ในการวินิจฉัยโรคตับอักเสบ มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์หลายอย่างที่เราควรรู้เอาไว้
เมื่อแพทย์ตรวจพบว่า ตับของท่านโต (Hepatomegaly) กดเจ็บ เป็นหน้าที่ของเขา จะต้องหาสาเหตุของโรคต่อไป
เช่น ตรวจเลือด ดูระดับเอ็นไซม์ของตับ และระดับโปรตีน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุที่ตับถูกทำลายไป
Liver enzymes:
เอ็นไซม์ เป็นโปรตีน
มีเอ็นไซม์จำนวนมากมายในร่างกายของคนเรา
มีเอ็นไซม์จำนวนมากมายในร่างกายของคนเรา
มันมีหน้าที่ในการทำปฏิกิริยาทางเคมี ที่จำเป็นต่อร่างกายในด้านต่างๆ
ตัวตับเองมีเอ็นไซม์บางตัว ทำหน้าที่สร้าง หรือสลายสารบางอย่าง หรือทำลายของเสียทิ้งไป
ตัวตับเองมีเอ็นไซม์บางตัว ทำหน้าที่สร้าง หรือสลายสารบางอย่าง หรือทำลายของเสียทิ้งไป
ในคนปกติ เราจะพบว่า ตับมันทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเอ็นไซม์ให้ดำเนินไปตามปกติ
แต่เมื่อใด ที่ตับถูกทำลายไป เอ็นไซม์ของตับจะถูกปล่อยออกสู่กระแสเลือด
ดังนั้น การตรวจดูระดับของเอ็นไซม์ดังกล่าว ในกระแสเลือดในปริมาณสูงกว่าปกติ จึงเป็นการบ่งบอกว่า ตับถูกทำลายไป
เอ็นไซม์ที่บ่งบอกถึงตับถูกทำลาย มีด้วยกัน 3 ตัว คือ
alanine aminotramsaminase (ALT), aspatate aminotranferase (AST)
และ gamma glutamyl transminase (GGT)
alanine aminotramsaminase (ALT), aspatate aminotranferase (AST)
และ gamma glutamyl transminase (GGT)
การตรวจหาระดับของเอ็นไซม์ดังกล่าว เป็นวิธีที่ดี แต่ก็มีผลเสียเช่นกัน
เช่น การตรวจหาระดับเอ็นไซม์ในกระแสเลือด สามารถบอกได้ว่า ตับถูกทำลาย (damage) หรือไม่เท่านั้น
แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ตับที่ถูกทำลายไปนั้น มีสาเหตุจากอะไร ?
ในกรณีดังกล่าว แพทย์จำเป็นต้องหาสาเหตุกันต่อไป เช่น หากสงสัยว่า เกิดจาก ไวรัส ได้ หรือไม่ ?
แพทย์สามารถสั่งตรวจดู specific viral anibody ต่อไป
แพทย์สามารถสั่งตรวจดู specific viral anibody ต่อไป
หากตรวจพบว่า คนไข้มี antibodies ในกระแสเลือด มันย่อมบ่งชี้ให้ทราบว่า คนไข้รายนั้นมีการอักเสบจากเชื้อไวรัส
ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องทำการตรวจต่อไปอีก เช่น มีเชื้อไวรัสหลงเหลืออยู่ในร่างกายหรือไม่ ?
Viral antibodies:
แอนตี้บอดี้ (antibodies) เป็นโปรตีนที่ถูกสร้างด้วยเม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่จัดการ (ทำลาย) สิ่งแปลกปลอมที่ล่วงล้ำร่างกายของเรา
ซึ่งได้แก่พวกแบคทีเรีย และ ไวรัสทั้งหลาย
ซึ่งได้แก่พวกแบคทีเรีย และ ไวรัสทั้งหลาย
แอนที่บอดี้ ของไวรัส A, B, และ C ที่ทำให้เกิดตับอักเสบ สามารถตรวจพบในเลือดได้ ภายในไม่กี่อาทิตย์
และมันจะคงสภาพอยู่เช่นนั้นนานเป็นปี หรือเป็นทศวรรษได้
และมันจะคงสภาพอยู่เช่นนั้นนานเป็นปี หรือเป็นทศวรรษได้
นอกจากนั้น การตรวจหา antibodies ยังสามารถนำมาช่วยวินิจฉัยได้ว่า ตับอักเสบที่เป็นนั้น เป็นชนิดเฉียบพลัน หรือชนิดเรื้อรัง
ในไวรัสตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน ซึ่งหายเร็วนั้น ตัว “แอนตี้บอดี้” ทีเม็ดเลือดขาวสร้างขึ้น
ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่กำจัดเขื้อไวรัสเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ปกป้องคนไข้ไม่ให้เกิดตับอักเสบจาเชื้อตัวเดียวกันนี้ได้อีก
ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่กำจัดเขื้อไวรัสเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ปกป้องคนไข้ไม่ให้เกิดตับอักเสบจาเชื้อตัวเดียวกันนี้ได้อีก
