ยาลดความคันโลหิตสูงกลุ่ม Beta-blockers มีด้วยกันหลายตัว
แพทย์อาจสั่งยาในกลุ่มดังกล่าว เพื่อรักษาโรคบางชนิดที่เกิดขึ้นกับหัวใจ
ซึ่งผลิตออกมาเป็นยาเม็ดให้รับประทาน
ยาที่ถูกใช้บ่อย ๆ ได้แก่ acetabutolol, bisoprolol, atenolol,
carvediol และ propanolol
ยาในกลุ่มนี้ มีฤทธิ์ทำให้หัวทำงานได้ดีขึ้น แต่ก็มีผลข้างเคียงให้แพทย์ต้องระวังเช่นกัน
ในร่างกายของคนเรามี receptors สามชนิด ซึ่งอยู่บนเส้นประสาท
ซึ่งได้แก่ beta-1 beta-2 และ beta-3
สำหรับกล้ามเนื้อไจ ไต และลุกตา จะเป็นที่อยู่ของ beta-1 receptors
ส่วน beta-2 receptors จะยู่ที่กล้ามเนื้อลาย (skeletal muscle)
เส้นเลือด(vessels) ตับ (liver) รวมไปถึงกระเพาะลำไส้ ปอด และมดลูก
ส่วนเซลล์ของไขมัน จะเป็นที่อยู่ของ beta-3 receptors
ยาทุกตัว ที่อยู่ในกลุ่ม beta blockers จะทำหน้าที่ปิดกั้นอิทธิพลของ norepinephrine
และ Adrenaline ซึ่งมันมีผลโดยตรงต่อ beta-1 และ beta-2 receptors
ดังนั้น เมื่อเรารับประทานยาดังกล่าว ยาจะทำให้ความดันโลหิตลดลง
พร้อมกับทำให้หัวใจเต้นช้าลงด้วย
แพทย์ส่วนใหญ่จะใช้ยาในกลุ่มนี้ รักษาโรคความดันโลหิตสูง เจ้บหน้าอก (angina)
หัวใจล้มเหลว (heart failure)และอาวะอย่างอื่น ๆ
เช่น การเต้นหัวใจผิดปกติ (arrhythmia)
นอกจากนั้น ยาในกลุ่ม beta-blockers ยังเป็นที่รู้กันว่า
เป็นยาที่รักษาโรคหัวใจขาดเลือด (heart attack)
และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อีกด้วย
ในกลุ่ม beta-blockers มียาหลายขนานที่เราควรรุ้เอาไว้:
Acebutorol ซึ่งลดความดันโลหิตลง พร้อมกับรักษา arrhythmia ได้ด้วย
ยาตัวนี้ จะทำหน้าที่ยับยั้งสารเคมี norepinephrine และ adrenaline ไม่ให้ออกฤทธิ์ต่อ
หัวใจ และเส้นเลือดโดยตรง
สามารถรับประทานวันละสองครั้ง เช้า-เย็น พร้อม หรือไม่ต้องพร้อมกับอาหารก็ได้
Bisoprolol เป็นยาที่ใช้ลดอัตราสี่ยงต่อการเกิด heart attack , stroke
และ kidney failure โดยการลดระดับความดันโลหิตลง เหมือนกับฤทธิ์ของ acebutolol
มันทำงานตลอดทั้งร่างกายด้วยการ ไม่ให้หัวใจทำงานหนัก ควบคุมการเต้นของหัวใจ
Atenolol ใช้รักษาภาวะ angina และเพิ่มโอกาสให้รอดจากการเกิด heart attack ได้
แพทย์มักนิยมสั่งยาตัวนี้ ร่วมกับ nitroglycerin รักษา อาการเจ็บหน้าอก (angina)
นอกจากลดความดันโลหิตสูงแล้ว ยังลดอัตราการเต้นของหัวใจลง
เคยมีรายงานว่า atenolol ใช้รักษา arrhythmia heart failure
และรวมถึงโรคปวดศีรษะ migraine และอาการที่เกิดจากการเลิกเหล้าได้ด้วย
Carvedilol เป็นยาที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคความดันสูงเหมือนกับยาตัวอื่น ๆ
ฤทธิ์ของมัน ก็เหมือนกับยาตัวอื่น ๆ คือ ปิดก้นฤทธิ์ของ epinephrine และสารเคมีมีตัวอื่น ๆ
ที่มีต่อการเต้นของหัวใจ และต่อเส้นเลือด
ยาตัวนี้ ต้องรับประทานอย่างน้อย เช้า-เย็น จนกว่าจะได้ full dose
คำเตือน...ห้ามหยุดยาโดยไม่บอกกล่าวแพทย์เป็นอันขาด
Propanolol ถูกนำมาใช้รักษา arrhythmia และความดันโลหิตสูง
มีรายงานว่า ถูกนำมาใช้รักษาอากร tremors จากโรคบางอย่าง
ใช้ยุติอาการเจ็บหน้าอก (angina) ปวดศีรษะ migraine
นอกจากนั้น มันยังถูกใช้ช่วยชีวิตจาก heart attack ได้อีกด้วย
แพทย์มักจะแนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ ไม่เกิน 4 ครั้งต่อวัน (รับประทานก่อนอาหาร และก่อนนอน)
โดยทั่วไป คนทีเป็นโรคหัวใจ จะได้รับประโยชน์จากการใช้ยา beta- blockers เพราะ
มันสามารถรักษาโรคได้หลายอย่าง เช่น heart attack heart failure ,
high blood pressure และภาวะอื่น ๆ ทีเกี่ยวข้อง
และในขณะเดียวกัน คนไข้อาจได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาดังกล่าว เช่น อาการ วิงเวียน เหมื่อยหล้า
หายใจไม่คล่อง (shortness of breath) ผื่นตามผิวหนัง และมีอาการบวมที่บริวณขา และเท้า
นอกจากนั้น ยาในกลุ่มดังกล่าว อาจทำให้เกิดมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
มีเจ็บหน้าอก หรือมีอาเจียน และท้องล่วงได้
www.wisegeek.com/what-are-the- different-types-of-beta-blocker-drugs.htm
วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554
Hypertension: What are the Anti-hypertensive Drug?
What are the anti-hypertensive drugs?
Anti-hypertensive drugs หมายถึงยา
ที่แพทย์เรา นำมาใช้ลดความดันโลหิต ที่มีระดับสูงกว่าปกติ
ซึ่งเราเรียกภาวะนั้นว่า เป็น โรคความดันโลหิตสูง (hypertension)
ยาดังกล่าว อาจใช้รักษาอาการของโรคในระบบ “หัวใจ และเส้นเลือด” ได้มากกว่าหนึ่งอาการ
ยาดังกล่าวถูกแยกออกเป็นกลุ่มย่อย ตามวิถีทางที่ยาเหล่านั้นออกฤทธิ์ ทำให้ระดับความดันลดลง
ยาที่แพทย์สั่งให้แก่คนไข้ จะมีความแตกต่างกันระหว่างคนไข้แต่ละราย
และเป็นเรื่องที่ดี ที่ คนไข้ และแพทย์จะได้มีการพูดคุยในเรื่องการใช้ยาในแต่ละตัว
กลุ่มยาต่าง ๆ ทีถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคความดัน ได้แก่ alpha blocker,
beta-blocker, ACE inhibitors,
Clcium channel blockers, angiotensin II receptors blocker ,
vasodilators และ diuretics.
นอกจานั้น ยังมียาอย่างอื่นอีก เช่น central agonists
และ sympathetic inhibitors
ในแต่ละกลุ่ม จะมียาอยู่หลายขนาน และแต่ละกลุ่ม มีฤทธิ์แตกต่างกันไป
Alpha และ Beta-blockers จะออกฤทธิ์แตกต่างกัน
ตัว beta-clocker ที่แพทย์นิยมสั่งให้แก่คนไข้ ฤทธิ์ของมัน
ทำให้การเต้นของหัวใจ (heart rate) ลดลง
จึงเป็นการทำให้หัวใจทำงานน้อยลง
และด้วยวิธีการดังกล่าว อาจทำให้การไหลเวียนของเลือดเข้า และออกจากหัวใจน้อยลง
เป็นผลให้ความดันของเลือดลดลงโดยปริยาย
สำหรับ Alpha-blockers พบว่าฤทธิ์ของยาในกลุ่มนี้
จะจัดการกับเส้นเลือดแดงโดยเฉพาะ โดยจัดการกับความต้านทาน และความแข็งของเส้นเลือด
จากการที่ยาในกลุ่มดังกล่าว จะลดความแข็งตัว (stiffness ) ของเส้นเลือดลง
ทำให้การไหลเวียนของเลือดคล่องตัวขึ้น เป็นเหตุให้ความดันโลหิตลดลงตามในที่สุด
มียาบางตัว ซึ่งมีฤทธิ์ทั้ง alpha blocker และ beta-blocker
เช่น ยา Carvedilol เป็นต้น
สำหรับกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์คล้าย beta-blocker คือ Vasodilators
ซึ่งมันทำให้เส้นเลือดผ่อนคลาย (relax)ลง
ยาที่มีใช้ในกลุ่มนี้ได้แก่ minoxidil ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า
เป็นยาที่ใช้เป็น topical medicine สำหรับโรคผมล่วง (hair loss)
สำหรับ Central agonist จะออกฤทธิ์ โดยการลด tension บนเส้นเลือด
ทำให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกขึ้น
ยาลดความดันโลหิตอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มีเป้าหมายบนเส้นเลือดเลย
แต่มีผลต่อร่างกาย ให้กำจัดน้ำออกจากกายไป...
Diuretics ทำหน้าที่เร่งกระบวนการ ขับน้ำออกจากกายให้เร็วขึ้น
โดยกำจัดออกทางปัสสาวะ และความดันที่ลดลง
เป็นผลมาจากปริมาณของน้ำในร่างกายลดลงนั่นเอง
ยาบางกลุ่ม ทำหน้าที่โดยตะรางต่อกร่างกาย ไม่ให้มันทำงาน
เช่น calcium channel blockers
ยาในกลุ่มนี้ จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ calcium เข้าสู่เซลล์ของหัวใจ
มีผลโดยตรงต่อการ “ลด” การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
นอกจากกล้ามเนื้อหัวใจผ่อนคลาย (relax) แล้ว เส้นเลือดก็มีการผ่อนคลายลงด้วย
ส่วน ACE inhibitors มีผลโดยตรงต่อร่างกาย ไม่ให้มันสร้าง Angiotensin ขึ้นมา
สารตัวนี้ จะทำให้เส้นเลือดหดเกร็ง (vasoconstriction)
ทำให้เส้นเลือดแคบลง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
เมื่อนำไปเปรีบเทียบกับ Angiotensin II Receptor blockers แล้ว
มันจะไปปิดกั้น ไม่ให้ angiotensin จับตัวกับเซลล์บางชนิด
เป็นเหตุให้ไม่มีการหดตัวของเส้นเลือด
ในการรักษาคนไข้โรคความดันโลหิตสูงนั้น อาจมีการใช้ยาหลายตัว จากต่างกลุ่มร่วมกัน
ในคนไข้แต่ละราย มีทางเลือกในการใช้ยาที่แตกต่างกัน
ซึ่งขึ้นกับสุขภาพ และโรคของแต่ละคนราย ๆ ไป
www.wisegeek.com/what-are-antihypertensive-drugs.htm
Anti-hypertensive drugs หมายถึงยา
ที่แพทย์เรา นำมาใช้ลดความดันโลหิต ที่มีระดับสูงกว่าปกติ
ซึ่งเราเรียกภาวะนั้นว่า เป็น โรคความดันโลหิตสูง (hypertension)
ยาดังกล่าว อาจใช้รักษาอาการของโรคในระบบ “หัวใจ และเส้นเลือด” ได้มากกว่าหนึ่งอาการ
ยาดังกล่าวถูกแยกออกเป็นกลุ่มย่อย ตามวิถีทางที่ยาเหล่านั้นออกฤทธิ์ ทำให้ระดับความดันลดลง
ยาที่แพทย์สั่งให้แก่คนไข้ จะมีความแตกต่างกันระหว่างคนไข้แต่ละราย
และเป็นเรื่องที่ดี ที่ คนไข้ และแพทย์จะได้มีการพูดคุยในเรื่องการใช้ยาในแต่ละตัว
กลุ่มยาต่าง ๆ ทีถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคความดัน ได้แก่ alpha blocker,
beta-blocker, ACE inhibitors,
Clcium channel blockers, angiotensin II receptors blocker ,
vasodilators และ diuretics.
นอกจานั้น ยังมียาอย่างอื่นอีก เช่น central agonists
และ sympathetic inhibitors
ในแต่ละกลุ่ม จะมียาอยู่หลายขนาน และแต่ละกลุ่ม มีฤทธิ์แตกต่างกันไป
Alpha และ Beta-blockers จะออกฤทธิ์แตกต่างกัน
ตัว beta-clocker ที่แพทย์นิยมสั่งให้แก่คนไข้ ฤทธิ์ของมัน
ทำให้การเต้นของหัวใจ (heart rate) ลดลง
จึงเป็นการทำให้หัวใจทำงานน้อยลง
และด้วยวิธีการดังกล่าว อาจทำให้การไหลเวียนของเลือดเข้า และออกจากหัวใจน้อยลง
เป็นผลให้ความดันของเลือดลดลงโดยปริยาย
สำหรับ Alpha-blockers พบว่าฤทธิ์ของยาในกลุ่มนี้
จะจัดการกับเส้นเลือดแดงโดยเฉพาะ โดยจัดการกับความต้านทาน และความแข็งของเส้นเลือด
จากการที่ยาในกลุ่มดังกล่าว จะลดความแข็งตัว (stiffness ) ของเส้นเลือดลง
ทำให้การไหลเวียนของเลือดคล่องตัวขึ้น เป็นเหตุให้ความดันโลหิตลดลงตามในที่สุด
มียาบางตัว ซึ่งมีฤทธิ์ทั้ง alpha blocker และ beta-blocker
เช่น ยา Carvedilol เป็นต้น
สำหรับกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์คล้าย beta-blocker คือ Vasodilators
ซึ่งมันทำให้เส้นเลือดผ่อนคลาย (relax)ลง
ยาที่มีใช้ในกลุ่มนี้ได้แก่ minoxidil ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า
เป็นยาที่ใช้เป็น topical medicine สำหรับโรคผมล่วง (hair loss)
สำหรับ Central agonist จะออกฤทธิ์ โดยการลด tension บนเส้นเลือด
ทำให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกขึ้น
ยาลดความดันโลหิตอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มีเป้าหมายบนเส้นเลือดเลย
แต่มีผลต่อร่างกาย ให้กำจัดน้ำออกจากกายไป...
Diuretics ทำหน้าที่เร่งกระบวนการ ขับน้ำออกจากกายให้เร็วขึ้น
โดยกำจัดออกทางปัสสาวะ และความดันที่ลดลง
เป็นผลมาจากปริมาณของน้ำในร่างกายลดลงนั่นเอง
ยาบางกลุ่ม ทำหน้าที่โดยตะรางต่อกร่างกาย ไม่ให้มันทำงาน
เช่น calcium channel blockers
ยาในกลุ่มนี้ จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ calcium เข้าสู่เซลล์ของหัวใจ
มีผลโดยตรงต่อการ “ลด” การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
นอกจากกล้ามเนื้อหัวใจผ่อนคลาย (relax) แล้ว เส้นเลือดก็มีการผ่อนคลายลงด้วย
ส่วน ACE inhibitors มีผลโดยตรงต่อร่างกาย ไม่ให้มันสร้าง Angiotensin ขึ้นมา
สารตัวนี้ จะทำให้เส้นเลือดหดเกร็ง (vasoconstriction)
ทำให้เส้นเลือดแคบลง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
เมื่อนำไปเปรีบเทียบกับ Angiotensin II Receptor blockers แล้ว
มันจะไปปิดกั้น ไม่ให้ angiotensin จับตัวกับเซลล์บางชนิด
เป็นเหตุให้ไม่มีการหดตัวของเส้นเลือด
ในการรักษาคนไข้โรคความดันโลหิตสูงนั้น อาจมีการใช้ยาหลายตัว จากต่างกลุ่มร่วมกัน
ในคนไข้แต่ละราย มีทางเลือกในการใช้ยาที่แตกต่างกัน
ซึ่งขึ้นกับสุขภาพ และโรคของแต่ละคนราย ๆ ไป
www.wisegeek.com/what-are-antihypertensive-drugs.htm
วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554
What is blood pressure headache ?
อาจเป็นเพราะคำว่า "ความดันโลหิตสูง" นี้กระมัง
ที่ทำให้เราเข้าใจว่า ความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น
High blood pressure headache หมายถึงคนมีความดันโลหิตสูง
มีอาการปวดศีรษะขึ้น โดยที่สาเหตุที่ทำให้เกดอาการดังกล่าว
ไม่ใช่มีสาเหตุจากความดันโลหิต
แต่เป็นปัจจัยอย่างอื่นต่างหาก
จากการศึกษาย้อนหลังไปยังปี 1913
เมื่อนายแพทย์ท่านหนึ่ง ชือ Theodore Janewayืจาก John's Hopskin U.
ได้ระบุถึงอาการปวดศีรษะ ซึ่งเกิดขึ้นในตอนเช็า ในคนที่เป็นความดันโลหิตสูง
จากรายงานของเขา กล่าวว่า ความรุนแรงของอาการ (ปวดศีรษะ)จะลดลง เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงกลางวัน
จากผลงานดังกล่าว เขาควรจะได้รับเครดิต
จากการเป็นคนแรกที่ได้รายงานในเรื่องดังกล่าวไว้
แต่ มันไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่เขาเสนอไปนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องเสมอไป
เพราะจากการศึกษาในระยะหลัง พบว่า
ไม่พบสาเหตุสัมพันธ์ (causal link) ระหว่าง "ความดันโลหิตสูง" (hypertesnion)
กับ อาการปวดศีรษะของคนไข้ ที่มีความดันสูง (high bloodpressure headache) เลย
จากการศึกษาของชาวโปแลนด์ ในคนไข้เป็นความดันโลหิตสูง จำนวน 150 ราย
โดยทำการติดเครื่องวัดไว้กับตัว ผลปรากฏว่า มีเพียง 43 รายเท่านั้น ที่มีอาการปวดศีรษะ
แต่ เมื่อมีการเปรียบเทียบความดันโลหิตที่วัดได้
ปรากฏว่า มันไม่มีความสัมพันธ์กันเลย
หลังจากนั้น ได้มีการศึกษากันอย่างขนานใหญ
(ใน...journal of neurology/Psychiatry)
โดยกระทำในคนไข้ถึง 22,000 ราย (adults)
ปรากฏว่า ได้ผลเป็นเช่นเดิม
นั่นคือ ไม่มีความสัมพันธ์ระหวาง ระหว่าง hypertension
และ high blood pressure headaches เช่นเดียวกัน
มีข้อยกเว้นเพียงรายเดียวเท่านั้น นั่นคือ รายที่เป็น malignant hypertesnion
ซึ่งมีความดันโลหิตสูงมาก จนทำให้คนไข้มีอาการปวดศีรษะอย่างแรง
เส้นประสาทตา optic nerve บวม เป็นเหตุให้คนไข้ตาบอดไป
นั่นเป็นเพียง 1 % ของคนที่เป็นโรคความดนโลหิตสูง ซึ่งเกิดขึ้นกับหนุ่มนิโกร
(African-aAmerican)
ส่วนที่เหลือ 99 % จากการศึกษา( Norway) พบว่า คนเป็นความดันโลหิตสูง
มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่มีอาการปวดศีรษะ
ที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะคนไข้ได้รับยา beta-blockers
ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่ชอบสั่งให้คนไข้ ที่เป็นโรคความดันสูง
และที่สำคัญ ยาดังกล่าว เป็นอาวุธสำคัญ ที่แพทย์ใช้รักษาโรคปวดหัว migraine
จากผลการศึกษาของ Macolm Law
Professor จาก Uninversity of London
เขาสรุปว่า "ความดันโลหิตสูง ไม่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ"
โดยสรุป ในขณะนี้ ไม่มีหลักฐานชี้บ่งว่า มีสาเหตุเชื่อมต่อ (causal link)
ระหว่าง ความดันโลหิตสูง กับอาการปวดศีรษะ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเครียด ความกังวล (phsychological)ต่างหาก
เพียงใช่้ยา aspirins ไม่กี่เม็ด พร้อมกับนอนพักผ่อน อาการก็จะหาย
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลใจแต่ประาการใด
www.wisegeek.com/what-is-a-blood-pressure-headache.htm
ที่ทำให้เราเข้าใจว่า ความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น
High blood pressure headache หมายถึงคนมีความดันโลหิตสูง
มีอาการปวดศีรษะขึ้น โดยที่สาเหตุที่ทำให้เกดอาการดังกล่าว
ไม่ใช่มีสาเหตุจากความดันโลหิต
แต่เป็นปัจจัยอย่างอื่นต่างหาก
จากการศึกษาย้อนหลังไปยังปี 1913
เมื่อนายแพทย์ท่านหนึ่ง ชือ Theodore Janewayืจาก John's Hopskin U.
