วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

ยารักษาโรคไขข้อที่เราควรรู้ (Arthritis Medications) 1

April 1, 2013

ในสมัยก่อน เมื่อใครก็ตามที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ...
จะมีการใช้ยา 3 กลุ่มด้วยกัน นั่นคือ

§  ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory drugs)
§  ยาทีทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินของ...โรคให้ช้าลง(Disease-Modifying Anti-rheumatic Drugs
§  ยาบรรเทาอาหารเจ็บปวดเท่านั้น ไม่ทำให้การอักเสบลด

ในสมัยปัจจุบัน การรักษาโรคไขข้อทั้งหลาย ส่วนใหญ่เราจะพบว่า
มีการใช้ยาในสองกลุ่มหลีก  ซึ่งได้แก่:

v  ยาที่ทำหน้าที่ลดการอักเสบ 
เช่น ยาในกลุ่ม nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) 

v  ยาที่ออกฤทธิ์ด้วยการปรับเปลี่ยนการดำเหนินโรคให้ช้าลง (disease-modifyling drugs) 
ซึ่งมีชื่อให้เรียกอีกหลายชื่อ  เช่น remittive agents, immuno-suppressive 
หรือ immune modulateror medications) 
ซึ่งทำหน้าที่ออกฤทธิ์ด้วยการชะลอกระบวนการเปลี่ยนแปลงการดำเนินโรค
อันเป็นผลมาจากระบบภูมิต้านทาน  เช่น โรค “รูมาตอยด์” หรือโรค “ลูปัส”  

คนไข้ส่วนใหญ่  เมื่อเวลาผ่านไป  เขาจะได้รับยารักษามากกว่าหนึ่งขนาน 
เพื่อควบคุมอาการที่เกิดขึ้น...

ยาต้านการอักเสบ:

ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ยาในกลุ่ม NSAIDs และ กลุ่มสะเตียรอยด์ (corticosteroids)

NSAIDS เป็นกลุ่มของยาที่สามารถลดอาการต่าง ๆ ของโรคข้ออักเสบชนิดต่าง ๆ 
ด้วยการชะลอการสร้างสาร ซึ่งมีส่วนรับผิดชอบต่อการทำให้เกิดการอักเเสบ
มีชื่อเรียก postraglandins  โดยทำให้เกิดมีอาการปวด, บวม, แ ดง และร้อน

ยากลุ่ม NSAIDs ยังใช้บรรเทาอาการเจ็บปวด (analgesics)  เมื่อใช้ในขนาดน้อย
และจะลดการอักเสบเมื่อมีการใช้ในขนาดสูง

มียาในกลุ่ม NSAIDs มากกว่า 20 ชนิด ที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหาร และยา
โดยแต่ละตัวจะมีลักษณะพิเศษแต่ต่างกันแต่เพียงแล็กน้อยเท่านั้น
แต่จะมีความเหมือน มากกว่าความต่าง

ยาที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นยาลดการอักสบ คือ  "แอสไพริน”
นอกจากนั้นได้แก่ยาที่เราสามารถซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป
เช่น  ibuprofen (Mortin, Nuprin หรือ Advil) , naproxen (Aleve)
และ indomethacin (Indocid)

ผลข้างเคียงของยากลุ่ม NSAIDs ซึ่งเกิดขึ้นได้เสมอ ๆ 
โดยมันทำให้เกิดอาการปวดท้อง (stomach upset) และหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าว
ให้เรารับประทานพร้อมกับอาหาร, นม หรือยาลดกรดในกรนะเพาะอาหาร
ถึงกระนั้นก็ตาม  การละคายเคืองต่อกระเพาะยังก็เป็นเรื่องที่พบได้เสมอ ๆ

ในคนไข้ที่จำเป็นต้องรับประทานยา NSAIDs ในขนาดสูงเป็นประจำเป็นเวลานาน

มีโอกาสเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้สูง  และมีบางรายอาจมีเลือดออก
และอาจก่อให้เกิดแผลกระเพาะทะลุ หรือเกิดการอุดตันได้

มียาในกลุ่ม NSAIDs ถูกผลิตออกมาใหม่  ซึ่งได้รับการกล่าวอ้างว่า
ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้น้อยกว่ายากลุ่มเก่า (older NSAIDs)
แต่มีฤทธิ์ไม่เหนือกว่ากว่ายาเก่าเลย
 ยาตัวนั้นมีชื่อว่า celecoxib (Celebrex)

Celecoxib (Celebrex) ถูกเรียกว่า “Cox-II selective”
เพราะมันจะออกฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะเอ็นไซม์ที่มีชื่อว่า Cox-II เท่านั้น
ไม่ได้ยับยั้งเอ็นไซม์ Cox-I ซึ่งกลุ่ม NSAIDs ทั่วไป
ซึ่งมันจะทำหน้าที่ยับยั้งเอ็นไซม์ทั้งสองตัว (COX-I & COX II)

อย่างไรก็ตาม  ในคนที่มีประวัติว่า มีความเสี่ยงสูง  
เช่นในคนที่มีประวัติมีเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร  พบว่า 
มีประมาณ 10 % ของคนที่ได้รับยา cerebrex จะเกิดมีแผลในกระเพาะเกิดขึ้นใหม่  
นอกเหนือไปนั้น   ยังมีรายงานว่า  ถ้าคนไข้รับประทานยารุ่นเก่า (older NSAIDS) 
แม้ว่าจะให้ร่วมกับ ยาป้องกันกระเพาะ (omeprasole) ก็มีผลเช่นเดียวกัน

