มียาเม็ดลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด สำหรับใช้รักษาโรคเบาหวาน
มียาชนิดหนึ่งมีชื่อว่า metformin ไำด้รับการยอมรับว่าเป็นยาที่ดี ราคาไม่แพง
โดยมีการออกฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้ตับสร้าง และปล่อยน้ำตาลออกสู่กระแสโลหิต
(gluconeogenesis) เพิ่มความไวให้แก่เนื้อเยื่อต่าง ต่อการใช้อินซูลิน
และอื่น ๆ
ในการใช้ยา
metformin ...
มันก็เหมือนกับการใช้ยาอย่างอื่น
ๆ เพื่อการรักษาโรคของคนไข้นั่นแหละ
มีทั้งประโยชน์ และโทษ ซึ่งผู้ใช้จะต้องระมัดระวังไม่ให้ผลเสียเกิดขึ้นแก่คนไข้
ในการใช้
metformin
มีข้อระมัดระวังไม่ให้เกิดอันตรายต่อคนไข้
เช่น ในคนที่เป็นโรคไต (Renal impairment), โรตตับ (Liver disease)
และโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ทำไมต้องระมัดระวัง
?
สิ่งที่เรากลัวในการใช้ยา
metformin
คือการเกิดภาวะ
lactic acidosis ในคนไข้นั่นเอง
แต่ผลจากการศึกษาพบว่า อันตรายจากการเกิดภาวะดังกล่าว
มีพบน้อยมาก โดยมีการประเมินเอาไว้ว่า ภาวะ lactic
acidosis สามารถเกิดได้
เพียง 1 – 9 รายต่อคนที่ได้รับยา metformin
จำนวน 100,000 ราย
ผลจากการศึกษา....
หลายคนเชื่อว่า การเกิด acidosis
ในคนที่ใช้ metformin น่าจะมีเหตุมาจาก
สาเหตุอื่นมากกว่าที่จะมีต้นตอมาจาก
metformin
ผลจากการตรวจสอบ
(Cochrane review) ใน 274 การศึกษา
ในคนไข้ที่เป็น
เบาหวานประเภทสอง ได้ผลสรุปว่า
“ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ให้เห็นว่า metformin มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดมี
Lactic
acidosis หรือทำให้ระดับของ Lactate ในกระแสเลือดสูงขึ้นเลย
เมื่อเทียบกับการยาลดระดับน้ำตาลชนิดอื่น
ๆ”
แต่....
มีโรคหลายอย่าง
หรือมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง
ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะ
Lactic acidosis ได้ เป็นต้นว่า โรคทางระบบ
เส้นเลือดหัวใจ
(cardiovascular), โรคไต (renal),
และโรคตับ
(hepatic dysfunction)
จากข้อมูลล่าสุด...
มีคำเตือนให้ระมัดระวัง/
ข้อห้ามเป็นทางการ ไม่ให้ใช้ metformin ในกรณี
ต่อไปนี้:
Ø Renal impairment
(Creatinine Clearance < 60 ml/min)
Ø Heart
failure
Ø Severe
hepatic dysfunction
Ø Excessive
alcohol intake
Ø Severe
infection
Ø Surgery/
trauma
Ø Severe
dehydration
Ø Gastrointestinal
illness
Ø Age >
80 yr
Ø Cardio-Respiratory
insufficiency
Ø Those receiving
contrast media for diagnostic procedure
ในคนที่เป็นตับ (hepatic
dysfunction)…
การที่ตับทำงานบกพร่อง อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการกำจัด lactate
ออกจากร่างกายได้ นั่นคือกรณีที่หนึ่ง ที่เราควรหลีกเลี่ยงการใช้ metformin
ในคนที่เป็นโรคตับ
ในกรณีที่สอง
คนดื่มแอลกอฮอล์จัดเป็นประจำ (chronic excessive alcohol intake)
อาจมีผลทางอ้อมต่อการทำให้มี lactate
ในกระแสเลือดสูงได้
สำหรับคนทีเป็นโรค unstable
หรือ acute heart failure
มีแนวโน้มที่จะเกิดมี lactic
acidosis เช่นกัน
สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง....