ซึ่งหมายความว่า คนไข้ได้สร้างภูมิต่อต้านเชื้อด้งกล่าวขึ้นนั้นเอง
สำหรับรายที่เป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง (chronic viral hepatitis) ตัวแอนนี้บอดี้ และระบบภูมิคุ้มกันเอง
ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้
ตัวไวรัสยังคงมีชีวิตอยู่ มีการแบ่งตัวไปเรื่อยๆ
ซึ่งเราสามารถตรวจพบได้ในกระแสเลือด ด้วยการตรวจหา viral protein
(โปรตีนของเชื้อไวรัส) และ genetic material
ตัวไวรัสยังคงมีชีวิตอยู่ มีการแบ่งตัวไปเรื่อยๆ
ซึ่งเราสามารถตรวจพบได้ในกระแสเลือด ด้วยการตรวจหา viral protein
(โปรตีนของเชื้อไวรัส) และ genetic material
ซึ่งหมายความว่า คนเป็นไวรัสตับอักเสบชนิดเรื้อรัง ทำให้เราสามารถตรวจหา antibodies
และ viral protein & genetic material ในกระแสเลือดได้
และ viral protein & genetic material ในกระแสเลือดได้
ส่วนพวก ไวรัสตับอักเสบชนิดเฉียบพลันนั้น ตรวจได้เฉพาะ “แอนตี้บอดี้ “ อย่างเดียวเท่านั้น
Viral proteins and genetic material.
ตัวอย่าง ของการตรวจหา viral proteins และ genetic material ได้แก่:
o Hepatitis B surface antigen- เป็นการตรวจเพื่อหาว่า มีเชื้อไวรัสหรือไม่
ถ้าผลเป็นบวก แสดงว่า มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ในกระแสเลือด
Hepatitis B DNA- เป็นการตรวจหาปริมาณของเชื้อไวรัส B ว่ามีปริมาณมากน้อยเท่าใด
o Hepatitis B e antigen-เป็นการตรวจดูว่า เชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายนั้น มีการแบ่งตัวหรือไม่
ถ้าตรวจได้ผลเป็นบวก แสดงว่าไวรัสตับอักเสบ B มีการแบ่งตัวในร่างกาย
o Anti-HCV –เป็นการตรวจดูว่า คนไข้มีภูมิต้านต่อไวรัส C ตับอักเสบไหม ?
o Hepatitis C RNA- เป็นการตรวจดูปริมาณของเชื้อไวรัสตับอักเสบ C
o Hepatitis B surface antigen- เป็นการตรวจเพื่อหาว่า มีเชื้อไวรัสหรือไม่
ถ้าผลเป็นบวก แสดงว่า มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ในกระแสเลือด
Hepatitis B DNA- เป็นการตรวจหาปริมาณของเชื้อไวรัส B ว่ามีปริมาณมากน้อยเท่าใด
o Hepatitis B e antigen-เป็นการตรวจดูว่า เชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายนั้น มีการแบ่งตัวหรือไม่
ถ้าตรวจได้ผลเป็นบวก แสดงว่าไวรัสตับอักเสบ B มีการแบ่งตัวในร่างกาย
o Anti-HCV –เป็นการตรวจดูว่า คนไข้มีภูมิต้านต่อไวรัส C ตับอักเสบไหม ?
o Hepatitis C RNA- เป็นการตรวจดูปริมาณของเชื้อไวรัสตับอักเสบ C
นอกจากการตรวจดังกล่าว เราอาจจำเป็นต้องตรวจหาภาวะอย่างอื่นๆ
ซึ่งมีอาการคล้ายๆ กับ การเกิดไวรัสตับอักเสบได้
ซึ่งมีอาการคล้ายๆ กับ การเกิดไวรัสตับอักเสบได้
เช่น มีการอุดต้นของท่อน้ำดีจากก้อนนิ้ว- ก้อนนิวในถุงน้ำดี หรือเกิดจากมะเร็ง
โดยทั่วไปแล้ว ในการวินิจฉัยโรคตับอักเสบ เราจำเป็นต้องทำการตรวจหลายอย่าง
โดยทั่วไปแล้ว ในการวินิจฉัยโรคตับอักเสบ เราจำเป็นต้องทำการตรวจหลายอย่าง
เช่น ultrasound, CT (computerized Axial Tomography), และทำ scans
หรือ MRI (Magnetic resonance imaging)
หากแพทย์ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่า สาเหตุของตับอักเสบคืออะไร หรือตับถูกทำลายมากน้อยแค่ใด
แพทย์อาจจำเป็นต้องเอาชิ้นเนื้อของตับมาตรวจ (biopsy)
Next >> Hepatitis : Treatment (5)
Next >> Hepatitis : Treatment (5)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น