัวใจได้ทั้งวัน หรือเป็นอาทิตย์
เราเรียกเครื่องชนิดนี้ว่า Holter monitor 

ในคนที่เป็น atrial fibrillation  ชนิดนานๆ ครั้งเป็นครั้งหนึ่ง 
และเป็นเหตุให้เกิดภาวะสมองถูกทำลาย (stroke)
ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับรายที่เป็น AF อย่างต่อเนื่องติดต่อกัน

ในการตรวจภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure)…
แพทย์จำเป็นต้องทำการตรวจ echocardiogram ซึ่งเป็นการใช้ ultrasound
ตรวจภาพการเคลื่อนไหวของหัวใจในแต่ละครั้งของการบีบตัว
สามารถบอกให้ทราบถึงสภาพของหัวใจได้

ถ้าแพทย์ตรวจพบว่า  หัวใจมีปัญหา และสามารถทำให้เกิด stroke ได้
แพทย์จะให้ยาประเภท blood-thinning (ยาป้องกันไม่ให้เม็ดเลือดจับ
ตัว) แก่คนไข้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองถูกทำลาย (stroke)

ภาวะสมองถูกทำลายสามารถเกิดจากกลุ่มของเชื้อแบคทีเรียรวมตัวเป็น
ก้อน  ซึ่งอยู่ที่บริเวณลื้นหัวใจ  อันเป็นผลมาจากการอักเสบติดเชื้อของ
กระแสเลือด  และกลุ่มก้อนของเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวสามารถหลุดเข้า
ไปอุดตันเส้นเลือดในสมอง  และทำให้เกิดภาวะสมองถูกทำลายจาก
การขาดเลือดได้


1   2   Next  >>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น