ได้ระบุถึงอาการปวดศีรษะ ซึ่งเกิดขึ้นในตอนเช็า ในคนที่เป็นความดันโลหิตสูง
จากรายงานของเขา กล่าวว่า ความรุนแรงของอาการ (ปวดศีรษะ)จะลดลง เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงกลางวัน
จากผลงานดังกล่าว เขาควรจะได้รับเครดิต
จากการเป็นคนแรกที่ได้รายงานในเรื่องดังกล่าวไว้
แต่ มันไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่เขาเสนอไปนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องเสมอไป
เพราะจากการศึกษาในระยะหลัง พบว่า
ไม่พบสาเหตุสัมพันธ์ (causal link) ระหว่าง "ความดันโลหิตสูง" (hypertesnion)
กับ อาการปวดศีรษะของคนไข้ ที่มีความดันสูง (high bloodpressure headache) เลย
จากการศึกษาของชาวโปแลนด์ ในคนไข้เป็นความดันโลหิตสูง จำนวน 150 ราย
โดยทำการติดเครื่องวัดไว้กับตัว ผลปรากฏว่า มีเพียง 43 รายเท่านั้น ที่มีอาการปวดศีรษะ
แต่ เมื่อมีการเปรียบเทียบความดันโลหิตที่วัดได้
ปรากฏว่า มันไม่มีความสัมพันธ์กันเลย
หลังจากนั้น ได้มีการศึกษากันอย่างขนานใหญ
(ใน...journal of neurology/Psychiatry)
โดยกระทำในคนไข้ถึง 22,000 ราย (adults)
ปรากฏว่า ได้ผลเป็นเช่นเดิม
นั่นคือ ไม่มีความสัมพันธ์ระหวาง ระหว่าง hypertension
และ high blood pressure headaches เช่นเดียวกัน
มีข้อยกเว้นเพียงรายเดียวเท่านั้น นั่นคือ รายที่เป็น malignant hypertesnion
ซึ่งมีความดันโลหิตสูงมาก จนทำให้คนไข้มีอาการปวดศีรษะอย่างแรง
เส้นประสาทตา optic nerve บวม เป็นเหตุให้คนไข้ตาบอดไป
นั่นเป็นเพียง 1 % ของคนที่เป็นโรคความดนโลหิตสูง ซึ่งเกิดขึ้นกับหนุ่มนิโกร
(African-aAmerican)
ส่วนที่เหลือ 99 % จากการศึกษา( Norway) พบว่า คนเป็นความดันโลหิตสูง
มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่มีอาการปวดศีรษะ
ที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะคนไข้ได้รับยา beta-blockers
ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่ชอบสั่งให้คนไข้ ที่เป็นโรคความดันสูง
และที่สำคัญ ยาดังกล่าว เป็นอาวุธสำคัญ ที่แพทย์ใช้รักษาโรคปวดหัว migraine
จากผลการศึกษาของ Macolm Law
Professor จาก Uninversity of London
เขาสรุปว่า "ความดันโลหิตสูง ไม่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ"
โดยสรุป ในขณะนี้ ไม่มีหลักฐานชี้บ่งว่า มีสาเหตุเชื่อมต่อ (causal link)
ระหว่าง ความดันโลหิตสูง กับอาการปวดศีรษะ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเครียด ความกังวล (phsychological)ต่างหาก
เพียงใช่้ยา aspirins ไม่กี่เม็ด พร้อมกับนอนพักผ่อน อาการก็จะหาย
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลใจแต่ประาการใด
www.wisegeek.com/what-is-a-blood-pressure-headache.htm
Garlic: กระเทียม
กระเทียม ถูกนำมาใช้เป็นทั้งอาหร และยากันมานานนับเป็นพันปี
เราเกิดมา ก็รู้ความว่า กระเทียมถุกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบอาหารกันแล้ว
ในศตวรรษที่ 18 ชาวฝรั่งเศษเคยนำเอากระเทียม บดผสมลงไปในเหล้าไวน์
เพื่อป้องกันโรคระบาด ซึ่งทำลายล้างประชาชนในสมัยโน้น
ในสงคราโลกครั้งที่ I และ II ได้มีการนำเอา “กระเทียม”
ไปใช้ป้องกันไม่ให้เกิดการเน่าตายของบาดแผล
นั่นเป็นเรื่องในอดีต แต่ในปัจจุบันนี้ กระเทียมถูกนำมาใช้ในการป้องกันโรคหลายอย่างด้วยกัน
เช่น ป้องกันโรคหัวใจ ซึ่งประกอบด้วยเส้นเลือดแข็ง (artherosclerosis)
ลดระดับไขมัน Cholesterol ลดความดันโลหิตสูง
และส่งเสริมให้ระบบภุมิคุ้มกันให้ดีขึ้น
นอกเหนือไปจากนั้น กระเทียมยังอาจปัองกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย
กระเทียมมีสารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidants) มันสามารถทำลายอนุมูลอิสระ
ซึ่งเป็นตัวที่สามารถทำลายเยื้อหุ้มเซลล์ (cell membranes) และ DNA
อนุมูลอิสระ (free radicals) อาจมีบบาทสำคัญต่อการทำให้คน “แก่” เร็วขึ้น
ตลอดรวมไปถึงการทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย รวมถึงโรคหัวใจ และมะเร็ง
กระเทียม ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ( antioxidants)
ทำให้อนุมูลอิสระหมดพิษสงไป (neutralize)
พร้อมกับลด และป้องกันไม่ให้เกิดมีโรคภัยต่างๆ เกืดขึ้น
โรคต่าง ๆ ที่กระเทียมสามารถป้องกันได้ เช่น
โรคหัวใจ (Heart disease)
มีหลักฐานบางอย่างสนับสนุนว่า กระเทียมอาจป้องกันไมเกิดโรคหัวใจได้
โดย อาจลดการเกิดเส้นเลือดแข็ง (artherosclerosis)
และสามารถลดระดับความดันลได้เล็กน้อย(ระหว่าง 7 % ถึง 8%)
การศึกษาชิ้นหนึ่ง เป็นเวลานานถึง 4 ปี ใช้กระเทียม 900 mg ทุกวัน
ปรากฏว่า มันสามารถลดการเกิดเส้นเลือดแข้งลงได้
นอกจากนั้น กระเทียมยังเป็นสารต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือด
ด้วยการทำให้เกล็ดเลือดบางลง
ซึ่งอาจป้องกันไม่เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด (heart attack)
หรือ สมองขาดเลือด (stroke)
ส่วนผลที่มีต่อไขมัน cholesterol
จากการศีกษาในตอนแรกพบว่า มันสามารถลดระดับของ Cholesterol ในกระแสเลือดได้
แต่ผลจากการศึกษาระยะเร็ว ๆ นี้ ปรากฏว่า กระเทียมไม่ผลต่อการลดระดับไขมันดังกล่าวเลย
โรคหวัด (Common cold)
จากผลการศึกษาในระยะแรก พบว่า กระเทียมสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด (common cold)ได้
ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบการใช้กระเทียม ในระยะที่มีโรคหวัดระบาด (common cold)
ผลปรากฏว่า คนที่รับประทานกระเทียม จะเป็นโรคหวัดได้น้อยกว่าคน ที่ไม่รับประทานกระเทียมเลย
นอกจากนั้น ในระหว่างเป็นหวัด กระทียมสามารถทำให้อาการของหวัดหายเร็วด้วย
มะเร็ง (Cancer)
กระเทียมอาจเสริมให้ระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรงขึ้น สามารถช่วยร่างกายให้ต่อสู้กับโรคมะเร็งได้
ผลจากห้องทดลอง ดูเหมือนว่า กระเทียมมีฤทธ็ในการต่อต้านมะเร็ง
ผลจากการศึกษาในกลุ่มชนเป็นระยะเวลานาน พบว่า กลุ่มคนที่รับประทานกระเทียมสด
หรือกระเทียม ที่ปรุงในอาหาร ทำให้มีแนวโน้มที่จะไม่เกิดเป็นมะเร็ง
โดยเฉพาะมะเร็งของลำไส้ใหญ่ (colon) และมะเร็งกระเพาะ (CA stomach)
ผลจากการศึกษา (จำนวน 7 ชิ้น) พบว่า คนที่กินกระเทียมสด หรือกระเทียมปรุงแล้ว
สามารถลดการเกิดมะเร็ง colorectal ได้ถึง 30 %
ข้อควรระมดระวัง (Precaution)
ผลอันไม่พึงประสงค์ของกระเทียม ปรากฏว่ามีเยอะแยะเหมือนกัน เช่น ทำให้ปวดท้อง ท้องอืดเฟ้อ
มีกลิ่นปาก ออกแสบร้อนที่มือ (เมื่อสัมผัสถูก)
นอกเหนือไปจากนั้น มันยังทำให้เกิดมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ เหนื่อยหล้า
ปวดเมื่อกล้ามเนื้อ และอาจแพ้กระเทียม ทำให้เกิดมีลักษณะหืดหอบ และเป็นผื่นคัน
Possible Interactions
กระเทียมสามารถทำให้ฤทธิ์ของยาบางอย่างเปลี่ยนไปได้ ยกตัวอย่าง
o Isoniazid- เป็นยาที่ใช้ในการรักษาวัณโรค กระเทียมสามารถลดการดูดซึมยาตัวนี้ได้
เป็นเหตุให้ ใช้ยาดังกล่าวมีปริมาณไม่พอต่อการรักษาโรค
o Birth control pills- กระเทียมอาจลดประสิทธิภาพของยาลงได้
o Blood-thinning medications- กระเทียมอาจทำให้ฤทธิของยาต้านการจับตัวเป็นก้อนเลือดได้
ทำให้เกิดมีเลือดออกได้
o Medications for HIV/AIDs- กระเทียม สามารถลดระดับของสาร Protease inhibitors
ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรค HIV
o Non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs)- ทั้ง NSAIDs และ กระเทียม
สามารถทำให้เกิดมีเลือดออก (bleeding)
www.miamisswwcd.com/tag/maryland-medical-center
เราเกิดมา ก็รู้ความว่า กระเทียมถุกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบอาหารกันแล้ว
ในศตวรรษที่ 18 ชาวฝรั่งเศษเคยนำเอากระเทียม บดผสมลงไปในเหล้าไวน์
เพื่อป้องกันโรคระบาด ซึ่งทำลายล้างประชาชนในสมัยโน้น
ในสงคราโลกครั้งที่ I และ II ได้มีการนำเอา “กระเทียม”
ไปใช้ป้องกันไม่ให้เกิดการเน่าตายของบาดแผล
นั่นเป็นเรื่องในอดีต แต่ในปัจจุบันนี้ กระเทียมถูกนำมาใช้ในการป้องกันโรคหลายอย่างด้วยกัน
เช่น ป้องกันโรคหัวใจ ซึ่งประกอบด้วยเส้นเลือดแข็ง (artherosclerosis)
ลดระดับไขมัน Cholesterol ลดความดันโลหิตสูง
และส่งเสริมให้ระบบภุมิคุ้มกันให้ดีขึ้น
นอกเหนือไปจากนั้น กระเทียมยังอาจปัองกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย
กระเทียมมีสารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidants) มันสามารถทำลายอนุมูลอิสระ
ซึ่งเป็นตัวที่สามารถทำลายเยื้อหุ้มเซลล์ (cell membranes) และ DNA
อนุมูลอิสระ (free radicals) อาจมีบบาทสำคัญต่อการทำให้คน “แก่” เร็วขึ้น
ตลอดรวมไปถึงการทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย รวมถึงโรคหัวใจ และมะเร็ง
กระเทียม ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ( antioxidants)
ทำให้อนุมูลอิสระหมดพิษสงไป (neutralize)
พร้อมกับลด และป้องกันไม่ให้เกิดมีโรคภัยต่างๆ เกืดขึ้น
โรคต่าง ๆ ที่กระเทียมสามารถป้องกันได้ เช่น
โรคหัวใจ (Heart disease)
มีหลักฐานบางอย่างสนับสนุนว่า กระเทียมอาจป้องกันไมเกิดโรคหัวใจได้
โดย อาจลดการเกิดเส้นเลือดแข็ง (artherosclerosis)
และสามารถลดระดับความดันลได้เล็กน้อย(ระหว่าง 7 % ถึง 8%)
การศึกษาชิ้นหนึ่ง เป็นเวลานานถึง 4 ปี ใช้กระเทียม 900 mg ทุกวัน
ปรากฏว่า มันสามารถลดการเกิดเส้นเลือดแข้งลงได้
นอกจากนั้น กระเทียมยังเป็นสารต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือด
ด้วยการทำให้เกล็ดเลือดบางลง
ซึ่งอาจป้องกันไม่เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด (heart attack)
หรือ สมองขาดเลือด (stroke)
ส่วนผลที่มีต่อไขมัน cholesterol
จากการศีกษาในตอนแรกพบว่า มันสามารถลดระดับของ Cholesterol ในกระแสเลือดได้
แต่ผลจากการศึกษาระยะเร็ว ๆ นี้ ปรากฏว่า กระเทียมไม่ผลต่อการลดระดับไขมันดังกล่าวเลย
โรคหวัด (Common cold)
จากผลการศึกษาในระยะแรก พบว่า กระเทียมสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด (common cold)ได้
ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบการใช้กระเทียม ในระยะที่มีโรคหวัดระบาด (common cold)
ผลปรากฏว่า คนที่รับประทานกระเทียม จะเป็นโรคหวัดได้น้อยกว่าคน ที่ไม่รับประทานกระเทียมเลย
นอกจากนั้น ในระหว่างเป็นหวัด กระทียมสามารถทำให้อาการของหวัดหายเร็วด้วย
มะเร็ง (Cancer)
กระเทียมอาจเสริมให้ระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรงขึ้น สามารถช่วยร่างกายให้ต่อสู้กับโรคมะเร็งได้
ผลจากห้องทดลอง ดูเหมือนว่า กระเทียมมีฤทธ็ในการต่อต้านมะเร็ง
ผลจากการศึกษาในกลุ่มชนเป็นระยะเวลานาน พบว่า กลุ่มคนที่รับประทานกระเทียมสด
หรือกระเทียม ที่ปรุงในอาหาร ทำให้มีแนวโน้มที่จะไม่เกิดเป็นมะเร็ง
โดยเฉพาะมะเร็งของลำไส้ใหญ่ (colon) และมะเร็งกระเพาะ (CA stomach)
ผลจากการศึกษา (จำนวน 7 ชิ้น) พบว่า คนที่กินกระเทียมสด หรือกระเทียมปรุงแล้ว
สามารถลดการเกิดมะเร็ง colorectal ได้ถึง 30 %
ข้อควรระมดระวัง (Precaution)
ผลอันไม่พึงประสงค์ของกระเทียม ปรากฏว่ามีเยอะแยะเหมือนกัน เช่น ทำให้ปวดท้อง ท้องอืดเฟ้อ
มีกลิ่นปาก ออกแสบร้อนที่มือ (เมื่อสัมผัสถูก)
นอกเหนือไปจากนั้น มันยังทำให้เกิดมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ เหนื่อยหล้า
ปวดเมื่อกล้ามเนื้อ และอาจแพ้กระเทียม ทำให้เกิดมีลักษณะหืดหอบ และเป็นผื่นคัน
Possible Interactions
กระเทียมสามารถทำให้ฤทธิ์ของยาบางอย่างเปลี่ยนไปได้ ยกตัวอย่าง
o Isoniazid- เป็นยาที่ใช้ในการรักษาวัณโรค กระเทียมสามารถลดการดูดซึมยาตัวนี้ได้
เป็นเหตุให้ ใช้ยาดังกล่าวมีปริมาณไม่พอต่อการรักษาโรค
o Birth control pills- กระเทียมอาจลดประสิทธิภาพของยาลงได้
o Blood-thinning medications- กระเทียมอาจทำให้ฤทธิของยาต้านการจับตัวเป็นก้อนเลือดได้
ทำให้เกิดมีเลือดออกได้
o Medications for HIV/AIDs- กระเทียม สามารถลดระดับของสาร Protease inhibitors
ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรค HIV
o Non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs)- ทั้ง NSAIDs และ กระเทียม
สามารถทำให้เกิดมีเลือดออก (bleeding)
www.miamisswwcd.com/tag/maryland-medical-center
Hypertension Headache
คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีอาการ
แพทย์จะตรวจพบได้โดยบังเอิญ
เมื่อผู้เขียน หยิบยกเอาเรื่อง Hypertension headache ขึ้นมาเขียน
อาจทำให้บางท่านเกิดความสงสัยขึ้นได้ว่า....
Hypertension headache คืออะไรกัน ?
Hypertension headache หมายถึงอาการปวดบริเวณกลางศีรษะ
ซึ่งมักจะมีอาการรุนแรงมากในตอนเช้า และลดลงในตอนบ่าย
ประชาชนจำนวนไม่น้อยในสังคมของเรา มีอาการปวดศีรษะตรงกลางกระหม่อม
อาจมีความสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง (hypertension)
และส่วนใหญ่ อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช้อาการของโรคความดันโลหิตสูงเลย
แม้ว่า คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จะมีอาการปวดศีรษะก็ตาม
ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า Hypertension headache
มีส่วนเกียวข้องกับ hypertension
ยกเว้นในกรณีที่มีความดันสูงมาก ๆ เท่านั้น (Malignant hypertension)
ผลจากการศึกษาทางคลินิก พบว่า คนที่เป็นความดันโลหิตสูง และมีอาการปวดศีรษะนั้น
เป็นผลมาจากปัจจัยอย่างอื่น เช่น ความเครียด (stress) ตื่นเต้น (anxiety)
และปัญหาทางกายภาพต่าง ๆ (different health problems)
ใสภาวะของโรคความดันโลหิตสูง (hypertension)
เป็นภาวะที่เส้นเลือดหดตัว ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้น
โดยที่เราไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
มีบางปัจจัยที่สามารถทำให้ความดันเลือดสูงได้
เช่น รับประทานเกลือในปริมาณสูง อ้วน กรรมพันธุ์ (genetics)
และโรคไต (kidney failure)
คนไข้พวกนี้จะมาพบแพทย์ด้วยเรื่อง ปวดศีรษะตอนตื่นนอน สายตาพร่ามัว วิงเวียน และซึมเศร้า
แต่ ส่วนใหญ่แล้ว ที่เป็นโรค hypertension จะไม่มีอาการแสดง
นั่นคือที่มาของคำว่า “ ฆาตกรเงียบ “ (Silent Killer)
Hypertension headache สามารถทำให้เกิดขึ้นโดยปัจจัยต่าง ๆ
ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูงเลย
มีกรณียกเว้นเฉพาะรายที่มีความดันโลหิตสูงมาก ๆ เท่านั้น
ที่จะทำให้เกิด hypertension headache ได้
เช่น ความดันสูงกว่า 200 / 100 mm Hg
สำหรับความดันที่สูงไม่มาก (mild hypertension)
จะไม่เป็นตัวทำให้เกิดมีอาการปวดศีรษะ
ในปัจจุบัน ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกได้ว่า
โรคความดันสูงเป็นสาเหตุโดยตรงของ hypertension headache
ส่วนใหญ่เขาจะสรุปว่า ทั้ง ความดันโลหิตสูง (hypertension)
และ hypertension headache ต่างเป็น
ภาวะที่พบได้บ่อย ซึ่งอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย
กล่าวโดยสรุป ท่านใดก็ตามที่อาการปวดศีรษะตลอด ไม่หาย (persistent)
ท่านต้องปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจเช็ค...
สำหรับท่านที่เป็นโรคความดันสูง ควรได้รับการตรวจระดับความดันบ่อย ๆ
และรับประทานยารักษาตามแพทย์สั่ง อย่าได้ขาด
จากการรับประทานอาหารสุขภาพ (ผัก ผลไม้ ไขมันต่ำ) และออกกำลังกายอย่างสม่าเสมอ
นอกจากควบคุมความดันโลหิตสูงได้แล้ว
ยังสามารถลดการเกิด hypertension headache ได้ด้วย
กล่าวโดยสรุป Hypertension headache เป็นอาการปวดศีรษะ
ซึงมีส่วนสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิสูงมาก ๆ (stage 2)
สำหรับรายที่ความดันสูงไม่มาก เช่น stage 1
อาการปวดศีรษะ (hypertension headache)มีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ
เช่น ความเครียด (mental sress) ตื่นเต้น (anxiety)
โรคทางกายภาพต่าง ๆ
http://www.wisegeek.com/what-is-a-hypertension-headache.htm
แพทย์จะตรวจพบได้โดยบังเอิญ
เมื่อผู้เขียน หยิบยกเอาเรื่อง Hypertension headache ขึ้นมาเขียน
อาจทำให้บางท่านเกิดความสงสัยขึ้นได้ว่า....
Hypertension headache คืออะไรกัน ?
Hypertension headache หมายถึงอาการปวดบริเวณกลางศีรษะ
ซึ่งมักจะมีอาการรุนแรงมากในตอนเช้า และลดลงในตอนบ่าย
ประชาชนจำนวนไม่น้อยในสังคมของเรา มีอาการปวดศีรษะตรงกลางกระหม่อม
อาจมีความสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง (hypertension)
และส่วนใหญ่ อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช้อาการของโรคความดันโลหิตสูงเลย
แม้ว่า คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จะมีอาการปวดศีรษะก็ตาม
ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า Hypertension headache
มีส่วนเกียวข้องกับ hypertension
ยกเว้นในกรณีที่มีความดันสูงมาก ๆ เท่านั้น (Malignant hypertension)
ผลจากการศึกษาทางคลินิก พบว่า คนที่เป็นความดันโลหิตสูง และมีอาการปวดศีรษะนั้น
เป็นผลมาจากปัจจัยอย่างอื่น เช่น ความเครียด (stress) ตื่นเต้น (anxiety)
และปัญหาทางกายภาพต่าง ๆ (different health problems)
ใสภาวะของโรคความดันโลหิตสูง (hypertension)
เป็นภาวะที่เส้นเลือดหดตัว ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้น
โดยที่เราไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
มีบางปัจจัยที่สามารถทำให้ความดันเลือดสูงได้
เช่น รับประทานเกลือในปริมาณสูง อ้วน กรรมพันธุ์ (genetics)
และโรคไต (kidney failure)
คนไข้พวกนี้จะมาพบแพทย์ด้วยเรื่อง ปวดศีรษะตอนตื่นนอน สายตาพร่ามัว วิงเวียน และซึมเศร้า
แต่ ส่วนใหญ่แล้ว ที่เป็นโรค hypertension จะไม่มีอาการแสดง
นั่นคือที่มาของคำว่า “ ฆาตกรเงียบ “ (Silent Killer)
Hypertension headache สามารถทำให้เกิดขึ้นโดยปัจจัยต่าง ๆ
ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูงเลย
มีกรณียกเว้นเฉพาะรายที่มีความดันโลหิตสูงมาก ๆ เท่านั้น
ที่จะทำให้เกิด hypertension headache ได้
เช่น ความดันสูงกว่า 200 / 100 mm Hg
สำหรับความดันที่สูงไม่มาก (mild hypertension)
จะไม่เป็นตัวทำให้เกิดมีอาการปวดศีรษะ
ในปัจจุบัน ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกได้ว่า
โรคความดันสูงเป็นสาเหตุโดยตรงของ hypertension headache
ส่วนใหญ่เขาจะสรุปว่า ทั้ง ความดันโลหิตสูง (hypertension)
และ hypertension headache ต่างเป็น
ภาวะที่พบได้บ่อย ซึ่งอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย
กล่าวโดยสรุป ท่านใดก็ตามที่อาการปวดศีรษะตลอด ไม่หาย (persistent)
ท่านต้องปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจเช็ค...