ปัญหาจึงเกิดมีว่า...
ความปหลอดภัยต่อกระเพาะอาหาร มันอยู่ที่ตรงไหนกัน ?
ซึ่งเป็นเรื่องของนักวิจัยจะต้องศึกษากันต่อไป

ในปัจจุบันมีคำแนะนำว่า...
เราควรสงวนยา Cox II inhibitors ( celecoxib) เอาไว้ใช้เฉพาะในรายที่มีความเสี่ยงสูง
ต่อการเกิดกระเพาะเป็นแผลเท่านั้น  เช่น ในคนไข้ที่ได้รับสาร “สะเตียรอยด์
หรือในรายที่เคยมีแผลในกระเพาะมาก่อนเท่านั้น

สำหรับยา “แอสไพริน”...
เนื่องจากเป็นสารยาที่มีผลต่อการป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัว
ดังนั้นเราจะพบว่า ใครที่ได้รับยา “แอสไพริน” ในปริมาณสูง  จะก่อให้เกิดมีเลือดออก
หรือเกิดฟกช้ำตามผวิหนังได้ง่าย

นอกจากนั้น  ผลเสียที่เกิดจาก “แอสไพริน”  ยังมีอีกหลายอย่าง
เช่น ทำอันตรายต่อไต, แพ้ยา, และมีให้มีน้ำคั่งในร่างกาย
และทำให้ความดันโลหิตสงขึ้น

สำหรับท่านที่ได้รับยา “แอสไพริน” ในขนาดต่ำๆ (80 mg) เพื่อปกป้องหัวใจ  
และขณะเดียวกัน ท่านยังได้รับยา  ibuprofen เพื่อลดความเจ็บปวดจากโรคไขข้อด้วย 
ท่านจะต้องรับประทาน “แอสไพริน” ก่อนเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง  
หาไม่แล้วผลที่ได้จาก “แอสไพริน” เพื่อการปกป้องหัวใจจะเสียไป

สารที่มีฤทธิ์สูงสุดในการลดการอักเสบที่เราควรรู้  คือ สารสะเตียรอยด์ (corticosteroid)
เป็นสารที่เกิดจากการสังเคราะห์ ซึ่งเหมือนกับฮอร์โมน  cortisone
ซึ่งสร้างจากต่อมเหนือไต (adrenal gland) ในปริมาณไม่มาก

สารสังเคราะห์ดังกล่าว  จะถูกนำไปใช้เพื่อลดการอักเสบ... และยับยั้งการ
การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ที่เกิดขึ้นกับคนเรา
และยาที่ถูกสั่งใช้บ่อยที่สุดได้แก่  prednisolone และ dexamethasone

ผลที่เกิดจากสาร corticosteroids สามารถสร้างความประทั้บใจให้
ปรากฏภายในหนึ่งถึงสองวัน...ทำให้คนไข้หายจากความเจ็บปวด  และรู้สึกสบายขึ้น...
แต่เป็นผลที่เกิดขึ้น  จะปรากฏในระยะสั้นๆ เท่านั้น

และมียากลุ่มดังกล่าวบางชนิด  ถูกฉีดเข้าข้อ  นอกจากจะทำให้อาการอักเสบหายแล้ว
มันอาจทำให้ข้อถูกที่ได้รับการฉีดนั้นถูกทำลายไปได้

ผลจากการใช้ยา corticosteroids ในระยะยาว มักจะก่อให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์หลาอย่าง 
เช่น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น, หน้ากลมเหมือนพระจันทร์, ความดันโลหิตสงขึ้น, มีสิวที่ใบหน้า, 
ผิวหนังฟกช้ำได้ง่าย, เกิดต้อกระจก, ผิวหนัง และกระดูกบาง, 
เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวาน และเกิดการอักเสบติดเชื้อ...

ถ้าหากรับประทานยากล่มสะเตียรอยด์ ร่วมกับกลุ่ม NSAIDs เมื่อใด
จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้สูงมาก

เพื่อหลีกเลี่ยงผลอันไม่พึงประสงค์ดังกล่าว...
แพทย์มั้กจะสั่งยาในกลุ่ม corticosteroids แก่คนไข้ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น 
เพื่อลดอาการของโรคที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน  ต่อจากนั้นแพทย์จะลดขนาดของยาลง
ลงอย่างช้า ๆ

ทุกครั้งที่มีการใช้ยากลุ่ม corticosteroids…
แพทย์จะต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง "ประโยชน์" ที่คนไข้พึงได้รับ กับ "โทษ" 
ที่อาจเกิดขึ้น กับคนไข้ก่อนเสมอ 

และผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ "สะเเตียรอยด์" มักจะเกิดในกรณีที่มีการใช้ยาในขนาดสูง

และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน  ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลอันไม่พึงประสงค์ดังกล่าว
เราจะต้องใช้ยาในขนาดต่ำที่ได้ผล และไม่ควรใช้ยาในระยะนาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น