(continued)
เมื่อวันก่อนได้ฟัง CD ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช ท่านกล่าวถึงแก่นคำสอนของ พระพุทธเจ้า...
“ให้มองดูที่ตัวเอง...อย่ามองไปที่คนอื่น
นั่นเป็นแนวทาง เพื่อให้เห็นสัจธรรม ...อันเป็นไตรลักษณ์...”
แต่ที่ผู้เขียนจะเสนอในวันนี้ เป็นการมองไปที่คนอื่น...ชาติอื่นเขา
อาจนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราได้บ้าง ?
และสิ่งที่จะเสนอในวันนี้ เป็น “ความจริง และ ตัวเลข” ของการเกิดโรค “Alzheimer’s” ซึ่งนับวันจะพบมากขึ้นเรื่อยๆ (Epidemic)
มันเป็นโรคที่ไม่มีทางป้องกันได้เลย มิหนำซ้ำยังเป็นต้นเหตุของความตายอันดับต้นๆ ด้วย
เป็นรายงานสดร้อนๆ ของ Alzheimer’s association ซึ่งแสดงให้เห็นถึง “ภาระ” ของ โรค Alxheimer’s &Dementia, caregivers, government และ nation health system
ฟังแล้ว...ไม่เห็นเสียหายตรงไหน ?
ในปี 2010:
ในสหรัฐฯ พบว่า มีคนเป็นโรค Alzheimer”s และ Dementia ถึง 15 ล้านคน และใน จำนวนคนไข้เหล่านี้ ไม่ได้จ่ายค่าดูแลรักษา คิดเป็นเงินถึง $ 202 billion ยังผลให้ผู้ที่ทำ การดูแลรักษาคนไข้พวกนี้ ได้รับความทรมานทั้งกาย และใจ ซึ่งในขณะที่พวกเขาจะต้องจ่าย เพื่อสุขภาพของพวกเขาเอง(ในปี 2010 คิดเป็นเงินถึง $ 7.9 billion)
ยังมีรายงานต่อไปว่า ครอบครัวของผู้ทำการดูแลรักษาคนไข้พวกดังกล่าว มีความเครียดสูงถึง 66 %
นอกจากความเครียด (Stress)ที่เกิดขึ้นคนสนครอบครัวผู้ไห้ (การดูแลรักษา) พวกเขายังตก อยู่ในสภาพ Depression จากการดูแลคนป่วยเป็นระยะเวลาอันยาวนาน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ถึง 33 %
สถิติของความตายที่เกิดจาก โรค Alzheimer’s
โรคที่ทำให้เกิดความตายในสหรัฐฯ เรียงตามลำดับ:
1. Heart disease
2. Cancer
3. Stroke
4. CLRD ( Chronic Low respiratory disease)
5. Accidents
6. Alzheimer’s
7. Diabetes
8. Flu &pneumonia
9. Nephritis
10. Septicemia
ปรากกว่า โรค Alzheimer’s เป็นโรคที่ทำให้คน (สหรัฐฯ) ตายเป็นอันดับที่ 6
และตัวเลข มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย เมื่อเทียบกับโรคชนิดอื่น ๆ(เช่น HIV, Stroke, Heart disease…) ซึ่งมีสถิติว่า กำลังลดลงเรื่อย ๆ
ประการสำคัญ โรค Alzheimer’s เป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้ และไม่สามารถชะลอ ลงได้เลย
จากสถิติของเขา พบว่า 69 วินาที จะมีคนในสหรัฐฯ เกิดเป็นโรค Alzheimer’s
1 คน
ถ้ารวม (นำ) คนที่เป็นโรคดังกล่าวมาไว้ที่เดียวกัน จะได้อีกรัฐหนึ่งที่มีประชาชนใหญ่เป็น อันดับที่ 5 ของสหรัฐฯ
เขียนมาถึงตรงนี้
มีคนตั้งคำถามขึ้นว่า:
”เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม ?”
ผู้เขียนคงตอบได้สั้นๆ ว่า
“รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม”
(…to be continued)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น