สำหรับท่านที่เป็นโรคความดันสูง ควรได้รับการตรวจระดับความดันบ่อย ๆ
และรับประทานยารักษาตามแพทย์สั่ง อย่าได้ขาด
จากการรับประทานอาหารสุขภาพ (ผัก ผลไม้ ไขมันต่ำ) และออกกำลังกายอย่างสม่าเสมอ
นอกจากควบคุมความดันโลหิตสูงได้แล้ว
ยังสามารถลดการเกิด hypertension headache ได้ด้วย
กล่าวโดยสรุป Hypertension headache เป็นอาการปวดศีรษะ
ซึงมีส่วนสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิสูงมาก ๆ (stage 2)
สำหรับรายที่ความดันสูงไม่มาก เช่น stage 1
อาการปวดศีรษะ (hypertension headache)มีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ
เช่น ความเครียด (mental sress) ตื่นเต้น (anxiety)
โรคทางกายภาพต่าง ๆ
http://www.wisegeek.com/what-is-a-hypertension-headache.htm
Renovascular Hypertension
Renovascular Hypertension
เป็นโรคชนิดหนึ่งที่เราสามารถรักษาให้หายขาดได้
เมือท่านใดเป็นโรคนี้ขึ้นมา นั่นหมายความว่า เส้นเลือดที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปยังไต (kidney)
เกิดการตีบแคบลง หรืออุดตัน
ทำให้เลือดไหลเวียนไปไตที่ลดลง
จากกรณีดังกล่าว เป็นการกระตุ้นให้ " ไต " คิดว่า
ความดันของโลหิต ในกระแสเลือดได้ลดลงไป
เมื่อมันได้รับข้อมูลอย่างนั้น มันไม่ได้อยู่เฉยหรอก
มันปล่อยสารฮอร์โมนออกมาหลายตัว บอกให้ร่างกายเก็บกักเอาน้ำ
และเกลือไว้ไม่ให้ปล่อยออกมา
ผลจากการทำเช่นนั้น ทำให้ความดันของโลหิตสูงขึ้น
นั่นคือบทบาทของไตในกรณีทีมีเลือดไปเลี้ยงไตไม่พอ หรือลดลง
สาเหตุที่ทำให้เกิด renovascular hypertension มีสองอย่าง
คือ เส้นเลือดของไตเกิดการตีบแคบ
(renovascular stenosis) หรือ เส้นเลือดถูกอุดตัน
ซึ่งทำให้เกิด Renovascular Hypertesnion ขึ้น
คนที่มีไขมันในกระแสเลือดสูง จะก่อให้เกิดมีคาบของไขมัน เกาะตามผนังของเส้นเลือดแดงของไต
ทำให้เกิดภาวะที่เราเรียกว่า เส้นเลือดแข็ง หรือ atherosclerosis
นอกจากนั้น การที่เป็นคน ดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นพิเศษ
และเป็นโรคความดันโลหิตสูง (ชนิดปฐมภูมิ) มาก่อน
สามารถก่อให้เกิดเส้นเลือดแข็ง (artherosclerosis) ได้เช่นกัน
ภาวะเส้นเลือดแข็ง จะพบได้ประมาณ 2/ 3 ของคนที่เป็น renovascular hypertension
ซึ่งมักจะเป็นในชายที่มีอายุมากกว่า 50
อีกภาวะหนึ่ง fibomuscular dysplasia
เป็นความผิดปกติของเซลล์ บนเส้นเลือดแดง มีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น
เป็นเหตุให้ผนังของหลอดเลือดหนาตัวขึ้น เป็นเหตุให้เส้นเลือดตีบแคบ
ทำให้การไหลเวียนของเลือดลดน้อยลง
เป็นเหตุให้เกิดเป็นโรค renovascular hypertension ขึ้น
ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในสตรีที่มีอายุต่ำกว่า 50
โรคชนิดนี้ (fibromuscular dysplasia) มักจะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
ภาวะดังกล่าว อาจเกิดเนื่องมาจากผลของฮอร์โมนบางชนิด
หรือเป็นเพราะเส้นเลือด ไม่สามารถพัฒนาได้เหมาะสมตั้งแต่แรกก็อาจเป็นได้
คนไข้ที่เป็นความดันสูงจากเส้นเลือด renovascular ตีบแคบ มักจะไม่มีอาการใด ๆ
เหมือนกับความดันโลหิตสูงชนิดอื่น ๆ ซึ่งมาพบแพทยืเพื่อการตรวจร่างกาย
และตรวจพบความดันสูงโดยบังเอิญ และมักจะมีค่าสูงมากผิดปกติเสียด้วย
แพทย์อาจตรวจพบเสียง bruit ที่บริเวณหน้าท้องของคนไข้ได้
โดยเฉพาะคนไข้ ที่มีเหตุมาจาก fibromuscular dysplasia
คนไข้พวกนี้ พบว่าคนไข้มักจะไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา (ในช่วงแรก)
และในบางราย ในระหว่างการรักษาความดันด้วยยาลดความดัน
มักจะลงเอยด้วยการเป็นโรคไตวาย...
ในการวินิจฉัย renovascular hypertension จำเป็นต้องอาศัยหลายอย่าง
เช่น Magnetic resonance angiography , X-rays of Kidneys
และ Ultrasound ของเส้นเลือด
เมื่อเราสามารถยืนยันได้ว่า สาเหตุมาจากเส้นเลือด (renovascular)ตีบแคบ หรืออุดตัน
การรักษาที่ควรได้รับ คือ การผ่าตัดทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ด้วยการทำ angioplasty
ทำให้เส้นเลือดกว้างขึ้นด้วยการใส่ stent เอาไว้
การรักษาด้วยการผ่าตัด มักจะประสบผลเป็นที่พอใจ
สามารถทำให้โรคหาย โดยเฉพาะในรายที่เกิดจาก
Fibromuscular dysplasia ซึงเกิดในคนอายุยังน้อย
สำหรับรายที่ไม่สามารถใช้วิธีการผ่าตัดได้ การรักษาก็มุ่งไปที่การควบคุมดันด้วยยา
และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตต่อไป (lifestyle changes)
www.wisegeek.com/what-is-renovascular-hypertension.htm
เป็นโรคชนิดหนึ่งที่เราสามารถรักษาให้หายขาดได้
เมือท่านใดเป็นโรคนี้ขึ้นมา นั่นหมายความว่า เส้นเลือดที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปยังไต (kidney)
เกิดการตีบแคบลง หรืออุดตัน
ทำให้เลือดไหลเวียนไปไตที่ลดลง
จากกรณีดังกล่าว เป็นการกระตุ้นให้ " ไต " คิดว่า
ความดันของโลหิต ในกระแสเลือดได้ลดลงไป
เมื่อมันได้รับข้อมูลอย่างนั้น มันไม่ได้อยู่เฉยหรอก
มันปล่อยสารฮอร์โมนออกมาหลายตัว บอกให้ร่างกายเก็บกักเอาน้ำ
และเกลือไว้ไม่ให้ปล่อยออกมา
ผลจากการทำเช่นนั้น ทำให้ความดันของโลหิตสูงขึ้น
นั่นคือบทบาทของไตในกรณีทีมีเลือดไปเลี้ยงไตไม่พอ หรือลดลง
สาเหตุที่ทำให้เกิด renovascular hypertension มีสองอย่าง
คือ เส้นเลือดของไตเกิดการตีบแคบ
(renovascular stenosis) หรือ เส้นเลือดถูกอุดตัน
ซึ่งทำให้เกิด Renovascular Hypertesnion ขึ้น
คนที่มีไขมันในกระแสเลือดสูง จะก่อให้เกิดมีคาบของไขมัน เกาะตามผนังของเส้นเลือดแดงของไต
ทำให้เกิดภาวะที่เราเรียกว่า เส้นเลือดแข็ง หรือ atherosclerosis
นอกจากนั้น การที่เป็นคน ดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นพิเศษ
และเป็นโรคความดันโลหิตสูง (ชนิดปฐมภูมิ) มาก่อน
สามารถก่อให้เกิดเส้นเลือดแข็ง (artherosclerosis) ได้เช่นกัน
ภาวะเส้นเลือดแข็ง จะพบได้ประมาณ 2/ 3 ของคนที่เป็น renovascular hypertension
ซึ่งมักจะเป็นในชายที่มีอายุมากกว่า 50
อีกภาวะหนึ่ง fibomuscular dysplasia
เป็นความผิดปกติของเซลล์ บนเส้นเลือดแดง มีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น
เป็นเหตุให้ผนังของหลอดเลือดหนาตัวขึ้น เป็นเหตุให้เส้นเลือดตีบแคบ
ทำให้การไหลเวียนของเลือดลดน้อยลง
เป็นเหตุให้เกิดเป็นโรค renovascular hypertension ขึ้น
ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในสตรีที่มีอายุต่ำกว่า 50
โรคชนิดนี้ (fibromuscular dysplasia) มักจะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
ภาวะดังกล่าว อาจเกิดเนื่องมาจากผลของฮอร์โมนบางชนิด
หรือเป็นเพราะเส้นเลือด ไม่สามารถพัฒนาได้เหมาะสมตั้งแต่แรกก็อาจเป็นได้
คนไข้ที่เป็นความดันสูงจากเส้นเลือด renovascular ตีบแคบ มักจะไม่มีอาการใด ๆ
เหมือนกับความดันโลหิตสูงชนิดอื่น ๆ ซึ่งมาพบแพทยืเพื่อการตรวจร่างกาย
และตรวจพบความดันสูงโดยบังเอิญ และมักจะมีค่าสูงมากผิดปกติเสียด้วย
แพทย์อาจตรวจพบเสียง bruit ที่บริเวณหน้าท้องของคนไข้ได้
โดยเฉพาะคนไข้ ที่มีเหตุมาจาก fibromuscular dysplasia
คนไข้พวกนี้ พบว่าคนไข้มักจะไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา (ในช่วงแรก)
และในบางราย ในระหว่างการรักษาความดันด้วยยาลดความดัน
มักจะลงเอยด้วยการเป็นโรคไตวาย...
ในการวินิจฉัย renovascular hypertension จำเป็นต้องอาศัยหลายอย่าง
เช่น Magnetic resonance angiography , X-rays of Kidneys
และ Ultrasound ของเส้นเลือด
เมื่อเราสามารถยืนยันได้ว่า สาเหตุมาจากเส้นเลือด (renovascular)ตีบแคบ หรืออุดตัน
การรักษาที่ควรได้รับ คือ การผ่าตัดทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ด้วยการทำ angioplasty
ทำให้เส้นเลือดกว้างขึ้นด้วยการใส่ stent เอาไว้
การรักษาด้วยการผ่าตัด มักจะประสบผลเป็นที่พอใจ
สามารถทำให้โรคหาย โดยเฉพาะในรายที่เกิดจาก
Fibromuscular dysplasia ซึงเกิดในคนอายุยังน้อย
สำหรับรายที่ไม่สามารถใช้วิธีการผ่าตัดได้ การรักษาก็มุ่งไปที่การควบคุมดันด้วยยา
และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตต่อไป (lifestyle changes)
www.wisegeek.com/what-is-renovascular-hypertension.htm
วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554
Is an ACE inhibitor plus ARB more effective than either drug alone ?
ได้มีโอกาสพบเห็นความคิดเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่านจากสำนักใหญ่ ๆ เช่น
(1)Dr. Marvin Mose,-Yale University of Medicine
(2) Dr. Clive Rosendorff -Mount SinaiSchool of Medicine
(3)Dr. William B. White- University of Connecticut Health Center
พวกเขาคุยในประเด็นเรื่องเกี่ยวกับยาสองกลุ่ม- ACE inhibitors และ ARBs
เพื่อหวังผล "สองแรงร่วมกันต้าน" (dual blockage)
ฤทธิ์ของ RAS (Renin-angiotensin-system)
ซึ่งพอจะสรุป ได้ดังต่อไปนี้
เป็นที่รับรู้กันว่า ACEI (Angiotensin-converting enzyme inhibitors)
และ ARBs (Angiotensin II receptor blockers)
ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงด้วยกันทั้งคู่
โดยที่มันทำงานต่อระบบ RAS (Renin-Angiotensin System) ซึ่งทำงานในตำแหน่งที่ต่างกัน
ACEI จะออกฤทธิ์ไปสกัดการทำงานในส่วนต้น ของ RAS ไม่ให้มีการผลิตสาร Angiotensin II
ซึ่งมันมีผลต่อกล้ามเนื้อเรียบของเส้นเลือด (vascular smooth muscle)
มีผลประโยชน์ต่อการลดความดันโลหิต และลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจล้มเหลวลง
และจากการใช้ยาในกลุ่มนี้ ร่วมกับ ยาขับปัสสาวะ(diuretic)
สามารถยับยั้งไม่ให้ความเสื่อมของไตเลวลงได้ (progressive renal insufficiency)
ส่วน ARBs จะทำหน้าปิดกั้นการทำงานของระบบ RAS ที่ส่วนปลาย
โดย ไม่ให้สาร Angiotensin II ออกฤทธิ์ที่ผนังของเส้นเลือด
สามารถลดความดันโลหิตลง
เมื่อใช้รักษาคนไข้เป็นโรคความดันสูงแล้ว พบว่า
มันสามารถลดอัตราตายจากโรคหัวใจและเส้นเลือดได้
โดยสรุป ACE inhibitors ปิดกั้นการทำงานของ RAS ไม่ให้สร้าง Angiotensin II
ส่วน ARBs ปิดกั้นไม่ให้ Angiotensin II ออกฤทธิ์บนเส้นเลือด
ซึ่งทั้งสองกลุ่ม ทำให้ความดันโลหิตลด และยังลดอุบัติการณ์ของโรคที่จะเกิดกับเส้นเลือด และหัวใจ
ตลอดรวมไปถึงโรคสมองขาดเลือดด้วย
ยาในแต่ละกลุ่มจะใช้ร่วมกันกับยาตัวอื่น ที่ใช้มากคือ ยาขับปัสสาวะ
และในบางคน เราไม่สามารถลดความดันลงสูเป้าโดยปิดกั้นการทำงาของ RAS ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนสูงอายุ และคนผิวดำได้
มีการถกเถียงกันว่า ระหว่างการใช้ยา เพื่อลดอุบัติการณ์ของ cardiovascular events
ว่ายาตัวไหนดีกว่ากัน ?
บางท่านเชื่อว่า ACE Inhibitors น่าจะดีกว่า
เพราะยาในกลุ่ม ACEI สามารถทำให้ระดับของาร Bradykinin เพิ่มขึ้น
ซึ่งจะทำให้เกิดเส้นเลือดขยายตัว
บางท่านกล่าวว่า ARBs น่าจะดีกว่า เพราะมันออกฤทธิ์ ที่ส่วนปลาย
ไม่ให้ Angiotensin II มีผลต่อผนังเส้นเลือด
จากการศึกษาเปรียบระหว่าง ACEI (ramipril) และ ARBs (telmisartan)
ปรากกฎว่า ผลการสนองต่อการรักษาด้านความดันโลหิต และ ผลทางหัวใจและเส้นเลือด
ต่างมีผลเท่ากัน
ได้มีการยกประเด็นของนำยาสองตัวมาร่วมกัน...
จะให้ประโยชน์มากกว่า ให้ยาชนิดเดียวที่ให้ครบตามกำหนด (full dose) หรือไม่ ?
ปรากฏว่า การให้ยาร่วมกัน ผลที่ได้ไม่เหนือกว่าการให้ยาอย่างเดียว (Monotherapy)
ซึ่งให้ครบ full dose
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาท้งสองกลุ่ม
พบว่า ACEI จะมากกว่า ARBs
โดยเฉพาะ ACEI ทำให้เกิดอาการไอ และทำให้เกิด angioaedema
และหากใช้ยาทั้งสองกลุ่มร่วมกันเมื่อใด....ผลข้างเคียงยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เป้าหมายของการรักษาความดันโลหิตสูง ในคนไข้ที่มีโรคเบาหวาน
หรือมีโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดร่วม
จะต้องควบคุม ทำให้ความดันโลหิตลดลงต่ำกว่า 130/80 mm Hg
และที่สำคัญ ไม่แนะนำให้ใช้ยาสองกลุ่มร่วมกัน(dual RAS blockage)
ให้รอจนกว่า จะมีข้อสนับสนุนมากกว่าที่มีในปัจจุบัน
www.hypertensionfoundation.org/PDInfo/JC8560-Moser.pdf
(1)Dr. Marvin Mose,-Yale University of Medicine
(2) Dr. Clive Rosendorff -Mount SinaiSchool of Medicine
(3)Dr. William B. White- University of Connecticut Health Center
พวกเขาคุยในประเด็นเรื่องเกี่ยวกับยาสองกลุ่ม- ACE inhibitors และ ARBs
เพื่อหวังผล "สองแรงร่วมกันต้าน" (dual blockage)
ฤทธิ์ของ RAS (Renin-angiotensin-system)
ซึ่งพอจะสรุป ได้ดังต่อไปนี้
เป็นที่รับรู้กันว่า ACEI (Angiotensin-converting enzyme inhibitors)
และ ARBs (Angiotensin II receptor blockers)
ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงด้วยกันทั้งคู่
โดยที่มันทำงานต่อระบบ RAS (Renin-Angiotensin System) ซึ่งทำงานในตำแหน่งที่ต่างกัน
ACEI จะออกฤทธิ์ไปสกัดการทำงานในส่วนต้น ของ RAS ไม่ให้มีการผลิตสาร Angiotensin II
ซึ่งมันมีผลต่อกล้ามเนื้อเรียบของเส้นเลือด (vascular smooth muscle)
มีผลประโยชน์ต่อการลดความดันโลหิต และลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจล้มเหลวลง
และจากการใช้ยาในกลุ่มนี้ ร่วมกับ ยาขับปัสสาวะ(diuretic)
สามารถยับยั้งไม่ให้ความเสื่อมของไตเลวลงได้ (progressive renal insufficiency)
ส่วน ARBs จะทำหน้าปิดกั้นการทำงานของระบบ RAS ที่ส่วนปลาย
โดย ไม่ให้สาร Angiotensin II ออกฤทธิ์ที่ผนังของเส้นเลือด
สามารถลดความดันโลหิตลง
เมื่อใช้รักษาคนไข้เป็นโรคความดันสูงแล้ว พบว่า
มันสามารถลดอัตราตายจากโรคหัวใจและเส้นเลือดได้
โดยสรุป ACE inhibitors ปิดกั้นการทำงานของ RAS ไม่ให้สร้าง Angiotensin II
ส่วน ARBs ปิดกั้นไม่ให้ Angiotensin II ออกฤทธิ์บนเส้นเลือด
ซึ่งทั้งสองกลุ่ม ทำให้ความดันโลหิตลด และยังลดอุบัติการณ์ของโรคที่จะเกิดกับเส้นเลือด และหัวใจ
ตลอดรวมไปถึงโรคสมองขาดเลือดด้วย
ยาในแต่ละกลุ่มจะใช้ร่วมกันกับยาตัวอื่น ที่ใช้มากคือ ยาขับปัสสาวะ
และในบางคน เราไม่สามารถลดความดันลงสูเป้าโดยปิดกั้นการทำงาของ RAS ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนสูงอายุ และคนผิวดำได้
มีการถกเถียงกันว่า ระหว่างการใช้ยา เพื่อลดอุบัติการณ์ของ cardiovascular events
ว่ายาตัวไหนดีกว่ากัน ?
บางท่านเชื่อว่า ACE Inhibitors น่าจะดีกว่า
เพราะยาในกลุ่ม ACEI สามารถทำให้ระดับของาร Bradykinin เพิ่มขึ้น
ซึ่งจะทำให้เกิดเส้นเลือดขยายตัว
บางท่านกล่าวว่า ARBs น่าจะดีกว่า เพราะมันออกฤทธิ์ ที่ส่วนปลาย
ไม่ให้ Angiotensin II มีผลต่อผนังเส้นเลือด
จากการศึกษาเปรียบระหว่าง ACEI (ramipril) และ ARBs (telmisartan)
ปรากกฎว่า ผลการสนองต่อการรักษาด้านความดันโลหิต และ ผลทางหัวใจและเส้นเลือด
ต่างมีผลเท่ากัน
ได้มีการยกประเด็นของนำยาสองตัวมาร่วมกัน...
จะให้ประโยชน์มากกว่า ให้ยาชนิดเดียวที่ให้ครบตามกำหนด (full dose) หรือไม่ ?