คำถามที่แพทย์เราชอบถามกันบ่อย คือ การใช้ metformin
ในคนไข้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง
โดยการใช้ creatinine clearance เป็นตัวกำหนด
เราควรหยุดยาเมื่อใด?
เป็นที่ยอมรับกันว่า....
Lactic acidosis ที่เกิดร่วมกับการใช้
metformin นั้น พบได้น้อยมาก
โดยมีการประเมินว่า สามารถพบภาวะดังกล่าวได้
1 – 9 รายต่อคนที่ใช้ยา 100,000 แต่มีอัตราตายสูงถึง 50 %
Metformin ทำให้เกิด
lactic acidosis อย่างไร ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดแจ้ง
และไม่จำเป็นต้องเกิดร่วมกับการมี
metformin สะสมใน
กระกระแสเลือดตามที่เข้าใจกัน เพราะสารดังกล่าวถูกขับออทางไต
โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
นาย Peter W
Stacpoole ในนิตยสาร Diabetic Care 1998;21;1587-8 ได้
กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
metformin และ Lactic acidosis ว่า:
“กลไกที่ metformin
ทำให้มีระดับ lactate ในเลือดสูงสูงขึ้น น่าจะเนื่องมา
จากการกระตุ้นให้มีการปล่อยสาร
catecholamine ออกมา...”
และมีการพบว่า ภายใต้ภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน (tissue
hypoxia)
จะกระตุ้นให้เกิดภาวะดังกล่าว
ดังนั้น เมื่อใดที่เกิดมีความสงสัยว่า คนไข้ตกอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน (tissue hypoxia)
เราจะต้องหยุดการใช้ยา metformin
โดยไม่คำนึงว่า ไตทำงานได้อย่างไร
สิ่งที่เราพบเห็นจากฉลากยา ซึ่งติดมาพร้อมกับยา metformin
ว่า
ถ้า serum
creatinine สูงกว่ารดับปรกติ (134 µmol/L in men,
126 µmol/LIn
women) โดยห้ามการใช้ metformin
เมื่อระดับ
serum creatinine มีค่า 150 µmol/L
อย่างไรก็ตาม serum creatinine ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของไตได้
อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในคนสูงอายุที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อยลง
ดังนั้น เขาจึงนิยมใช้ creatinine clearance หรือ glomerular filtration rate
(based on Cockcroft-Gault หรือ Modification of Diet in Renal Disease
Study Group (MDRD) formulas) เป็นตัวกำหนดว่า จะเลิกใช้ metformin เมื่อใด
โดยสรุปว่า....
เราควรหยุดใช้ metfromin
เมื่อ GFR มีค่าน้อยกว่า 30 ml/min
หรือในคนไข้ที่การทำงานของไตอยู่ระยะ
Stage 4 chronic kidney disease
ในขณะนี้ยังมึความคิดเห็นต่าง
(controversy) ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายว่า
เมื่อ GFR มีค่า 30 – 40 mL/min (Stage 3 chronic kidney disease) ควรให้
Metformin หรือไม่
เพราะผลการศึกษาใน United Kingdom Prospective
Diabetes study (UKPDS) คนไข้ที่ได้รับยา metformin
ยังมีประโยชน์ต่อระบบ cardio-vascular...
อย่างไรก็ตาม....
ถ้าท่านต้องการใช้ metformin
ในคนไข้ที่อยู่ใน stage 3 chronic kidney disease
ท่านควรใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างสูงทีเดียว
และควรหยุดยาทันทีเมื่อเกิดมีความสงสัยว่า คนไข้เกิดภาวะ Tissue hypoxia
เช่น shock, myocardial infarction,
sepsis, และอื่น ๆ
ผมอายุ 77 ปีใช้ยา metformin 500mg ร่วม 15 ปีแล้ว น้ำตาลเฉลี่น 135 ขึ้นลงไม่มากรัก คิดว่าเมื่ออายุ 80 ผมจะหยุดยานี้ตามที่แพทย์แนะนำหรือไม่
ตอบลบ