ปรากฏว่า การให้ยาร่วมกัน ผลที่ได้ไม่เหนือกว่าการให้ยาอย่างเดียว (Monotherapy)
ซึ่งให้ครบ full dose
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาท้งสองกลุ่ม
พบว่า ACEI จะมากกว่า ARBs
โดยเฉพาะ ACEI ทำให้เกิดอาการไอ และทำให้เกิด angioaedema
และหากใช้ยาทั้งสองกลุ่มร่วมกันเมื่อใด....ผลข้างเคียงยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เป้าหมายของการรักษาความดันโลหิตสูง ในคนไข้ที่มีโรคเบาหวาน
หรือมีโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดร่วม
จะต้องควบคุม ทำให้ความดันโลหิตลดลงต่ำกว่า 130/80 mm Hg
และที่สำคัญ ไม่แนะนำให้ใช้ยาสองกลุ่มร่วมกัน(dual RAS blockage)
ให้รอจนกว่า จะมีข้อสนับสนุนมากกว่าที่มีในปัจจุบัน
www.hypertensionfoundation.org/PDInfo/JC8560-Moser.pdf
วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554
Hypertension: What is the etiology of Hypertension?
อะไร คือสาเหตุทำให้เกิดความดันโลหิตสูง?
“มนุษย์เรามีโอกาสเกิดเป็นโรความดันโลหิตสูงกันทุกคน...”
เมื่อความจริงเป็นเช่นนั้น...เราจะป้องกันไม่ให้เกิดได้อย่างไร ?
ความดันโลหิต (blood pressure) เป็นความดัน หรือแรงทีเกิดขึ้น
เมื่อเลือดของเราออกแรงกระแทกกับผนังของเส้นเลือด
ซึ่งเกิดในขณะที่มีกระแสของโลหิ ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
ถ้าความดันโลหิตที่วัดได้ 120/80
ถือว่า เป็นความดันอยุ่ในระดับปกติ
120 หมายถึงแรงจาก Systolic
80 หมายถึงแรงที่วัดในขณะ Diastolic
เมื่อความดันวัดได้สูงกว่าระดับดังกล่าว เราเรียกภาวนั้นเป็น ความดันโลหิตสูง (hypertension)
จากการศึกษาของ AMA (American Heart Association) พบว่า ประมาณ 90 – 95 %
ของคนที่เป็นโรคความดันสูง ไม่ทราบสาเหตุ
อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ามีปัจจัยหลายอย่าง มีบทบาทต่อการทำให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้น เช่น
อายุ (Age)
ตามรายของ Mayo Clinic ถือว่า อายุเป็นปัจจัยสำคัญของความดันโลหิตสูง ทั้งนี้เพราะโอกาส
ที่จะเกิดเป็นความดันสูงนั้น จะมีมากขึ้นเมื่ออายุคนเราสูงขึ้น
พบว่า เส้นเลือดของคสูงอายุจะแข็ง เหมือนสายยางฉีดน้ำรดหญ้าในสนาม
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี มันจะแข็ง แตกปลิได้ง่าย
เส้นเลือดของคนแก่...ก็เป็นเช่นเดียวกัน เส้นเลือดจะแข็งตัว ไม่สามารขยายได้ตามปกติ
ทำให้มีการต่อต้าน (pressure) กระแสเลือดที่วิ่งผ่าน
ยังผลให้มีความดันของเลือดเพิมขึ้น
อายุ ที่เพิ่มข้ึน เป็นปัจจัยที่เราไม่สามารป้องกันได้
เชื้อชาติ (Race)
จากการศึกษาของ Mayo Clinic พบว่า คนเชื้อชาติผิวดำ มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง
คนชาติดังกล่าวยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความดันโลหิตสูงได้
เช่น เป็นโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
และสมองขาดเลือด (stroke)
ทำไมจึงเกิดขึ้นกับคนผิวดำ...ไม่มีใครตอบได้
พันธุกรรม และปัจจัยทางยีน (Hereditary and Genetic factors):
ผลจาการศึกษา พบว่าปัจจัยต่าง ๆ ทางด้าน “ยีน” และ พันธุกรรม มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดความดันโลหิตสูง
ซึ่งเราจะพบว่า คนเป็นความดันสูงมักมีประวัติทางครอบครัว
มีการถ่ายทอดจากรุ่นพ่อ-แม่ สู่รุ่นลูก และหลาน
เป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้อีกเช่นกัน
สูบบุหรี่ (Smoking):
การสูบบุหรี่ หรือสูบไปป์ มีแนวโน้มให้เกิดความดันโลหิตสูง
ไม่เพียงเท่านั้น ผลจากการศึกษายังพบว่า แม้ไม่สูบบุหรี่ แต่มีโอกาสได้สูดควันบุหรี่
ก็ไม่พ้นจากการเป็นความดันสูงได้เช่นกัน
ในบุหรี่ มีสารเคมี ซึ่งเข้าสู่ร่างกาย มันจะไปเกาะตามผนังของเส้นเลือด (ทั้งแดง และดำ)
ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้เมื่อเวลาผ่านไป
เป็นปัจจัยที่ป้องกันได้
สาเหตุอย่างอื่น (Other common causes):
ผลงานการศึกษาของ Mayo เจ้าเก่า ได้รายงานว่า มีปัจจัยหลายอย่าง
ที่อาจทำให้เกิดความดันสูงได้
เช่น Vitamin D deficiency และ Hypokelemia
ระดับ Vitamin D ลดต่ำลง และ โปแตสเซียม ต่ำ
ดื่มแอลกอฮอลมากไป ตลอดรวมไปถึงความเครียด....
ต่างมีส่วนทำให้เกิดโรคความดันได้ทั้งนั้น
โดยสรุป...พอจะทราบได้ว่า อะไรเป็นปัจจัยทำให้เกิดความดันสูงได้
ซึ่งมีทั้งที่สามารถป้องกันไม่ได้ เช่น เรื่องอายุที่แก่ขึ้น เชื้อชาติ
ส่วนปัจจัยที่เราสามารถป้องกันได้ ซึ่งอยูในวิสัยที่เราสามารถกระทำได้
เช่น สูบบุหรี่ ดื่ม สุรา ขาดสารบางอย่าง เช่น vitamin D, Potassium
และความเครียด
www.ehow.com/about-5161610-etiology-hypertension.html
“มนุษย์เรามีโอกาสเกิดเป็นโรความดันโลหิตสูงกันทุกคน...”
เมื่อความจริงเป็นเช่นนั้น...เราจะป้องกันไม่ให้เกิดได้อย่างไร ?
ความดันโลหิต (blood pressure) เป็นความดัน หรือแรงทีเกิดขึ้น
เมื่อเลือดของเราออกแรงกระแทกกับผนังของเส้นเลือด
ซึ่งเกิดในขณะที่มีกระแสของโลหิ ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
ถ้าความดันโลหิตที่วัดได้ 120/80
ถือว่า เป็นความดันอยุ่ในระดับปกติ
120 หมายถึงแรงจาก Systolic
80 หมายถึงแรงที่วัดในขณะ Diastolic
เมื่อความดันวัดได้สูงกว่าระดับดังกล่าว เราเรียกภาวนั้นเป็น ความดันโลหิตสูง (hypertension)
จากการศึกษาของ AMA (American Heart Association) พบว่า ประมาณ 90 – 95 %
ของคนที่เป็นโรคความดันสูง ไม่ทราบสาเหตุ
อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ามีปัจจัยหลายอย่าง มีบทบาทต่อการทำให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้น เช่น
อายุ (Age)
ตามรายของ Mayo Clinic ถือว่า อายุเป็นปัจจัยสำคัญของความดันโลหิตสูง ทั้งนี้เพราะโอกาส
ที่จะเกิดเป็นความดันสูงนั้น จะมีมากขึ้นเมื่ออายุคนเราสูงขึ้น
พบว่า เส้นเลือดของคสูงอายุจะแข็ง เหมือนสายยางฉีดน้ำรดหญ้าในสนาม
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี มันจะแข็ง แตกปลิได้ง่าย
เส้นเลือดของคนแก่...ก็เป็นเช่นเดียวกัน เส้นเลือดจะแข็งตัว ไม่สามารขยายได้ตามปกติ
ทำให้มีการต่อต้าน (pressure) กระแสเลือดที่วิ่งผ่าน
ยังผลให้มีความดันของเลือดเพิมขึ้น
อายุ ที่เพิ่มข้ึน เป็นปัจจัยที่เราไม่สามารป้องกันได้
เชื้อชาติ (Race)
จากการศึกษาของ Mayo Clinic พบว่า คนเชื้อชาติผิวดำ มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง
คนชาติดังกล่าวยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความดันโลหิตสูงได้
เช่น เป็นโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
และสมองขาดเลือด (stroke)
ทำไมจึงเกิดขึ้นกับคนผิวดำ...ไม่มีใครตอบได้
พันธุกรรม และปัจจัยทางยีน (Hereditary and Genetic factors):
ผลจาการศึกษา พบว่าปัจจัยต่าง ๆ ทางด้าน “ยีน” และ พันธุกรรม มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดความดันโลหิตสูง
ซึ่งเราจะพบว่า คนเป็นความดันสูงมักมีประวัติทางครอบครัว
มีการถ่ายทอดจากรุ่นพ่อ-แม่ สู่รุ่นลูก และหลาน
เป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้อีกเช่นกัน
สูบบุหรี่ (Smoking):
การสูบบุหรี่ หรือสูบไปป์ มีแนวโน้มให้เกิดความดันโลหิตสูง
ไม่เพียงเท่านั้น ผลจากการศึกษายังพบว่า แม้ไม่สูบบุหรี่ แต่มีโอกาสได้สูดควันบุหรี่
ก็ไม่พ้นจากการเป็นความดันสูงได้เช่นกัน
ในบุหรี่ มีสารเคมี ซึ่งเข้าสู่ร่างกาย มันจะไปเกาะตามผนังของเส้นเลือด (ทั้งแดง และดำ)
ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้เมื่อเวลาผ่านไป
เป็นปัจจัยที่ป้องกันได้
สาเหตุอย่างอื่น (Other common causes):
ผลงานการศึกษาของ Mayo เจ้าเก่า ได้รายงานว่า มีปัจจัยหลายอย่าง
ที่อาจทำให้เกิดความดันสูงได้
เช่น Vitamin D deficiency และ Hypokelemia
ระดับ Vitamin D ลดต่ำลง และ โปแตสเซียม ต่ำ
ดื่มแอลกอฮอลมากไป ตลอดรวมไปถึงความเครียด....
ต่างมีส่วนทำให้เกิดโรคความดันได้ทั้งนั้น
โดยสรุป...พอจะทราบได้ว่า อะไรเป็นปัจจัยทำให้เกิดความดันสูงได้
ซึ่งมีทั้งที่สามารถป้องกันไม่ได้ เช่น เรื่องอายุที่แก่ขึ้น เชื้อชาติ
ส่วนปัจจัยที่เราสามารถป้องกันได้ ซึ่งอยูในวิสัยที่เราสามารถกระทำได้
เช่น สูบบุหรี่ ดื่ม สุรา ขาดสารบางอย่าง เช่น vitamin D, Potassium
และความเครียด
www.ehow.com/about-5161610-etiology-hypertension.html
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554
Antihypertensive Medications: Options for stage 2 hypertension
Stage 2 Hypertension (BP > 160/100 mm Hg)
เมื่อท่านมีความดันโลหิตสูง และ ได้รับทราบว่า ความดัน(สูง)ของท่านอยู่ใน stage 2
หมายความว่า ระดับความดันของท่าน...ตัวบน (systolic) 160 mm Hg หรือมากกว่า
ตัวล่าง (diatolic) 100 mm Hg หรือมากกว่า
หรือสูงทั้งสองค่า (systolic และ diastolic)
ในกรณีเช่นนี้ การรักษาด้วยยา น่าจะเป็นการใช้ยาตั้งแต่สองตัวขึ้นไป
ในการรักษาคนไข้ที่มีความดันสูง stage 2 จะมีความคล้ายคลึงกับการรักษาใน stage 1
แพทย์มักนิยมที่จะเริ่มให้ยาขับปัสสาวะ (diuretic- thiazide) แก่ท่าน
ซึงยาตัวนี้จะขับน้ำออกจากกาย เหมือนกับเปิดประตูระบายน้ำของเขื่อนกั้นน้ำ...
ยาขับปัสสาวะจะขับเอาน้ำที่เกินความจำเป็น และเกลือ sodium ออกจากร่างกาย
ซึ่งจะทำให้ระดับความดันลดลงไป
นอกจากนั้น แพทย์เขาจะเพิ่มยาตัวใดตัวหนึ่งจากกลุ่มต่อไปนี้ร่วมดัวยเสมอ.:
o Angiotensin-converting enzyme (ACE) inhibitors.
ยาจะทำให้เส้นเลือดขยายตัว โดยการป้องกันไม่ให้มีสาร
Angiotensin II เกิดขึ้น
ยาที่ใช้ในกลุุู่มนี้ ได้แก่ Captopil analapril และ ramipril
o Angiotensin II receptors blockers
ยาในกลุ่มนี้ ทำหน้าที่ปิดกั้นไม่ให้สาร angiotension II
ออกฤทธิ์บนเส้นเลือด ยังผลให้เส้นเลือดขยายตัว ทำให้ความดันลดลง
ยาที่มีใช้ในกลุ่มนี้ได้แก่ losartan (Cozaar) olmesartan (Benicar)
และ valsartan (Diovan)
o Calcium channel blockers
ยาในกลุ่มนี้ ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารแคลเซียมเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ และเส้นเลือด
ทำให้เซลล์เหล่านั้นเกิดการผ่อนคลาย ซึ่งยังผลให้มีการลดระดับความดันลง
ยาที่ใช้ได้แก่ amlodinpine (Nrvasc) diltiazem และ verapamil
o Beta-blockers.
ทำหน้าที่ปิดกั้น (block) เส้นประสาทบางอย่าง และฮอร์โมนที่สามารส่งคำสั่ง
ต่อกล้ามเนื้อหัวใจ และเส้นเลือด...ทำให้ระดับความดันลดลง
ยาที่ถูกนำมาใช้ในกลุ่มนี้ได้แก่ metoprolol (LOpressor,ToprolXL)
propaolol และ Atenolol
o Renin Inhibiltors.
Renins เป็นเอ็นโซม์ ซึ่งถูกสร้างจากไต ซึงเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางเคมีต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับสารที่ทำให้เกิดมีความดันโลหิตสูงขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Aliskiren (Tekturna) มีฤทธิ์ลดการสร้างสาร Renin ลง
ก็เป็นการยุติกระบวนการที่ก่อให้เกิดความดันโลหิตสง
ถ้าหากปรากฏว่า ยาที่เราให้นั้น ไม่สามารถลดระดับความดันของท่านลงได้เลย
แพทย์เขาจะแนะนำให้ท่านใช้ยาตัวอื่น เช่น พวก alpha blocker,
Central –acting agent, vasodilator
ซึ่งยาในกลุ่มนี้ จะมีฤทธิ์ที่แรงกว่า (strong) และมีผลข้างเคียงค่อนข้างสูง
เมื่อความดันของท่านมีระดับสูงมาก ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องลดความดันลงให้เร็ว
เพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้
เช่น ทำให้เกิดอันตราย (damage) ต่อเส้นเลือด ทำให้เกิดหัวใจล้มเหลว(heart failure)
และไตถูกทำลาย (kidney damage)
การใช้ยาสองตัวร่วมกันรักษา จะทำให้การควบคุมความดันโลหิตสูง
สามารถทำให้ความดันโลหิต ลดลงได้เร็วกว่าการใช้ยาเพียงตัวเดียว
บางครั้ง เราจำเป็นต้องใช้ยาเพิ่มอีกเป็นตัวที่สาม หรือมากกว่า...
เพื่อทำให้ความดันโลหิตลดลงตามที่เราต้องการ
น่ั่นเป็นเรื่องการควบคุมความดันโลหิตสูง stage 2
Cont. > (4) High blood Pressure and other Healthnproblems
เมื่อท่านมีความดันโลหิตสูง และ ได้รับทราบว่า ความดัน(สูง)ของท่านอยู่ใน stage 2
หมายความว่า ระดับความดันของท่าน...ตัวบน (systolic) 160 mm Hg หรือมากกว่า
ตัวล่าง (diatolic) 100 mm Hg หรือมากกว่า
หรือสูงทั้งสองค่า (systolic และ diastolic)
ในกรณีเช่นนี้ การรักษาด้วยยา น่าจะเป็นการใช้ยาตั้งแต่สองตัวขึ้นไป
ในการรักษาคนไข้ที่มีความดันสูง stage 2 จะมีความคล้ายคลึงกับการรักษาใน stage 1
แพทย์มักนิยมที่จะเริ่มให้ยาขับปัสสาวะ (diuretic- thiazide) แก่ท่าน
ซึงยาตัวนี้จะขับน้ำออกจากกาย เหมือนกับเปิดประตูระบายน้ำของเขื่อนกั้นน้ำ...
ยาขับปัสสาวะจะขับเอาน้ำที่เกินความจำเป็น และเกลือ sodium ออกจากร่างกาย
ซึ่งจะทำให้ระดับความดันลดลงไป
นอกจากนั้น แพทย์เขาจะเพิ่มยาตัวใดตัวหนึ่งจากกลุ่มต่อไปนี้ร่วมดัวยเสมอ.:
o Angiotensin-converting enzyme (ACE) inhibitors.
ยาจะทำให้เส้นเลือดขยายตัว โดยการป้องกันไม่ให้มีสาร
Angiotensin II เกิดขึ้น
ยาที่ใช้ในกลุุู่มนี้ ได้แก่ Captopil analapril และ ramipril
o Angiotensin II receptors blockers
ยาในกลุ่มนี้ ทำหน้าที่ปิดกั้นไม่ให้สาร angiotension II
ออกฤทธิ์บนเส้นเลือด ยังผลให้เส้นเลือดขยายตัว ทำให้ความดันลดลง
ยาที่มีใช้ในกลุ่มนี้ได้แก่ losartan (Cozaar) olmesartan (Benicar)
และ valsartan (Diovan)
o Calcium channel blockers
ยาในกลุ่มนี้ ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารแคลเซียมเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ และเส้นเลือด
ทำให้เซลล์เหล่านั้นเกิดการผ่อนคลาย ซึ่งยังผลให้มีการลดระดับความดันลง
ยาที่ใช้ได้แก่ amlodinpine (Nrvasc) diltiazem และ verapamil
o Beta-blockers.
ทำหน้าที่ปิดกั้น (block) เส้นประสาทบางอย่าง และฮอร์โมนที่สามารส่งคำสั่ง
ต่อกล้ามเนื้อหัวใจ และเส้นเลือด...ทำให้ระดับความดันลดลง
ยาที่ถูกนำมาใช้ในกลุ่มนี้ได้แก่ metoprolol (LOpressor,ToprolXL)
propaolol และ Atenolol
o Renin Inhibiltors.
Renins เป็นเอ็นโซม์ ซึ่งถูกสร้างจากไต ซึงเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางเคมีต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับสารที่ทำให้เกิดมีความดันโลหิตสูงขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Aliskiren (Tekturna) มีฤทธิ์ลดการสร้างสาร Renin ลง
ก็เป็นการยุติกระบวนการที่ก่อให้เกิดความดันโลหิตสง
ถ้าหากปรากฏว่า ยาที่เราให้นั้น ไม่สามารถลดระดับความดันของท่านลงได้เลย
แพทย์เขาจะแนะนำให้ท่านใช้ยาตัวอื่น เช่น พวก alpha blocker,
Central –acting agent, vasodilator
ซึ่งยาในกลุ่มนี้ จะมีฤทธิ์ที่แรงกว่า (strong) และมีผลข้างเคียงค่อนข้างสูง
เมื่อความดันของท่านมีระดับสูงมาก ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องลดความดันลงให้เร็ว
เพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้
เช่น ทำให้เกิดอันตราย (damage) ต่อเส้นเลือด ทำให้เกิดหัวใจล้มเหลว(heart failure)
และไตถูกทำลาย (kidney damage)
การใช้ยาสองตัวร่วมกันรักษา จะทำให้การควบคุมความดันโลหิตสูง
สามารถทำให้ความดันโลหิต ลดลงได้เร็วกว่าการใช้ยาเพียงตัวเดียว
บางครั้ง เราจำเป็นต้องใช้ยาเพิ่มอีกเป็นตัวที่สาม หรือมากกว่า...
เพื่อทำให้ความดันโลหิตลดลงตามที่เราต้องการ
น่ั่นเป็นเรื่องการควบคุมความดันโลหิตสูง stage 2
Cont. > (4) High blood Pressure and other Healthnproblems
Anti-hypertensive Medications: Option I (2)
Stage I High Blood Pressure (140/90 – 159/99 mm Hg)
สมมุติว่า ท่านมีความดันโลหิตอยู่ใน stage I
การปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตของท่าน เพื่อทำให้มีสุขภาพดีขึ้น
สามารถลดระดับความดันโลหิตของท่านได้พอสมควร
และยาที่แพทย์ มักจะสั่งให้ท่านรับประทานร่วมกับการปรับเปลี่ยนลีลาชีวิตของท่าน คือ
ยาขับปัสสาวะ -Diuretics (Water Pills)
ท่านอาจได้รับยาขับปัสสาวะ เพื่อขับน้ำออกจากร่างกาย ซึ่งสามารลดความดันโลหิตลงได้
บางที เมื่อรวมกับการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตแล้ว
สามารถทำให้ความดันโลหิตลดลงได้มากพอ ที่จะควบคุมความดันโลหิตได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรามียาขับปัสสาวะถึงสามกลุ่ม ยาตัวแรกที่เราควรเลือกใช้
คือ ยาในกลุ่ม Thiazide diuretic
เพราะยาในกลุ่มนี้ มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาขับปัสสาวะกลุ่มอื่น
นอกจากนั้น ยาในกลุ่มนี้ ยังสามารถปัองกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
อันพึงจะเกิดจากความดันสูง
เช่น ภาวะสมองขาดเลือด (stroke) และหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ยารักษาความดันตัวอื่น ๆ (Other medications)
ตามที่ได้กล่าวมา ยาขับปัสสาวะ (diuretic) อาจเป็นยาเพียงตัวเดียว
ที่ท่านต้องใช้เพื่อรักษาความดันโลหิตสูงได้
แต่ในบางสถานการณ์ แพทย์อาจแนะนำให้ท่านใช้ยาตัวอื่น
หรือ อาจเพิ่มยาตัวอื่นแก่ท่านได้
ซึ่งมีให้ท่านเลือกใช้ดังนี้
o Angiotensin-converting enzyme (ACE) inhibitors.
ยาในกลุ่มนี้ จะทำให้เส้นเลือดขยายตัว โดยการป้องกันไม่ให้มีสาร
Angiotensin II เกิดขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Captopil analapril และ ramipril
o Angiotensin II receptors blockers
ยาในกลุ่มนี้ ทำหน้าที่ปิดกั้นไม่ให้สาร angiotension II
ออกฤทธิ์บนเส้นเลือด ยังผลให้เส้นเลือดขยายตัว ทำให้ความดันลดลง
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ losartan (Cozaar) olmesartan (Benicar)
และ valsartan (Diovan)
o Calcium channel blockers
ยาในกลุ่มนี้ ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารแคลเซียมเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ และเส้นเลือด
ทำให้เซลล์เหล่านั้นเกิดการผ่อนคลาย ซึ่งยังผลให้มีการลดระดับความดันโลหิตลง
ยาที่ใช้ได้แก่ amlodipine (Norvasc) diltiazem และ verapamil
o Beta-blockers.
ทำหน้าที่ปิดกั้น (block) เส้นประสาทบางอย่าง และฮอร์โมนที่สามารส่งคำสั่งต่อกล้ามเนื้อหัวใจ
และเส้นเลือด...ทำให้ระดับความดันลดลง
ยาที่ถูกนำมาใช้ในกลุ่มนี้ได้แก่ metoprolol (Lopressor,ToprolXL)
propanolol และ Atenolol
o Renin Inhibitors.
Renins เป็นเอ็นโซม์ ซึ่งถูกสร้างจากไต ซึ่งทำหน้าที่ทางกระบวนการผลิตสารทางเคมีต่าง ๆ
ซึ่ง มีฤทธิ์ต่อการทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Aliskiren (Tekturna)
เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการลดการผลิตสาร Renin เป็นการยุติกระบวนการทางเคมีในตอนเริ่มต้น
ที่จะก่อให้เกิดสารที่มีฤทธิ์ ต่อการทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
การที่เราจะเพิ่มยาตัวใด ตัวหนึ่ง ร่วมกับยา diuretic
สามารถลดความดันได้เร็วกว่า การใช้ยาขับปัสสาวะเพียงอย่างเดียว
และจากการใช้ยา 2ชนิด ต่างกลุ่ม ในขนาด (dose)ไม่มาก (low dose)
นอกจากจะลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้แล้ว
ยังได้ผลดีในด้านลดความดันอีกด้วย
และในการเลือกใช้ยาตัวใดนั้น ยังขึ้นอยู่กับความชอบของแพทย์ผู้ทำการรักษาอีกด้วย
ไม่มีสูตรตายตัวแต่อย่างใด
Cont. > (3) Option for stage 2 high blood pressure
สมมุติว่า ท่านมีความดันโลหิตอยู่ใน stage I
การปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตของท่าน เพื่อทำให้มีสุขภาพดีขึ้น
สามารถลดระดับความดันโลหิตของท่านได้พอสมควร
และยาที่แพทย์ มักจะสั่งให้ท่านรับประทานร่วมกับการปรับเปลี่ยนลีลาชีวิตของท่าน คือ
ยาขับปัสสาวะ -Diuretics (Water Pills)
ท่านอาจได้รับยาขับปัสสาวะ เพื่อขับน้ำออกจากร่างกาย ซึ่งสามารลดความดันโลหิตลงได้
บางที เมื่อรวมกับการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตแล้ว
สามารถทำให้ความดันโลหิตลดลงได้มากพอ ที่จะควบคุมความดันโลหิตได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรามียาขับปัสสาวะถึงสามกลุ่ม ยาตัวแรกที่เราควรเลือกใช้
คือ ยาในกลุ่ม Thiazide diuretic
เพราะยาในกลุ่มนี้ มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาขับปัสสาวะกลุ่มอื่น
นอกจากนั้น ยาในกลุ่มนี้ ยังสามารถปัองกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
อันพึงจะเกิดจากความดันสูง
เช่น ภาวะสมองขาดเลือด (stroke) และหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ยารักษาความดันตัวอื่น ๆ (Other medications)
ตามที่ได้กล่าวมา ยาขับปัสสาวะ (diuretic) อาจเป็นยาเพียงตัวเดียว
ที่ท่านต้องใช้เพื่อรักษาความดันโลหิตสูงได้
แต่ในบางสถานการณ์ แพทย์อาจแนะนำให้ท่านใช้ยาตัวอื่น
หรือ อาจเพิ่มยาตัวอื่นแก่ท่านได้
ซึ่งมีให้ท่านเลือกใช้ดังนี้
o Angiotensin-converting enzyme (ACE) inhibitors.
ยาในกลุ่มนี้ จะทำให้เส้นเลือดขยายตัว โดยการป้องกันไม่ให้มีสาร
Angiotensin II เกิดขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Captopil analapril และ ramipril
o Angiotensin II receptors blockers
ยาในกลุ่มนี้ ทำหน้าที่ปิดกั้นไม่ให้สาร angiotension II
ออกฤทธิ์บนเส้นเลือด ยังผลให้เส้นเลือดขยายตัว ทำให้ความดันลดลง
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ losartan (Cozaar) olmesartan (Benicar)
และ valsartan (Diovan)
o Calcium channel blockers
ยาในกลุ่มนี้ ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารแคลเซียมเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ และเส้นเลือด
ทำให้เซลล์เหล่านั้นเกิดการผ่อนคลาย ซึ่งยังผลให้มีการลดระดับความดันโลหิตลง
ยาที่ใช้ได้แก่ amlodipine (Norvasc) diltiazem และ verapamil
o Beta-blockers.
ทำหน้าที่ปิดกั้น (block) เส้นประสาทบางอย่าง และฮอร์โมนที่สามารส่งคำสั่งต่อกล้ามเนื้อหัวใจ
และเส้นเลือด...ทำให้ระดับความดันลดลง
ยาที่ถูกนำมาใช้ในกลุ่มนี้ได้แก่ metoprolol (Lopressor,ToprolXL)
propanolol และ Atenolol
o Renin Inhibitors.
Renins เป็นเอ็นโซม์ ซึ่งถูกสร้างจากไต ซึ่งทำหน้าที่ทางกระบวนการผลิตสารทางเคมีต่าง ๆ
ซึ่ง มีฤทธิ์ต่อการทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Aliskiren (Tekturna)
เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการลดการผลิตสาร Renin เป็นการยุติกระบวนการทางเคมีในตอนเริ่มต้น
ที่จะก่อให้เกิดสารที่มีฤทธิ์ ต่อการทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
การที่เราจะเพิ่มยาตัวใด ตัวหนึ่ง ร่วมกับยา diuretic
สามารถลดความดันได้เร็วกว่า การใช้ยาขับปัสสาวะเพียงอย่างเดียว
และจากการใช้ยา 2ชนิด ต่างกลุ่ม ในขนาด (dose)ไม่มาก (low dose)
นอกจากจะลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้แล้ว
ยังได้ผลดีในด้านลดความดันอีกด้วย
และในการเลือกใช้ยาตัวใดนั้น ยังขึ้นอยู่กับความชอบของแพทย์ผู้ทำการรักษาอีกด้วย
ไม่มีสูตรตายตัวแต่อย่างใด
Cont. > (3) Option for stage 2 high blood pressure
Anti- hypertensive medications: จะใช้ยาตัวไหนดี ?
สัจธรรมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะปัญหาที่ยาก ๆ ทั้งหลาย
จำเป็นต้องอาศัยการพิจารณาดูปัญหาที่เกิดขึ้นให้ดี
เพราะคำตอบมันซ่อนตัวอยู่ทในตัวปัญหานั้นแหละ
พร้อมกับใช้ประสบการณ์ของแต่ละท่านเข้าแก้ปัญหานั้น...
ปัญหาทั้งหลาย ก็จะคลีคลายได้เอง
การรักษาโรคความดันโลหิตสูงก็คงเช่นเดียวกัน
ยิ่งมียาให้นำไปใช้ในการรักษาหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่ม มีการหลายตัว
รวมกันแล้ว มากกว่าจำนวนไม้กอล์ฟ ที่เพื่อนนักกอล์ฟทั้งหลายหยิบใช้ตามความเหมาะสม
แพทย์เราก็คงเช่นเดียวกัน...นั่นเป็นเรืองของคนมีประสบการณ์เท่านั้น
หากเราสามารถเข้าใจในตัวยาแต่ละกลุ่ม แต่ละตัวได้ดี
เราย่อมนำยาชนิดนั้นๆ ไปใช้แก้ปัญหาได้ดีอย่างแน่นอน
ที่นำเสนอต่อไปนี้ เป็นทางเลือก สำหรับมือสมัครเล่น ให้นำไปพิจารณาว่า จะใช้ยาตัวใดรักษาคนไข้ดี ?
ยาที่นำมาใช้ในการรักษาคนไข้ที่เป็นโรคความดัน มีจำนวนเป็นโหล... ให้แพทย์เราเลือกใช้ตามความพอใจ
แต่ละตัวมีทั้ง เสียงสนับสนุน และต่อต้าน (pros and cons)
แพทย์เราจะใช้ยาตัวใด มันขึ้นกับระดับความดันโลหิตว่า มันสูงขนาดใด
และยาที่ใช้ในการรักษา อาจเป็นตัวเดียว หรือหลายตัวก็ได้
ที่สำคัญ ขึ้นกับความชอบของแต่ละท่าน (แพทย์) อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม คนที่มีความดันโลหิตสูง หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันสูง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ (lifestyle changes) ของท่าน
สามารถทำให้ความดันโลหิอยุ่ภายใต้การควบคุมของท่านได้
ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะเริ่มรับการรักษาโรคความดันโลหิตสูง
ท่านควรทำความเข้าใจกับ “ทางเลือก” ต่าง ๆ ต่อไปดู
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต (Lifestyle changes)หรือ "ลีลาชีวิต"
ไม่ว่าท่านจะอยู่บนเส้นทางของการเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่ (prehypertension)
หรือคุณมีโรคความดันโลหิตสูงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ท่านสามารถรับประโยชน์จากการปรับเปลี่ยน “ลีลาชีวิต” ท่านได้
ซึ่งมันสามารถลดความดัน...ของท่านได้
คนที่อยู่บนเส้นทางของการเป็นโรคความดัน เมื่อเขาคนนั้นปล่อยให้ความดันโลหิต-
เลขตัวบน (systolic) มีค่าระหว่าง 120 ถึง 139 mm Hg
เลขตัวล่าง (diastolic) มีค่าระหว่าง 80 ถึง 89 mm Hg
นั่นถือว่า ท่านอยุ่ในขั้น Pre-hypertension แล้ว
แม้ว่าท่านที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และแพทย์ของท่านได้สั่งยารักษา ให้ท่านรับประทานแล้วก็ตาม
การปรับเปลี่ยนเปลี่ยน “ลีลาชีวิต” ที่ดี ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อท่านได้เช่นกัน
ความจริงมีว่า การปรับเปลี่ยนลีลาชีวิตที่จะกล่าวต่อไปนี้นั้น ไมเพียงแต่ลดระดับความดันโลหิตลงได้
เท่านั้น มันอาจไม่จำเป็นต้องรับประทานยารักษาความดัน...ก็อาจเป็นได้
ซึ่งมีวิธีการปรับเปลี่ยนลีลาชีวิตของท่าน ดังต่อไปนี้:
เลิกสูบบุหรี่
รับประทานอาหารสุขภาพ มุ่งไปที่อาหารประเภทผัก (vegetables) ผลไม้ (fruits)
และไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว รวมไปถึงลดปริมาณของเกลือ (sodium) ลง
รักษา และคงสภาพน้ำหนักตัว อย่าให้มีน้ำหนักเกิน
ออกกำลงกายอย่างสม่ำเสมอ (moderated activity) อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
หรือในกรณีที่ท่านไม่มีเวลา นสามารถแบ่งเป็นสามช่วงได้ ( ครั้งละ 10 นาที รวมเป็น 30 นาทีต่อวัน)
จำกัดปริมาณของเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอลลง
สำหรับท่านที่กำลังจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง (pre-hypertension) หากท่านมีสุขภาพดีเยี่ยม
ท่านไม่จำเป้นต้องรับประทานรักษาลดความดันแต่อย่างใด
แต่หากท่านมีโรคอย่างอื่นร่วมด้ยว เช่น เป็นเบาหวาน เป็นโรคไต หรือเป็นโรคหัใจ
แพทย์อาจแนะนำใหท่านรับประทานยาลดความดัน...
น่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านมากกว่า
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของท่านด้วยละ...
Cont> > Medications options (2)
จำเป็นต้องอาศัยการพิจารณาดูปัญหาที่เกิดขึ้นให้ดี
เพราะคำตอบมันซ่อนตัวอยู่ทในตัวปัญหานั้นแหละ
พร้อมกับใช้ประสบการณ์ของแต่ละท่านเข้าแก้ปัญหานั้น...
ปัญหาทั้งหลาย ก็จะคลีคลายได้เอง
การรักษาโรคความดันโลหิตสูงก็คงเช่นเดียวกัน
ยิ่งมียาให้นำไปใช้ในการรักษาหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่ม มีการหลายตัว
รวมกันแล้ว มากกว่าจำนวนไม้กอล์ฟ ที่เพื่อนนักกอล์ฟทั้งหลายหยิบใช้ตามความเหมาะสม
แพทย์เราก็คงเช่นเดียวกัน...นั่นเป็นเรืองของคนมีประสบการณ์เท่านั้น
หากเราสามารถเข้าใจในตัวยาแต่ละกลุ่ม แต่ละตัวได้ดี
เราย่อมนำยาชนิดนั้นๆ ไปใช้แก้ปัญหาได้ดีอย่างแน่นอน
ที่นำเสนอต่อไปนี้ เป็นทางเลือก สำหรับมือสมัครเล่น ให้นำไปพิจารณาว่า จะใช้ยาตัวใดรักษาคนไข้ดี ?
ยาที่นำมาใช้ในการรักษาคนไข้ที่เป็นโรคความดัน มีจำนวนเป็นโหล... ให้แพทย์เราเลือกใช้ตามความพอใจ
แต่ละตัวมีทั้ง เสียงสนับสนุน และต่อต้าน (pros and cons)
แพทย์เราจะใช้ยาตัวใด มันขึ้นกับระดับความดันโลหิตว่า มันสูงขนาดใด
และยาที่ใช้ในการรักษา อาจเป็นตัวเดียว หรือหลายตัวก็ได้
ที่สำคัญ ขึ้นกับความชอบของแต่ละท่าน (แพทย์) อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม คนที่มีความดันโลหิตสูง หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันสูง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ (lifestyle changes) ของท่าน
สามารถทำให้ความดันโลหิอยุ่ภายใต้การควบคุมของท่านได้
ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะเริ่มรับการรักษาโรคความดันโลหิตสูง
ท่านควรทำความเข้าใจกับ “ทางเลือก” ต่าง ๆ ต่อไปดู
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต (Lifestyle changes)หรือ "ลีลาชีวิต"
ไม่ว่าท่านจะอยู่บนเส้นทางของการเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่ (prehypertension)
หรือคุณมีโรคความดันโลหิตสูงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ท่านสามารถรับประโยชน์จากการปรับเปลี่ยน “ลีลาชีวิต” ท่านได้
ซึ่งมันสามารถลดความดัน...ของท่านได้
คนที่อยู่บนเส้นทางของการเป็นโรคความดัน เมื่อเขาคนนั้นปล่อยให้ความดันโลหิต-
เลขตัวบน (systolic) มีค่าระหว่าง 120 ถึง 139 mm Hg
เลขตัวล่าง (diastolic) มีค่าระหว่าง 80 ถึง 89 mm Hg
นั่นถือว่า ท่านอยุ่ในขั้น Pre-hypertension แล้ว
แม้ว่าท่านที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และแพทย์ของท่านได้สั่งยารักษา ให้ท่านรับประทานแล้วก็ตาม
การปรับเปลี่ยนเปลี่ยน “ลีลาชีวิต” ที่ดี ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อท่านได้เช่นกัน
ความจริงมีว่า การปรับเปลี่ยนลีลาชีวิตที่จะกล่าวต่อไปนี้นั้น ไมเพียงแต่ลดระดับความดันโลหิตลงได้
เท่านั้น มันอาจไม่จำเป็นต้องรับประทานยารักษาความดัน...ก็อาจเป็นได้
ซึ่งมีวิธีการปรับเปลี่ยนลีลาชีวิตของท่าน ดังต่อไปนี้:
เลิกสูบบุหรี่
รับประทานอาหารสุขภาพ มุ่งไปที่อาหารประเภทผัก (vegetables) ผลไม้ (fruits)
และไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว รวมไปถึงลดปริมาณของเกลือ (sodium) ลง
รักษา และคงสภาพน้ำหนักตัว อย่าให้มีน้ำหนักเกิน
ออกกำลงกายอย่างสม่ำเสมอ (moderated activity) อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
หรือในกรณีที่ท่านไม่มีเวลา นสามารถแบ่งเป็นสามช่วงได้ ( ครั้งละ 10 นาที รวมเป็น 30 นาทีต่อวัน)
จำกัดปริมาณของเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอลลง
สำหรับท่านที่กำลังจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง (pre-hypertension) หากท่านมีสุขภาพดีเยี่ยม
ท่านไม่จำเป้นต้องรับประทานรักษาลดความดันแต่อย่างใด
แต่หากท่านมีโรคอย่างอื่นร่วมด้ยว เช่น เป็นเบาหวาน เป็นโรคไต หรือเป็นโรคหัใจ
แพทย์อาจแนะนำใหท่านรับประทานยาลดความดัน...
น่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านมากกว่า
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของท่านด้วยละ...
Cont> > Medications options (2)
Possible Interactions with: Calcium
หากท่านกำลังรับประทาน "ยา" อย่างใดอย่างหนึ่ง ...
มีคำแนะนำจาก Maryland university Medical center ให้พิจารณาว่า
อย่าได้รับประทานอาหารเสริมที่มี “แคลเซียม” ร่วมกับยาที่กำลังจะเสนอ
โดยไม่ได้บอกให้แพทย์ได้รับทราบ เพราะผลเสียอาจเกิดขึ้นแก่ท่านได้มากกว่าผลดี
เช่น :
o Alendronate เป็นยาที่แพทย์เขาสั่งให้คนสูงอายุ เพื่อใช้รักษาโรคกระดูกพรุน
หากท่านรับประทานยา “แคลเซียม” ซึ่งส่วนใหญ่ สตรีผู้สูงวัยชอบรับประทานกันเป็นประจำ
สารแคลเซียมที่ให้พร้อมกันนั้น จะไปรบกวนการดูดซึมยา “alendronate”
แทนที่ท่านจะได้รับยา alendronate ในปริมาณที่พียงพอต่อการรักษากระดูกพรุน
ท่านกลับไม่ได้ยาในปริมาณที่พียงพอ เพราะถูกขัดขวางโดยสาร "แคลเซียม" ไปซะนี่
ดังนั้น การที่ท่านจะใช้อาหารที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบด้วยนั้น
ท่านควรรับประทานก่อน หรือหลัง การให้ alendronate อย่างน้อย 2 ชั่วโมง
o ยาลดกรดในกระเพาะ ซึ่งมีสาร aluminum เป็นส่วนประกอบ...
ถ้าท่านรับประทาน calcium citrate ร่วมกับยาลดกรดให้กระเพาะ ซึ่งมีส่วนประสม
ของ aluminum ดังกล่าว สารแคลเซียมจะทำให้มีปริมาณของ aluminum
ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดในปริมาณสูง ซึ่งทำให้เกิดเป็นพิษแก่ร่างกายของท่านได้
จงละเว้นเสีย
o ยาลดความดันโลหิต (Blood pressure medications)
การรับประทานยาในกลุ่ม beta-blocker เช่น “atenolol” ร่วมกับ “แคลเซียม”
จะมีผลกระทบกับปริมาณของสารทั้งสองในกระแสเลือดได้
ได้มีรายงานว่า การรับประทาน “แคลเซียม” และ verpamil ร่วมกัน
จะมีผลกระทบต่อระดับของยาในกระแสเลือดเช่นเดียวกัน
แม้ว่า จะมีข้อโตแย้ง (controversial)ในเรื่องดังกล่าวก็ตามที...
เพื่อความปลอดภัย และเป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเอง
ท่านควรปรึกษาแพทย์ของท่าน
o ยาลดไขมันในเลือด (Cholesterol-lowering medications)...
ยาลดไปไขมันที่เป็นพวก bile acid Sequestrants จะกระทบกับระดับของแคลเซียม
โดยการขับถ่ายออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้มีการสูญเสียแคลเซียมไป
ในกรณีดังกล่าว จึงแนะนำให้ให้มีการเสริมด้วย vitamin D และ แคลเซียมเพิ่มขึ้น
o Corticosteroids....ในกรณีที่ท่านต้องใช้สาร corticosteroids
ในระยะยาว ท่านควรได้รับสารแคลเซียมเสริมด้วยเสมอ
o Digoxin.... เป็นยาที่แพทย์ใช้รักษาโรคหัวใจ (Irregular heart beats)
หากในเลือดมีสารแคลเซียมในปริมาณสูง มันจะเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาเป็นพิษของยา ได้
ในขณะเดียวกัน หากระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ ก็จะทำให้ผลของ digoxin ไม่ดี
ดังนั้น ในกรณีที่ท่านต้องรับประทาน digoxin
แพทย์เขาจะตรวจวัดระดับของแคลเซียมอย่างไกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีดังกล่าว
o Diuretics…ยาขับปัสสาวะชนิดต่าง ๆ ทำปฏิกิริยาในรูปแบบที่แตกต่างกัน
๐ - Thiazide diuretics (hydrochlothiazide) จะเพิ่มระดับแคลเซียมในกระแสเลือด
๐ - Loop diuretics ( furosemide และ bumetanide) สามารถลดระดับแคลเซียมลง
๐ - Potassium-sparing diuretics (Amiloride) จะลดการขับถ่ายแคลเซียมทางปัสสาวะ
โดยเฉพาะในคนไขที่มีนิ้วในไต (kidney stone) เป็นเหตุให้มีแคลเซียมในกระแสเลือดสูง
o Estrogens…estrogen อาจทำให้ระดับของแคลเซียมในกระแสเลือดสูงขึ้น
การให้แคลเซียมร่วมกับ estrogen จะป้นผลดีในแง่ที่ทำให้กระดูกมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น
(เป็นเรื่องดี)
o Gentamycin…การรับประทานแคลเซียมร่วมกับ gentamycin antibiotics
อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อไตได้
o Antibiotics…ปฏิชีวนะชนิดต่างๆ จะมีปฏิกิริยากับแคลเซียมได้:
๐ Quinolone: สารแคลเซียมเอง จะกระทบกับการดูดซึมของ Quinolone antibiotis
(ciprofloxacin , levofloxacin,norfloxacin และ ofloxacin)
ในกรณีที่ท่านต้องใช้ยาดังกล่าว ควรรับประทานให้ห่างออกไปประมาณ 2-4 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังก้ได้
๐ Tetracycline: สารแคลเซียม จะกระทบต่อการดูดซึมยาปฏิชีวนะชนิดนี้เช่นเดียวกัน
ควรรับประทานแคลเซียมห่างจากยา tetracycline 2 – 4 ชั่วโมง (ก่อน หรือหลัง)
o Anti-seizers medications…
ยาที่นำมาใช้รักษาอาการชัก เช่น phenytoin (Dilantin) carbamazepine,
Phenobarbital และ primodol อาจลดระดับของแคลเซียมในร่างกายลง
ในกรณีที่ต้องได้รับยาพวก anti-seizers แพทย์มักจะให้สารแคลเซียมร่วมด้วยเสมอ
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ระดับของแคลเซียมลดลง และควรให้ห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
เพราะมันกระทบกับการดูดซึมซึ่งกันและกันได้
www.umm.edu/altmed/article/calcium-000945.htm
มีคำแนะนำจาก Maryland university Medical center ให้พิจารณาว่า
อย่าได้รับประทานอาหารเสริมที่มี “แคลเซียม” ร่วมกับยาที่กำลังจะเสนอ
โดยไม่ได้บอกให้แพทย์ได้รับทราบ เพราะผลเสียอาจเกิดขึ้นแก่ท่านได้มากกว่าผลดี
เช่น :
o Alendronate เป็นยาที่แพทย์เขาสั่งให้คนสูงอายุ เพื่อใช้รักษาโรคกระดูกพรุน
หากท่านรับประทานยา “แคลเซียม” ซึ่งส่วนใหญ่ สตรีผู้สูงวัยชอบรับประทานกันเป็นประจำ
สารแคลเซียมที่ให้พร้อมกันนั้น จะไปรบกวนการดูดซึมยา “alendronate”
แทนที่ท่านจะได้รับยา alendronate ในปริมาณที่พียงพอต่อการรักษากระดูกพรุน
ท่านกลับไม่ได้ยาในปริมาณที่พียงพอ เพราะถูกขัดขวางโดยสาร "แคลเซียม" ไปซะนี่
ดังนั้น การที่ท่านจะใช้อาหารที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบด้วยนั้น
ท่านควรรับประทานก่อน หรือหลัง การให้ alendronate อย่างน้อย 2 ชั่วโมง
o ยาลดกรดในกระเพาะ ซึ่งมีสาร aluminum เป็นส่วนประกอบ...
ถ้าท่านรับประทาน calcium citrate ร่วมกับยาลดกรดให้กระเพาะ ซึ่งมีส่วนประสม
ของ aluminum ดังกล่าว สารแคลเซียมจะทำให้มีปริมาณของ aluminum
ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดในปริมาณสูง ซึ่งทำให้เกิดเป็นพิษแก่ร่างกายของท่านได้
จงละเว้นเสีย
o ยาลดความดันโลหิต (Blood pressure medications)
การรับประทานยาในกลุ่ม beta-blocker เช่น “atenolol” ร่วมกับ “แคลเซียม”
จะมีผลกระทบกับปริมาณของสารทั้งสองในกระแสเลือดได้
ได้มีรายงานว่า การรับประทาน “แคลเซียม” และ verpamil ร่วมกัน
จะมีผลกระทบต่อระดับของยาในกระแสเลือดเช่นเดียวกัน
แม้ว่า จะมีข้อโตแย้ง (controversial)ในเรื่องดังกล่าวก็ตามที...
เพื่อความปลอดภัย และเป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเอง
ท่านควรปรึกษาแพทย์ของท่าน
o ยาลดไขมันในเลือด (Cholesterol-lowering medications)...
ยาลดไปไขมันที่เป็นพวก bile acid Sequestrants จะกระทบกับระดับของแคลเซียม
โดยการขับถ่ายออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้มีการสูญเสียแคลเซียมไป
ในกรณีดังกล่าว จึงแนะนำให้ให้มีการเสริมด้วย vitamin D และ แคลเซียมเพิ่มขึ้น
o Corticosteroids....ในกรณีที่ท่านต้องใช้สาร corticosteroids
ในระยะยาว ท่านควรได้รับสารแคลเซียมเสริมด้วยเสมอ
o Digoxin.... เป็นยาที่แพทย์ใช้รักษาโรคหัวใจ (Irregular heart beats)
หากในเลือดมีสารแคลเซียมในปริมาณสูง มันจะเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาเป็นพิษของยา ได้
ในขณะเดียวกัน หากระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ ก็จะทำให้ผลของ digoxin ไม่ดี
ดังนั้น ในกรณีที่ท่านต้องรับประทาน digoxin
แพทย์เขาจะตรวจวัดระดับของแคลเซียมอย่างไกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีดังกล่าว
o Diuretics…ยาขับปัสสาวะชนิดต่าง ๆ ทำปฏิกิริยาในรูปแบบที่แตกต่างกัน
๐ - Thiazide diuretics (hydrochlothiazide) จะเพิ่มระดับแคลเซียมในกระแสเลือด
๐ - Loop diuretics ( furosemide และ bumetanide) สามารถลดระดับแคลเซียมลง
๐ - Potassium-sparing diuretics (Amiloride) จะลดการขับถ่ายแคลเซียมทางปัสสาวะ
โดยเฉพาะในคนไขที่มีนิ้วในไต (kidney stone) เป็นเหตุให้มีแคลเซียมในกระแสเลือดสูง
o Estrogens…estrogen อาจทำให้ระดับของแคลเซียมในกระแสเลือดสูงขึ้น
การให้แคลเซียมร่วมกับ estrogen จะป้นผลดีในแง่ที่ทำให้กระดูกมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น
(เป็นเรื่องดี)
o Gentamycin…การรับประทานแคลเซียมร่วมกับ gentamycin antibiotics
อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อไตได้
o Antibiotics…ปฏิชีวนะชนิดต่างๆ จะมีปฏิกิริยากับแคลเซียมได้:
๐ Quinolone: สารแคลเซียมเอง จะกระทบกับการดูดซึมของ Quinolone antibiotis
(ciprofloxacin , levofloxacin,norfloxacin และ ofloxacin)
ในกรณีที่ท่านต้องใช้ยาดังกล่าว ควรรับประทานให้ห่างออกไปประมาณ 2-4 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังก้ได้
๐ Tetracycline: สารแคลเซียม จะกระทบต่อการดูดซึมยาปฏิชีวนะชนิดนี้เช่นเดียวกัน
ควรรับประทานแคลเซียมห่างจากยา tetracycline 2 – 4 ชั่วโมง (ก่อน หรือหลัง)
o Anti-seizers medications…
ยาที่นำมาใช้รักษาอาการชัก เช่น phenytoin (Dilantin) carbamazepine,
Phenobarbital และ primodol อาจลดระดับของแคลเซียมในร่างกายลง
ในกรณีที่ต้องได้รับยาพวก anti-seizers แพทย์มักจะให้สารแคลเซียมร่วมด้วยเสมอ
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ระดับของแคลเซียมลดลง และควรให้ห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
เพราะมันกระทบกับการดูดซึมซึ่งกันและกันได้
www.umm.edu/altmed/article/calcium-000945.htm
Calcium channel Blockers: Types (2)
เป็นที่ทราบกันว่า ยาในกลุ่ม calcium channel blockers ถุกนำมาใช้รักษา
ภาวะเจ็บหน้าอก (angina) โรคความดัน (hypertension) และการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
(arrhythmia) เช่นรายที่เป็น supraventicular tachycardia
ยาในกลุ่มนี้ ถูกแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้:
o Dihydropyridines
ยาในกลุ่มนี้ หรือประเภทนี้ มีเป้าหมายในการออกฤทธิ์อยู่ที่กล้ามเนื้อของหัวใจ
เพื่อหวังผลในการลดความดันลง และลดความดันภายในเส้นเลือดทั่วร่างกาย
เป็นยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง (hypertension)
แต่ประสิทธิภาพในการรักษาอาการเจ็บหน้าอก (angina) สู้ตัวอื่นไม่ได้
ยาในกลุ่มนี้ มีมากมาย เช่น Amlodipine (norvasc) nifedipine (Adalat)
Felodipine( Pendil)
ทั้งหมดอยู่ในกลุ่ม dihydropyridines มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อของหัวใจทำงานน้อยลง
โดยการขยายหลอดเลือดให้กว้างขึ้น
o Phenylalkylamines
เป็น non-dihydropyridine calcium hannel blockers
ยาในกลุ่มนี้ ออกฤทธิ์โดยตรงที่กล้ามเนื้อหัวใจเลยทีเดียว
และมีผลต่อการขยายเส้นเลือดน้อย
ถูกนำมาใช้รักษาอาการเจ็บหน้าอก (angina) ซึ่งสาเหตุจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
การเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ (arrhythmia)
ยาในกลุ่มนี้ (Phyenylalkylamines) ได้แก่ Verapamil(Calan SR)
Isoptin
ยาตัวนี้ ไม่ควรให้ในรายที่มีความดันต่ำ (hypotension)
หรือในรายที่เกิดภาวะหัวกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาไม่นาน (recent heart attack)
o Benzothiazepines
Diltazem เป็นยาที่สามารถทำงานได้เหมือนกับ verapamil และ nifedipine รวมกัน
ซึ่งมีฤทธิ์ทั้งลดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac depressant) และ
ทำให้เส้นเลือดขยายตัว
เป็นยาที่นำมาใช้รักษาคนไข้ที่มีภาวะเจ็บเจ็บหน้าอก (angina) และความดันสูง
สามารถใช้เพียงตัวเดียว หรือใช้ร่วมกับยาตัวอื่น ได้
ฤทธิ์ข้างเคียงของ Dihydropyridine (side effects)
ยาในกลุ่มนี้อาจให้ผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดศีรษะ ความดันโลหิตลดลงมากเกินไป
ทำให้หน้าแดง (flushing) บวม หัวใจเต้นเร็ว
ข้อควรระวัง:
เมื่อมีการใช้ยาร่วมกับกับยาหัวใจตัวอื่น ๆ เช่น Beta-blocker และ ranitidine
เราอาจจำเป็นต้อง
มีการปรับขนาดของยา เพื่อหลีกเลี่ยงปริมาณของยามากเกินไป
Non-hydropyridine verapamil
ไม่ควรใช้ในคนไข้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) หรือหัวใจเต้นช้า (bradycardia)
ในรายที่ได้รับ beta-blokers อยู่แล้ว อาจจำเป็นต้องลดขนาด (dose) ของ verapamil ลง
ห้ามรับประทานน้ำอะงุ่นร่วมกับ verapamil มันทำปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงรค์ขึ้นได้
Non-hydropyridines Diltiazem
ไม่ควรใช้ยาตัวนี้ในคนไข้ที่มี Ventricular tachycardia หรือในรายที่เพิ่งเกิดโรคกล้ามเนื้อ
หัวใจขาดเลือด (heart attack) หรือคนไข้ที่เป็น sik sinus syndrome
(เป็นกลุ่มโรค ที่มีคลื่นหัวใจผิดปกติ (heart rhythm)
WWW. Livestrong.com/article/74139-types-calcium-channel-blocker/
ภาวะเจ็บหน้าอก (angina) โรคความดัน (hypertension) และการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
(arrhythmia) เช่นรายที่เป็น supraventicular tachycardia
ยาในกลุ่มนี้ ถูกแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้:
o Dihydropyridines
ยาในกลุ่มนี้ หรือประเภทนี้ มีเป้าหมายในการออกฤทธิ์อยู่ที่กล้ามเนื้อของหัวใจ
เพื่อหวังผลในการลดความดันลง และลดความดันภายในเส้นเลือดทั่วร่างกาย
เป็นยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง (hypertension)
แต่ประสิทธิภาพในการรักษาอาการเจ็บหน้าอก (angina) สู้ตัวอื่นไม่ได้
ยาในกลุ่มนี้ มีมากมาย เช่น Amlodipine (norvasc) nifedipine (Adalat)
Felodipine( Pendil)
ทั้งหมดอยู่ในกลุ่ม dihydropyridines มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อของหัวใจทำงานน้อยลง
โดยการขยายหลอดเลือดให้กว้างขึ้น
o Phenylalkylamines
เป็น non-dihydropyridine calcium hannel blockers
ยาในกลุ่มนี้ ออกฤทธิ์โดยตรงที่กล้ามเนื้อหัวใจเลยทีเดียว
และมีผลต่อการขยายเส้นเลือดน้อย
ถูกนำมาใช้รักษาอาการเจ็บหน้าอก (angina) ซึ่งสาเหตุจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
การเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ (arrhythmia)
ยาในกลุ่มนี้ (Phyenylalkylamines) ได้แก่ Verapamil(Calan SR)
Isoptin
ยาตัวนี้ ไม่ควรให้ในรายที่มีความดันต่ำ (hypotension)
หรือในรายที่เกิดภาวะหัวกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาไม่นาน (recent heart attack)
o Benzothiazepines
Diltazem เป็นยาที่สามารถทำงานได้เหมือนกับ verapamil และ nifedipine รวมกัน
ซึ่งมีฤทธิ์ทั้งลดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac depressant) และ
ทำให้เส้นเลือดขยายตัว
เป็นยาที่นำมาใช้รักษาคนไข้ที่มีภาวะเจ็บเจ็บหน้าอก (angina) และความดันสูง
สามารถใช้เพียงตัวเดียว หรือใช้ร่วมกับยาตัวอื่น ได้
ฤทธิ์ข้างเคียงของ Dihydropyridine (side effects)
ยาในกลุ่มนี้อาจให้ผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดศีรษะ ความดันโลหิตลดลงมากเกินไป
ทำให้หน้าแดง (flushing) บวม หัวใจเต้นเร็ว
ข้อควรระวัง:
เมื่อมีการใช้ยาร่วมกับกับยาหัวใจตัวอื่น ๆ เช่น Beta-blocker และ ranitidine
เราอาจจำเป็นต้อง
มีการปรับขนาดของยา เพื่อหลีกเลี่ยงปริมาณของยามากเกินไป
Non-hydropyridine verapamil
ไม่ควรใช้ในคนไข้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) หรือหัวใจเต้นช้า (bradycardia)
ในรายที่ได้รับ beta-blokers อยู่แล้ว อาจจำเป็นต้องลดขนาด (dose) ของ verapamil ลง
ห้ามรับประทานน้ำอะงุ่นร่วมกับ verapamil มันทำปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงรค์ขึ้นได้
Non-hydropyridines Diltiazem
ไม่ควรใช้ยาตัวนี้ในคนไข้ที่มี Ventricular tachycardia หรือในรายที่เพิ่งเกิดโรคกล้ามเนื้อ
หัวใจขาดเลือด (heart attack) หรือคนไข้ที่เป็น sik sinus syndrome
(เป็นกลุ่มโรค ที่มีคลื่นหัวใจผิดปกติ (heart rhythm)
WWW. Livestrong.com/article/74139-types-calcium-channel-blocker/
Hypertension : Calcium channel blockers(1)
Calcium Channel Blockers หรือเรียกอีกชื่อว่า Calcium antagonist
เป็นยาที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคหลายอย่าง
เป็นต้นว่า ความดันโลหิตสูง โรคไมเกรน (migraine)
ยาในกลุ่ม calcium channel antagonsists ทำหน้าที่จะปิดกั้น
ไม่ให้ “แคลเซียม” ผ่านเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ และเซลล์ของผนังเส้นเลือดได้
ผลจากการกระทำดังกล่าว จะทำให้ความดันโลหิตลดลง
โดยที่กล้ามเนื้อของผนังเส้นเส้นเลือดจะเกิดการผ่อนคลาย
ทำให้เส้นเลือดขยายตัว รูกว้างขึ้น (dilate) ทำให้เลือดวิ่งผ่านได้โดยง่าย
มียาบางตัวในกลุ่ม calcium antagonists สามารถลดอัตราการเต้นของหัวใจลง
เป็นการเสริมให้มีการลดระดับความดัน ลดอาการเจ็บหน้าอก (chest pain)
และลดการเต้นผิดปกติของหัวใจ (arrhythmia)
มียาหลายตัวที่เราควรรู้ ได้แก่:
Amlodipine(Norvasc):
ยาตัวนี้ มีบทบาทในการทำให้เส้นเลือดขยายตัว และลดความดันโลหิตลงแล้ว
มันยังช่;ยลดอาการเจ็บหน้าอก (angina) ได้ด้วย
ยาตัวนี้ใช้รับประทานวันละครั้ง
มีฤทธืข้างเคียง ได้แก่ ทำให้ปวดศีรษะ (headache) วิงเวียน (dizziness)
คลื่นไส้ (nausea)
และทำให้เกิดมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อได้
Felodipine (Plendil):
ยาตัวนี้ทำงานแตกต่างจาก amlodipine เล็กน้อย
แทนที่มันจะไปทำให้เส้นเลือดขยายตัว มันกลับไปทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานน้อยลง
โดยการบีบตัว (contraction) ช้าลง
นอกจากนั้น มันยังทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยลดความดันโลหิตอีกทางหนึ่ง
ขนาดของยา ที่รับใช้รักษา คือ 2.5 – 10 mg วันละหนึ่งครั้ง
ผลข้างเคียงของยาตัวนี้ มีกคล้ายๆ กับของ amlodipine
คือ ทำให้ปวดศีรษะ รู้สึกไม่มีแรง วิงเวียน และ ปวดท้อง (stomach upset)
Nicardipine (Cardene):
ยาตัวนี้ ลดระดับของความดันโลหิตลงด้วยการคลาย (relax)กล้ามเนื้อของผนังเส้นเลือด
ทำให้เส้นเลือดขยายตัว ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ซึ่งเป็นยาในรูปเม็ดรับประทาน มีในรูปที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์ ใช้รับประทานวันละครั้ง
ผลเสียของยา ทำให้เกิดอาการปวดหัว อ่อนหล้า นอนไม่หลับ และทำให้ปัสสาวะบ่อย
Verapamil (Calan Verelan):
ยาตัวนี้ ไม่เพียงแต่ใช้ลดความดันเท่านั้น
มันยังถุกใช้เพื่อลดอาการเจ็บหน้าอก (angina)
และใช้รักษาการเต้นของหัวใจที่ผิดปรกติบางชนิด (arrhythmia))
เป็นยาที่ออกมาในรูปของแคปซูล ห้ามทำให้แตก หรือบด
ผลเสียจากยาตัวนี้ ทำให้ปวดหัว วิงเวียน คลื่นไส้ และท้องผูก
www.livestrong.com/article/73553-list-calcium-channel-blocker-medicine-for-blood-pressure/
Cont. > (2)
เป็นยาที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคหลายอย่าง
เป็นต้นว่า ความดันโลหิตสูง โรคไมเกรน (migraine)
ยาในกลุ่ม calcium channel antagonsists ทำหน้าที่จะปิดกั้น
ไม่ให้ “แคลเซียม” ผ่านเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ และเซลล์ของผนังเส้นเลือดได้
ผลจากการกระทำดังกล่าว จะทำให้ความดันโลหิตลดลง
โดยที่กล้ามเนื้อของผนังเส้นเส้นเลือดจะเกิดการผ่อนคลาย
ทำให้เส้นเลือดขยายตัว รูกว้างขึ้น (dilate) ทำให้เลือดวิ่งผ่านได้โดยง่าย
มียาบางตัวในกลุ่ม calcium antagonists สามารถลดอัตราการเต้นของหัวใจลง
เป็นการเสริมให้มีการลดระดับความดัน ลดอาการเจ็บหน้าอก (chest pain)
และลดการเต้นผิดปกติของหัวใจ (arrhythmia)
มียาหลายตัวที่เราควรรู้ ได้แก่:
Amlodipine(Norvasc):
ยาตัวนี้ มีบทบาทในการทำให้เส้นเลือดขยายตัว และลดความดันโลหิตลงแล้ว
มันยังช่;ยลดอาการเจ็บหน้าอก (angina) ได้ด้วย
ยาตัวนี้ใช้รับประทานวันละครั้ง
มีฤทธืข้างเคียง ได้แก่ ทำให้ปวดศีรษะ (headache) วิงเวียน (dizziness)
คลื่นไส้ (nausea)
และทำให้เกิดมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อได้
Felodipine (Plendil):
ยาตัวนี้ทำงานแตกต่างจาก amlodipine เล็กน้อย
แทนที่มันจะไปทำให้เส้นเลือดขยายตัว มันกลับไปทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานน้อยลง
โดยการบีบตัว (contraction) ช้าลง
นอกจากนั้น มันยังทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยลดความดันโลหิตอีกทางหนึ่ง
ขนาดของยา ที่รับใช้รักษา คือ 2.5 – 10 mg วันละหนึ่งครั้ง
ผลข้างเคียงของยาตัวนี้ มีกคล้ายๆ กับของ amlodipine
คือ ทำให้ปวดศีรษะ รู้สึกไม่มีแรง วิงเวียน และ ปวดท้อง (stomach upset)
Nicardipine (Cardene):
ยาตัวนี้ ลดระดับของความดันโลหิตลงด้วยการคลาย (relax)กล้ามเนื้อของผนังเส้นเลือด
ทำให้เส้นเลือดขยายตัว ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ซึ่งเป็นยาในรูปเม็ดรับประทาน มีในรูปที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์ ใช้รับประทานวันละครั้ง
ผลเสียของยา ทำให้เกิดอาการปวดหัว อ่อนหล้า นอนไม่หลับ และทำให้ปัสสาวะบ่อย
Verapamil (Calan Verelan):
ยาตัวนี้ ไม่เพียงแต่ใช้ลดความดันเท่านั้น
มันยังถุกใช้เพื่อลดอาการเจ็บหน้าอก (angina)
และใช้รักษาการเต้นของหัวใจที่ผิดปรกติบางชนิด (arrhythmia))
เป็นยาที่ออกมาในรูปของแคปซูล ห้ามทำให้แตก หรือบด
ผลเสียจากยาตัวนี้ ทำให้ปวดหัว วิงเวียน คลื่นไส้ และท้องผูก
www.livestrong.com/article/73553-list-calcium-channel-blocker-medicine-for-blood-pressure/
Cont. > (2)
วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554
Beta-blockers: Are there differences between beta-blockers?
Beta-blockers อีกชื่อเรียกว่า beta-adrenergic blocking agents
ซึ่งมีฤทธิ์ในการปิดกั้นการทำงานของ norepinephrine และ epinephrine (สารสื่อประสาท)
โดยการไปจับตัวกับเซลล์ที่เป็น beta-receptors ไม่ให้สารสื่อประสาททำงาน
และกระต้นุให้หัวใจ และเส้นเลือดได้
Beta-receptors มีด้วยกัน 3 ชนิด ทำหน้าที่เกี่ยวกับร่างกายหลายอย่าง ขึ้นกับตำแหน่งที่มันอยู่
• Beta-1 receptors อยู่ที่กล้ามเนื้อหัวใจ ตา และไตทั้งสอง
• Beta-2 receptors พบได้ที่ปอด กระเพาะขลำไส้ ตับ และมดลูก เส้นเลือด กล้ามเนื้อลาย
• Beta-3 receptors พบได้ที่เซลล์ของไขมัน
งานหลักของ beta-blockers คือ ทำการปิดกั้น beta-1 และ beta-2
โดยปิดกั้น (block) ผลที่จะเกิดจาก norepinephrine และ epinephrine
Beta-blockers จะลดอัตราการเต้นของหัวใจ (heart rate)
ลดระดับของความดันโลหิตลง โดยการทำให้เส้นเลือดขยายตัว
และอาจทำให้หลอดลมหดตัว ด้วยการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อ
ที่อยู่รอบหลอดลมให้มีการบีบตัว (contract)
มียาหลายตัว ที่เรานำมาใช้ในการรักษาคนไข้ แต่ละตัวจะจับ beta receptors
ต่างชนิดเพื่อปิดกั้นการทำงานของมัน
ดังนั้นผลที่เกิดจึงแตกต่างกัน ดังนี้
o Non-selective beta blockers เช่น propanolol (inderal)
มันจะไปจับตัวกับ Beta-1 และ beta-2 receptors (จับเพื่อปิดกั้น)
ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ เส้นเลือด และหลอดลม
o Selective beta blockers หมายถึงการจับตัวกับ beta 1 receptors
โดยเฉพาะเท่านั้น ดังนั้น มันจึงมีผลเฉพาะต่อหัวใจเท่านั้น
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ metoprolol (Lopressor,ToprolXL)
o Beta blockers บางตัว เช่น pindolol (Visken)
มี intrinsic sympathetic activity
ซึ่งมีผลเลียนแบบฤทธืของ epinephrine & norepinephrine
ทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และทำหัวใจเต้นเร็ว...
o Labetalol (Normadyne) และ carvedilol (Coreg)
มันจะปิดกั้นด้วยการจับ Beta receptors และ alpha -1 blockers
การปิดกั้น alpha -1 receptors จะช่วยเพิ่มการขยายตัวของเส้นเลือด
Drugs interactions:
o Propanolol เมื่อใช้ร่วมกับ thioridazine (Mellaril)
หรือ chlorpromazine (Thorazine)อาจทำให้ความดันโลหิตสลดต่ำลง (hypotension)
และทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ (arrhythmia)
ทั้งนี้เพราะ ยkทั้งหลายมันทำปฏิกิริยาต่อกันในด้านกรขจัดทิ้งออกจากกาย
เป็นเหตุให้มียาในกระแสเลือดสูง
o Clonidine (Catapres) ร่วมกับ beta blocker
ให้ระมัดระวังมนระยะเริ่มการให้ยา และหลังจากหยุดยาตัวใดตัวหนึ่ง
o Phenobarbital เมื่อใช้ร่วมกันกับ beta blocker
มันสามารถเพิ่มการแตกสลาย (breakdown) และ ทำให้ระดับของยา propanolol
และ metaprolol ลดลงได้ ทำให้ผลที่พึงได้จากยาทั้งสองลดลง
o Aspirin และ NSAIDs เมื่อใช้ร่วมกับ beta-blockers
สามารถลดฤทธิ์ของ beta-blcoker ลงได้ ทั้งนี้เป็นเพราะ ยาดังกล่าวไปลดผล
ที่เกิดจาก prostaglandins ลง
เป็นที่รู้กันว่า prostaglandins มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมความดันของโลหิต
www.medicinenet.com/beta-blockers/page2.htm
ซึ่งมีฤทธิ์ในการปิดกั้นการทำงานของ norepinephrine และ epinephrine (สารสื่อประสาท)
โดยการไปจับตัวกับเซลล์ที่เป็น beta-receptors ไม่ให้สารสื่อประสาททำงาน
และกระต้นุให้หัวใจ และเส้นเลือดได้
Beta-receptors มีด้วยกัน 3 ชนิด ทำหน้าที่เกี่ยวกับร่างกายหลายอย่าง ขึ้นกับตำแหน่งที่มันอยู่
• Beta-1 receptors อยู่ที่กล้ามเนื้อหัวใจ ตา และไตทั้งสอง
• Beta-2 receptors พบได้ที่ปอด กระเพาะขลำไส้ ตับ และมดลูก เส้นเลือด กล้ามเนื้อลาย
• Beta-3 receptors พบได้ที่เซลล์ของไขมัน
งานหลักของ beta-blockers คือ ทำการปิดกั้น beta-1 และ beta-2
โดยปิดกั้น (block) ผลที่จะเกิดจาก norepinephrine และ epinephrine
Beta-blockers จะลดอัตราการเต้นของหัวใจ (heart rate)
ลดระดับของความดันโลหิตลง โดยการทำให้เส้นเลือดขยายตัว
และอาจทำให้หลอดลมหดตัว ด้วยการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อ
ที่อยู่รอบหลอดลมให้มีการบีบตัว (contract)
มียาหลายตัว ที่เรานำมาใช้ในการรักษาคนไข้ แต่ละตัวจะจับ beta receptors
ต่างชนิดเพื่อปิดกั้นการทำงานของมัน
ดังนั้นผลที่เกิดจึงแตกต่างกัน ดังนี้
o Non-selective beta blockers เช่น propanolol (inderal)
มันจะไปจับตัวกับ Beta-1 และ beta-2 receptors (จับเพื่อปิดกั้น)
ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ เส้นเลือด และหลอดลม
o Selective beta blockers หมายถึงการจับตัวกับ beta 1 receptors
โดยเฉพาะเท่านั้น ดังนั้น มันจึงมีผลเฉพาะต่อหัวใจเท่านั้น
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ metoprolol (Lopressor,ToprolXL)
o Beta blockers บางตัว เช่น pindolol (Visken)
มี intrinsic sympathetic activity
ซึ่งมีผลเลียนแบบฤทธืของ epinephrine & norepinephrine
ทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และทำหัวใจเต้นเร็ว...
o Labetalol (Normadyne) และ carvedilol (Coreg)
มันจะปิดกั้นด้วยการจับ Beta receptors และ alpha -1 blockers
การปิดกั้น alpha -1 receptors จะช่วยเพิ่มการขยายตัวของเส้นเลือด
Drugs interactions:
o Propanolol เมื่อใช้ร่วมกับ thioridazine (Mellaril)
หรือ chlorpromazine (Thorazine)อาจทำให้ความดันโลหิตสลดต่ำลง (hypotension)
และทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ (arrhythmia)
ทั้งนี้เพราะ ยkทั้งหลายมันทำปฏิกิริยาต่อกันในด้านกรขจัดทิ้งออกจากกาย
เป็นเหตุให้มียาในกระแสเลือดสูง
o Clonidine (Catapres) ร่วมกับ beta blocker
ให้ระมัดระวังมนระยะเริ่มการให้ยา และหลังจากหยุดยาตัวใดตัวหนึ่ง
o Phenobarbital เมื่อใช้ร่วมกันกับ beta blocker
มันสามารถเพิ่มการแตกสลาย (breakdown) และ ทำให้ระดับของยา propanolol
และ metaprolol ลดลงได้ ทำให้ผลที่พึงได้จากยาทั้งสองลดลง
o Aspirin และ NSAIDs เมื่อใช้ร่วมกับ beta-blockers
สามารถลดฤทธิ์ของ beta-blcoker ลงได้ ทั้งนี้เป็นเพราะ ยาดังกล่าวไปลดผล
ที่เกิดจาก prostaglandins ลง
เป็นที่รู้กันว่า prostaglandins มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมความดันของโลหิต
www.medicinenet.com/beta-blockers/page2.htm
Beta-blocker: ฤทธิ์ข้างเคียง
Beta-blockers มีฤทธิ์ปิดกั้นการทำงานของสาร adrenaline
ที่มีต่อ beta-receptors
ผลที่เกิดจากการปิดกั้นดังกล่าว ทำให้คลื่นประสาทที่เดินทางไปยังหัวใจ "ช้าลง"
เป็นเหตุให้หัวใจทำงานน้อยลง
นอกจากนั้น beta-blockers ยังปิดกั้นคลื่นประสาท (nerve impulses)
ที่ทำให้เกิดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ (arrhythmia) ได้อีกด้วย
ในร่างกายของคนเรามี Beta receptors 2 ชนิดด้วยกัน คือ Beta-1 และ Beta-2
Beta-blockers บางชนิด มีความจำเพาะเจาะจง (selective)
ซึ่งหมายความว่า ยาดังกล่าว สามารถปิดกั้น beta-1 ได้มากกว่า beta-2
Beta-1 มีความรับผิดชอบต่ออัตราการเต้น (heart rate)
และแรงบีบตัวของหัวใจ (heart beat)
สำหรับ Non-selecive beta-blockers มันสามารถปิดกั้นได้ทั้งสองจุด Beta-1 & beta-2
Beta-2 receptors จะรับผิดชอบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบ (smooth muslces)
ฤทธิ์ข้างเคียงของยา beta-blockers:
บางครั้ง ยาที่เราใช้รักษาโรค สามารถทำให้เกิดผลอันไม่พึงปราถนาได้
เราเรียกว่า ฤทธิ์ข้างเคียง หรือ side effects
ที่นำเสนอต่อไปนี้ ไม่ได้ครอบคุมผลข้างเคียงทั้งหมด
ถ้ากหากท่านมีความรู้สึกผิดปกติใดๆ เกิดภายหลังรับประทานยา
ให้บอกแพทย์ทันที...
ฤทธิืข้างเคียงของ beta blockers ที่พบบ่อย ๆ:
# เหมื่อยหล้า (fatigue) หรือ มีอาการง่วงนอน (drowsiness)
# มือ เท้าเย็น (Cold hands and feet)
# กล้ามเนื้ออ่อนแรง และวิงเวียน (weakness and dizziness)
# ปากแห้ง ตาแห้ง ผิวหนังแห้ง (Dry mouth,eye and skin)
ฤทธิืข้างเคียงที่พบเห้นน้อยได้แก่:
# ตะคิวในช่องท้อง (abdomina; cramps)
# อาเจียน (throwing up)
# ท้องล่วง (diarrhea)
# ท้องผูก (constipation)
# ปวดเอว ปวดข้อ (back or joint pain)
# ผื่น (skin rash)
# เจ็บคอ (sore throat)
# ซึทเศร้า (depression)
# ความจำเสื่อม สับสน และเกิดภาพหลอน (memory loss, confustion or halluciatiion)
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อท่านมีอาการผิดปกติใดขึ้น ต้องบอกแพทย์ทันที อย่าหยุดยาโดยพลการ
เพราะการหยุดยา มันสามารถทำให้อาการของท่านเลวลงได้
www.texasheart.org/HIC/Topics?Meds?betameds.cf
ที่มีต่อ beta-receptors
ผลที่เกิดจากการปิดกั้นดังกล่าว ทำให้คลื่นประสาทที่เดินทางไปยังหัวใจ "ช้าลง"
เป็นเหตุให้หัวใจทำงานน้อยลง
นอกจากนั้น beta-blockers ยังปิดกั้นคลื่นประสาท (nerve impulses)
ที่ทำให้เกิดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ (arrhythmia) ได้อีกด้วย
ในร่างกายของคนเรามี Beta receptors 2 ชนิดด้วยกัน คือ Beta-1 และ Beta-2
Beta-blockers บางชนิด มีความจำเพาะเจาะจง (selective)
ซึ่งหมายความว่า ยาดังกล่าว สามารถปิดกั้น beta-1 ได้มากกว่า beta-2
Beta-1 มีความรับผิดชอบต่ออัตราการเต้น (heart rate)
และแรงบีบตัวของหัวใจ (heart beat)
สำหรับ Non-selecive beta-blockers มันสามารถปิดกั้นได้ทั้งสองจุด Beta-1 & beta-2
Beta-2 receptors จะรับผิดชอบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบ (smooth muslces)
ฤทธิ์ข้างเคียงของยา beta-blockers:
บางครั้ง ยาที่เราใช้รักษาโรค สามารถทำให้เกิดผลอันไม่พึงปราถนาได้
เราเรียกว่า ฤทธิ์ข้างเคียง หรือ side effects
ที่นำเสนอต่อไปนี้ ไม่ได้ครอบคุมผลข้างเคียงทั้งหมด
ถ้ากหากท่านมีความรู้สึกผิดปกติใดๆ เกิดภายหลังรับประทานยา
ให้บอกแพทย์ทันที...
ฤทธิืข้างเคียงของ beta blockers ที่พบบ่อย ๆ:
# เหมื่อยหล้า (fatigue) หรือ มีอาการง่วงนอน (drowsiness)
# มือ เท้าเย็น (Cold hands and feet)
# กล้ามเนื้ออ่อนแรง และวิงเวียน (weakness and dizziness)
# ปากแห้ง ตาแห้ง ผิวหนังแห้ง (Dry mouth,eye and skin)
ฤทธิืข้างเคียงที่พบเห้นน้อยได้แก่:
# ตะคิวในช่องท้อง (abdomina; cramps)
# อาเจียน (throwing up)
# ท้องล่วง (diarrhea)
# ท้องผูก (constipation)
# ปวดเอว ปวดข้อ (back or joint pain)
# ผื่น (skin rash)
# เจ็บคอ (sore throat)
# ซึทเศร้า (depression)
# ความจำเสื่อม สับสน และเกิดภาพหลอน (memory loss, confustion or halluciatiion)
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อท่านมีอาการผิดปกติใดขึ้น ต้องบอกแพทย์ทันที อย่าหยุดยาโดยพลการ
เพราะการหยุดยา มันสามารถทำให้อาการของท่านเลวลงได้
www.texasheart.org/HIC/Topics?Meds?betameds.cf
Beta- blockers: How well it works?
ยาในกลุ่ม beta-blockers ถูกนำมาใช้รักษาความดันโลหิตกันอย่างแพร่หลาย
อาจใช้เพียงอย่างเดียว หรือใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น
เช่นยาขับปัสสาวะ(diuretics), ACE inhibitors
หรือ Calcium channel blockers
ยาในกลุ่มนี้ อาจมีประโยชน์ในคนไข้ที่มีอาการเจ็บหน้าอก (angina)
หรือในรายที่หัวใจขาดเลือด (heart attack)
หลอดเลือดหัวใจโป่งพอง(aortic aneurysm)
ปวดศีรษะไมเกรน (migraine)
และโรคทางจิตประสาท (Anxiety disorder)
โดยทั่วไป เขาจะใช้กันอย่างรัดระวังในคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว
หรือในรายที่หัวใจเต้นผิดปกติบางชนิด (certain types of arrhythmia)
ผู้เชี่ยวชาญบางท่าน ได้แนะนำว่า ไม่ควรใชยาตัวนี้รักษาโรคความดันโลหิตของคนสูงอายุ
เพราะยาตัวนี้อาจไปลดปริมาณของเลือด ที่หัวใจปั้มออกไป (Cardiac output)
เมื่อท่านใช้ยากลุ่มนี้เมื่อใด ควรระมัดระวังคนไข้ที่เป็นโรคหืดหอบ (asthma)
โรคหลอดลมโป่งพอง (COPD) หรือในคนที่เป็นตโรคเบาหวาน
ยาบางตัวในกลุ่มดังกล่าว อาจทำให้อาการของคนเป็นโรคหลอดลม มีอาการเลวลง
และอาจกระทบการตอบสนองของร่างกาย ที่มีต่อระดับน้ำตาลที่ลดลงไป
การลดระดับความดันโลหิตลง จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
เช่น หัวใจขาดเลือด (heart attack)
และเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ (stroke)
สำหรับคนที่เคยมีประวัติว่ามีโรคหัวใจขาดเลือด (heart attack) มาก่อน
ยา beta-blockers อาจลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจขาดเลือดครั้งต่อไปได้
Cont. >> (3)
ยาในกลุ่ม beta-blockers ถูกนำมาใช้รักษาความดันโลหิตกันอย่างแพร่หลาย
อาจใช้เพียงอย่างเดียว หรือใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น
เช่นยาขับปัสสาวะ(diuretics), ACE inhibitors
หรือ Calcium channel blockers
ยาในกลุ่มนี้ อาจมีประโยชน์ในคนไข้ที่มีอาการเจ็บหน้าอก (angina)
หรือในรายที่หัวใจขาดเลือด (heart attack)
หลอดเลือดหัวใจโป่งพอง(aortic aneurysm)
ปวดศีรษะไมเกรน (migraine)
และโรคทางจิตประสาท (Anxiety disorder)
โดยทั่วไป เขาจะใช้กันอย่างรัดระวังในคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว
หรือในรายที่หัวใจเต้นผิดปกติบางชนิด (certain types of arrhythmia)
ผู้เชี่ยวชาญบางท่าน ได้แนะนำว่า ไม่ควรใชยาตัวนี้รักษาโรคความดันโลหิตของคนสูงอายุ
เพราะยาตัวนี้อาจไปลดปริมาณของเลือด ที่หัวใจปั้มออกไป (Cardiac output)
เมื่อท่านใช้ยากลุ่มนี้เมื่อใด ควรระมัดระวังคนไข้ที่เป็นโรคหืดหอบ (asthma)
โรคหลอดลมโป่งพอง (COPD) หรือในคนที่เป็นตโรคเบาหวาน
ยาบางตัวในกลุ่มดังกล่าว อาจทำให้อาการของคนเป็นโรคหลอดลม มีอาการเลวลง
และอาจกระทบการตอบสนองของร่างกาย ที่มีต่อระดับน้ำตาลที่ลดลงไป
การลดระดับความดันโลหิตลง จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
เช่น หัวใจขาดเลือด (heart attack)
และเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ (stroke)
สำหรับคนที่เคยมีประวัติว่ามีโรคหัวใจขาดเลือด (heart attack) มาก่อน
ยา beta-blockers อาจลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจขาดเลือดครั้งต่อไปได้
Cont. >> (3)
Hypertension: Beta-blockers (1)
Beta-blockers ยังถูกเรียกว่า beta-adrenergic blocking agents
เป็นสารที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคต่าง ๆ
เช่น โรคความดันโลหิตสูง ต้อหิน (glaucoma) และปวดศีรษะไมเกรน (migraine)
การทำงานของสารตัวนี้ จะไปปิดกั้นการทำงาน epinephrine
ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า Adrenaline
เมื่อท่านรับประทาน beta blockers เข้าไป มันจะทำให้การเต้นของหัวใจลดลง
และยังทำให้ออกแรงน้อยลงด้วย ซึ่งยังผลให้ความดันโลหิตลงไป
นอกจากนี้แล้ว ยาในกลุ่มดังกล่าว ยังช่วยทำให้เส้นเลือดเปิด หรือขยายตัวออก
ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ในการทำงานของ Beta-blocker
มันจะจับตัวกับ beta receptors ที่อยู่บนเส้นประสาทของอวัยวะต่าง ๆ
ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการทำงาน และการควบคุมของอวัยวะนั้น ๆ
Beta-1 receptors จะอยู่ที่หัวใจ ตา และ ไตทังสอง
Beta-2 Receptors จะพบที่ปอด กระเพาะและลำไส้ ตับ
มดลูก เส้นเลือดทั้งหลาย และกล้ามเนื้อ
Bet-3 receptors จะพบทีบริเวณเซลล์ของไขมัน(Fat cells)
ฤทธิ์ของยาในกลุ่ม Beta-blockers มีแตกต่างกันตาม receptors ที่มันไปจับ
ซึ่งมีผลที่ได้แตกต่างกัน ดังนี้:
Non-selective beta blockers, ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ propanolol
มันจะทำหน้าที่ปิดกั้นการทำงานของ Beta-1 และ bet-2 ดังนั้น จึงพบเห็นฤทธิืของ pronpanolol
มีผลกระทบต่อกล้ามเนื้อหัวใจ (heart) เส้นเลือด (Blood vessels) และหลอดลมหายใจ
Selective beta blockers เช่น metoprolol (Lopressor,ToprolXL)
ทำงานโดยตรงที่ Beta-1 receptors
ดังนั้นฤทธิ์ของมันจะกระทำต่อหัวใจ และไม่กระทบต่อทางเดินของลมหายใจ
Some beta blockers เช่น pindolol จะมีฤทธิ์ทาง “ซิมพาเทติก” ซึ่งหมายความว่า
ฤทธิ์ของมันจะคล้ายกับฤทธิ์ของ epinephrine และ nor-epinephrine
ดังนั้น มันจึงทำให้ความดันเพิ่มขึ้น พร้อมกับการเต้นของหัวใจเพิ่มมากขึ้น
Labetalol ( Normodyne) carvedilol (Coreg)
พวกนี้จะสกัด beta receptors และ alpha-1 receptors
และผลจากการปิดกั้น Alpha-1 receptors จะช่วยทำให้เส้นเลือดมีการขยายตัว
Beta blockers มันจะทำงานหลัก โดยสกัดกั้นที่ Beta-1 และ Beta-2 receptors
ซึ่งจะทำการระงับฤทธิ์ของ nor-epinephrine และ epinephrine:
ลดอัตราการเต้นของหัวใจลง (heart rate)
ลดความดันโลหิตลง โดยการทำให้เส้นเลือดขยายตัว (dilating blood vessels)
ทำให้กล้ามเนื้อรอบหลอดลมหดตัว (constrict air passage)
ตัวอย่างของยา ที่ถุกนำมาใช้รักษาความดันโลหิตสูงได้แก่:
Atenolol (Tenormin)
Bisoprolol (Zebeta)
Metoprolol
Nadolol (Corgard)
Nebivolol ๖หะนสรแ
Propranolol (Inderal LA)
Continue >> (2)
เป็นสารที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคต่าง ๆ
เช่น โรคความดันโลหิตสูง ต้อหิน (glaucoma) และปวดศีรษะไมเกรน (migraine)
การทำงานของสารตัวนี้ จะไปปิดกั้นการทำงาน epinephrine
ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า Adrenaline
เมื่อท่านรับประทาน beta blockers เข้าไป มันจะทำให้การเต้นของหัวใจลดลง
และยังทำให้ออกแรงน้อยลงด้วย ซึ่งยังผลให้ความดันโลหิตลงไป
นอกจากนี้แล้ว ยาในกลุ่มดังกล่าว ยังช่วยทำให้เส้นเลือดเปิด หรือขยายตัวออก
ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ในการทำงานของ Beta-blocker
มันจะจับตัวกับ beta receptors ที่อยู่บนเส้นประสาทของอวัยวะต่าง ๆ
ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการทำงาน และการควบคุมของอวัยวะนั้น ๆ
Beta-1 receptors จะอยู่ที่หัวใจ ตา และ ไตทังสอง
Beta-2 Receptors จะพบที่ปอด กระเพาะและลำไส้ ตับ
มดลูก เส้นเลือดทั้งหลาย และกล้ามเนื้อ
Bet-3 receptors จะพบทีบริเวณเซลล์ของไขมัน(Fat cells)
ฤทธิ์ของยาในกลุ่ม Beta-blockers มีแตกต่างกันตาม receptors ที่มันไปจับ
ซึ่งมีผลที่ได้แตกต่างกัน ดังนี้:
Non-selective beta blockers, ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ propanolol
มันจะทำหน้าที่ปิดกั้นการทำงานของ Beta-1 และ bet-2 ดังนั้น จึงพบเห็นฤทธิืของ pronpanolol
มีผลกระทบต่อกล้ามเนื้อหัวใจ (heart) เส้นเลือด (Blood vessels) และหลอดลมหายใจ
Selective beta blockers เช่น metoprolol (Lopressor,ToprolXL)
ทำงานโดยตรงที่ Beta-1 receptors
ดังนั้นฤทธิ์ของมันจะกระทำต่อหัวใจ และไม่กระทบต่อทางเดินของลมหายใจ
Some beta blockers เช่น pindolol จะมีฤทธิ์ทาง “ซิมพาเทติก” ซึ่งหมายความว่า
ฤทธิ์ของมันจะคล้ายกับฤทธิ์ของ epinephrine และ nor-epinephrine
ดังนั้น มันจึงทำให้ความดันเพิ่มขึ้น พร้อมกับการเต้นของหัวใจเพิ่มมากขึ้น
Labetalol ( Normodyne) carvedilol (Coreg)
พวกนี้จะสกัด beta receptors และ alpha-1 receptors
และผลจากการปิดกั้น Alpha-1 receptors จะช่วยทำให้เส้นเลือดมีการขยายตัว
Beta blockers มันจะทำงานหลัก โดยสกัดกั้นที่ Beta-1 และ Beta-2 receptors
ซึ่งจะทำการระงับฤทธิ์ของ nor-epinephrine และ epinephrine:
ลดอัตราการเต้นของหัวใจลง (heart rate)
ลดความดันโลหิตลง โดยการทำให้เส้นเลือดขยายตัว (dilating blood vessels)
ทำให้กล้ามเนื้อรอบหลอดลมหดตัว (constrict air passage)
ตัวอย่างของยา ที่ถุกนำมาใช้รักษาความดันโลหิตสูงได้แก่:
Atenolol (Tenormin)
Bisoprolol (Zebeta)
Metoprolol
Nadolol (Corgard)
Nebivolol ๖หะนสรแ
Propranolol (Inderal LA)
Continue >> (2)
วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554
Constipation : Natural Remedies for Constipation
ได้มีโอกาสดูแลผู้สูงอายุจำนวนหนึ่ง มาพบแพทย์ด้วยปัญหาท้องผูก
คงไม่ต้องอธิบายความให้มากความว่า...มันน่ารำคาญใจให้คนไข้ขนาดไหน?
ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดมีอาการปวดท้อง และรู้สึกไม่สบายแล้ว
ยังทำให้สุขภาพกาย และจิตของเขาเสียไปด้วย
เป็นเรื่องที่เราทุกคนต่างประสบมาด้วยกัน
และเป็นเรื่อที่น่าอาย ที่จะบอกใครได้ทราบเรื่องดังกล่าวได้รับรู้
ในลำไส้ใหญ่ (colon) เป็นบริเวณที่มีเชื้อแบคทีเรีย ทั้งดี (good)และไม่ดี (bad)
อาศัยอยู่พร้อมกับกากอาหารที่เน่าเปลื่อย..เป็นอุจจาระ
หน้าที่ของลำไส้ใหญ่จะทำการขับถ่ายอุจจาระออกทิ้งไปตามธรรมชาติ
ถ้าบังเอิญ ลำไส้ใหญ่ไม่ทำงานได้ตามปกติ
ปล่อยให้เกิดท้องผูกขึ้น
อะไรจะเกิดขึ้น ?
เชื้อแบคทีเรียชนิดดี ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ หากอยู่ในสภาพปกติ
มันจะควบคุมเชื่อแบคทีเรียที่เลว ให้อยู่ภายใต้การควบคุม ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ในทางตรงข้าม เมื่อมีท้องผูกเกิดขึ้น มันจะกลับกัน เชื้อแบคทีเรียที่เลว
จะควบคุมแบคทีเรียที่ดี เป็นเหตุให้สุขภาพของลำไส้เสียไป
เพราะมีสารที่เป็นพิษ (toxins) จำมากมายถูกสร้างขึ้น
ซึ่งมันจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้เกิดมีปัญหาทางสุขภาพต่อไป
การดู แลรักษาตนเองด้วยการซื้อยารับประทานเอง เพื่อรักษาอาการท้องผูก
บางครั้งอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิมได้
มีการนำเอาวิธีทางธรรมชาติ ที่พวกเราทุกคนนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเรา
สามารถทำให้ลำไส้ใหญ่ ทำงานได้เป็นปกติดังเดิมได้
ดังนี้:
ดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ (Drink more water)
คำแนะนำอันแรก คือการดื่มน้ำให้มากเข้าไว้
เมื่อเราปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำไป อาจเป็นสาเหตุให้เกิดท้องผุกขึ้นได้
น้ำเป็น "ยา " ที่มีตามธรรมชาติ สามารถรักษาอาการท้องผูกได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนบางกลุ่ม
โดยเฉพาะคนสูงอายุ มักจะละเลยเรื่องนี้
ดังนั้น จงหัดให้เป็นนิสัยว่า เราจะต้องดื่มน้ำให้มากเข้าไว้
ออกกำลังกาย (Exercise) การออกกำลังกาย
เป็นวิธีเยียวยารักษาโรคท้องผูก ที่คนเราบางคน ชอบมองข้าม ไม่ค่อยจะเห็นความสำคัญ...
เมื่อร่างกายไม่ได้รับการออกกำลังเพียงพอ ผลที่เกิดขึ้น ทำให้ร่างกายทำงานได้ไม่ดี
รวมทั้งกระดับของกระเพาะลำไส้ด้วย
ดังนั้น การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ และมากพอ
ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถเยียวยาโรคท้องผูก ได้เป็นอย่างดี
Prunes and Potassium
เป็นที่ทราบกันมานานว่า ลูกพรุน และ โปแตสเซี่ยม ต่างเป็นยาที่มีตามธรรมชาติ
ที่สามารถรักษาโรคท้องผูกได้เป็นอย่างดี
โปแตสเซี่ยม ช่วยทำให้ผนังของลำไส้แข็งแรงขึ้น (ช่วยให้กล้ามเนื้อเรียบหดตัวดีขึ้น)
ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
ถ้าหากเราไม่สามารถรับประทานอาหารที่มี potassium ในปริมาณที่เพียงพอ
เป็นเหตุทำให้ผนังลำไส้อ่อนแอ...ทำให้กากอาหาร... อุจจาระอุดที่บริเวณลำไส้ใหญ่
ไม่สามารถถูกขับเคลื่อนได้เป็นปกติ
ทำให้เกิดท้องผูกขึ้น (constipation)ในที่สุด
วิธีแก้ไข ง่ายนิดเดียว คือ รับประทานอาหารให้มี potassium ในปริมาณเพิ่มขึ้น
สารดังกล่าว จะช่วยทำให้ลำไส้สามารถทำงานได้ตามปกติต่อไป
ถ้าท่านมีสตางค์มากหน่อย ก็ซื้อหาลูกพรุนมารับประทาน เป็นประจำทุกวัน
หรือ ที่หาได้ง่ายหน่อยรารคาไม่แพงนัก กล้วย และส้ม
ต่างเป็นอาหารที่ให้ โปรแตสเซี่ยมในปริมาณสูงพอ
กาแฟวันละหนึ่งถ้วย (A cup of coffee a day)
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า การดื่มกาแฟ อาจเป็นประโยชน์ต่อการแก้ท้องผูกได้
สาร caffeine สามารถเพิ่มการทำงานของลำไส้ได้ (peristalsis)ดี
โดยมันทำหน้าที่เหมือนยาละบาย (laxative)
มีหลายคนที่บอกว่า กาแฟช่วยการขับถ่ายได้ดี....
สารใยอาหาร (Fiber) การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารเพิ่มขึ้น
เป็นอีกวีธีหนึ่ง ที่ช่วยทำให้การถ่ายอุจจาระดีขึ้น
ซึ่งเราสามารถหาได้จาก ผัก ผลไม้ ธัญพืชทั้งหลาย
อย่าลืมดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อทำช่วยให้ร่างกายดูดซับเอาใยอาหารด้วย
Colon Massage: การนวดลำไส้ใหญ่ เป็นวิธีการหนึ่ง
ซึงไม่ค่อยจะมีคนกล่าวถึงเท่าใดนัก ลำไส้ใหญ่เป็นส่วนสุดท้ายของระบบลำไส้
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีการเกิด “ท้องผูก” ขึ้น
การนวดลำไส้ใหญ่ เป็นวิธีการง่าย (simple)
เป็นการปฏิบัติการณ์ที่คล้อยตามธรรมชาติ
ปลอดภัย และช่วยให้การขับถ่ายอุจจาระได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งมีขั้นตอนตามลับ ดังนี้:
o ให้นอนราบเตียง หรือพื้นราบ ฝ่าเท้าทั้งสองวางแนบพื้น (งอสะโพก และข้อเข่า)
o เริ่มต้นที่ท้องบริเวณด้านขวา บริเวณเหนือสะโพกขวา
ให้ใช้ปลายนิ้วมือทั้งสองกดลงไปที่ท้อง กดให้ลึกที่สุดเท่าที่เราจะยังรู้สึกสบาย
จากนั้นให้มีการให้กดนวดบริเวณดังกล่าว ให้เคลื่อนตามแนววงกลม
จากนั้น ให้ค่อย ๆ ขยับตำแหน่งที่กดนวดขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั้งถึงใต้ชายโครงขวา
แต่ละจุดที่เคลื่อนไป จะมีการนวดตามแนวของวงกลม เป็นการกด-นวด อย่างช้า ๆ
o หลังจากนั้น ให้ค่อย ๆ เคลื่อนตำแหน่งที่กดนวดผ่านตรงไปยังด้านตรงข้ามถึงชายโครงด้านซ้าย
o จากนั้น ให้กดนวดผ่านลงไปยังท้องด้านล่างเหนือสะโพกด้านซ้าย
o ขั้นตอนต่อไป เมื่อนวดตรงบริเวณท้องด้านล่างซ้ายเสร็จ ให้ขยับไปทางด้านขวา 3 นิ้ว
และเคลื่อนต่ำลงอีก 1 นิ้ว...เป็นตำแหน่งสุดท้าย แล้วกดนวดในตำแหน่งดังกล่าว
เป็นการจบการนวดหนึ่งรอบ ให้ทำวันละ 5 – 20 นาที ทุกวัน
ในการนวดลำไส้ใหญ่ (colon massage) ดังกล่าว เป็นการช่วยให้ลำไส้ใหญ่ทำงาน
เหมือนกับการผลักดัน “โค หรือกระบือ “ ที่มันไม่ยอมเดิน (ซึ่งเป็นปัญหาของกระบือมัน)
แต่เราต้องการให้มันเคลื่อนไปข้างหน้า
ทางเดียวที่เราสามารถทำได้ โดยไม่ต้องเฆี่ยนตีมัน คือ ผลักดันมันให้เคลื่อนไปทางด้านหน้า
การนวดลำไส้ใหญ่ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน กับการผลักโคให้เดินไปทางด้านหน้านั่นแหละ
การนวด ก็เป็นการผลักดันให้อุจจาระที่หยุดงักในลำไส้ไหญ่
ให้เคลื่อนผ่านออกไปตามทิศทางที่มันควรจะเป็น
จากการนวดลำไส้ด้วยวิธีดังกล่าว ยังช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือด ในบริเวณลำไส้ดีขึ้น
พร้อมกันนั้น มันยังช่วยให้กล้ามเนื้อของลำไส้ ฟื้นตัวเป็นปกติเหมือนเดิมอีกด้วย
www.medicalsymptominfo.com/natural-remidies-for-xonstipation.html
คงไม่ต้องอธิบายความให้มากความว่า...มันน่ารำคาญใจให้คนไข้ขนาดไหน?
ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดมีอาการปวดท้อง และรู้สึกไม่สบายแล้ว
ยังทำให้สุขภาพกาย และจิตของเขาเสียไปด้วย
เป็นเรื่องที่เราทุกคนต่างประสบมาด้วยกัน
และเป็นเรื่อที่น่าอาย ที่จะบอกใครได้ทราบเรื่องดังกล่าวได้รับรู้
ในลำไส้ใหญ่ (colon) เป็นบริเวณที่มีเชื้อแบคทีเรีย ทั้งดี (good)และไม่ดี (bad)
อาศัยอยู่พร้อมกับกากอาหารที่เน่าเปลื่อย..เป็นอุจจาระ
หน้าที่ของลำไส้ใหญ่จะทำการขับถ่ายอุจจาระออกทิ้งไปตามธรรมชาติ
ถ้าบังเอิญ ลำไส้ใหญ่ไม่ทำงานได้ตามปกติ
ปล่อยให้เกิดท้องผูกขึ้น
อะไรจะเกิดขึ้น ?
เชื้อแบคทีเรียชนิดดี ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ หากอยู่ในสภาพปกติ
มันจะควบคุมเชื่อแบคทีเรียที่เลว ให้อยู่ภายใต้การควบคุม ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ในทางตรงข้าม เมื่อมีท้องผูกเกิดขึ้น มันจะกลับกัน เชื้อแบคทีเรียที่เลว
จะควบคุมแบคทีเรียที่ดี เป็นเหตุให้สุขภาพของลำไส้เสียไป
เพราะมีสารที่เป็นพิษ (toxins) จำมากมายถูกสร้างขึ้น
ซึ่งมันจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้เกิดมีปัญหาทางสุขภาพต่อไป
การดู แลรักษาตนเองด้วยการซื้อยารับประทานเอง เพื่อรักษาอาการท้องผูก
บางครั้งอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิมได้
มีการนำเอาวิธีทางธรรมชาติ ที่พวกเราทุกคนนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเรา
สามารถทำให้ลำไส้ใหญ่ ทำงานได้เป็นปกติดังเดิมได้
ดังนี้:
ดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ (Drink more water)
คำแนะนำอันแรก คือการดื่มน้ำให้มากเข้าไว้
เมื่อเราปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำไป อาจเป็นสาเหตุให้เกิดท้องผุกขึ้นได้
น้ำเป็น "ยา " ที่มีตามธรรมชาติ สามารถรักษาอาการท้องผูกได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนบางกลุ่ม
โดยเฉพาะคนสูงอายุ มักจะละเลยเรื่องนี้
ดังนั้น จงหัดให้เป็นนิสัยว่า เราจะต้องดื่มน้ำให้มากเข้าไว้
ออกกำลังกาย (Exercise) การออกกำลังกาย
เป็นวิธีเยียวยารักษาโรคท้องผูก ที่คนเราบางคน ชอบมองข้าม ไม่ค่อยจะเห็นความสำคัญ...
เมื่อร่างกายไม่ได้รับการออกกำลังเพียงพอ ผลที่เกิดขึ้น ทำให้ร่างกายทำงานได้ไม่ดี
รวมทั้งกระดับของกระเพาะลำไส้ด้วย
ดังนั้น การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ และมากพอ
ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถเยียวยาโรคท้องผูก ได้เป็นอย่างดี
Prunes and Potassium
เป็นที่ทราบกันมานานว่า ลูกพรุน และ โปแตสเซี่ยม ต่างเป็นยาที่มีตามธรรมชาติ
ที่สามารถรักษาโรคท้องผูกได้เป็นอย่างดี
โปแตสเซี่ยม ช่วยทำให้ผนังของลำไส้แข็งแรงขึ้น (ช่วยให้กล้ามเนื้อเรียบหดตัวดีขึ้น)
ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
ถ้าหากเราไม่สามารถรับประทานอาหารที่มี potassium ในปริมาณที่เพียงพอ
เป็นเหตุทำให้ผนังลำไส้อ่อนแอ...ทำให้กากอาหาร... อุจจาระอุดที่บริเวณลำไส้ใหญ่
ไม่สามารถถูกขับเคลื่อนได้เป็นปกติ
ทำให้เกิดท้องผูกขึ้น (constipation)ในที่สุด
วิธีแก้ไข ง่ายนิดเดียว คือ รับประทานอาหารให้มี potassium ในปริมาณเพิ่มขึ้น
สารดังกล่าว จะช่วยทำให้ลำไส้สามารถทำงานได้ตามปกติต่อไป
ถ้าท่านมีสตางค์มากหน่อย ก็ซื้อหาลูกพรุนมารับประทาน เป็นประจำทุกวัน
หรือ ที่หาได้ง่ายหน่อยรารคาไม่แพงนัก กล้วย และส้ม
ต่างเป็นอาหารที่ให้ โปรแตสเซี่ยมในปริมาณสูงพอ
กาแฟวันละหนึ่งถ้วย (A cup of coffee a day)
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า การดื่มกาแฟ อาจเป็นประโยชน์ต่อการแก้ท้องผูกได้
สาร caffeine สามารถเพิ่มการทำงานของลำไส้ได้ (peristalsis)ดี
โดยมันทำหน้าที่เหมือนยาละบาย (laxative)
มีหลายคนที่บอกว่า กาแฟช่วยการขับถ่ายได้ดี....
สารใยอาหาร (Fiber) การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารเพิ่มขึ้น
เป็นอีกวีธีหนึ่ง ที่ช่วยทำให้การถ่ายอุจจาระดีขึ้น
ซึ่งเราสามารถหาได้จาก ผัก ผลไม้ ธัญพืชทั้งหลาย
อย่าลืมดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อทำช่วยให้ร่างกายดูดซับเอาใยอาหารด้วย
Colon Massage: การนวดลำไส้ใหญ่ เป็นวิธีการหนึ่ง
ซึงไม่ค่อยจะมีคนกล่าวถึงเท่าใดนัก ลำไส้ใหญ่เป็นส่วนสุดท้ายของระบบลำไส้
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีการเกิด “ท้องผูก” ขึ้น
การนวดลำไส้ใหญ่ เป็นวิธีการง่าย (simple)
เป็นการปฏิบัติการณ์ที่คล้อยตามธรรมชาติ
ปลอดภัย และช่วยให้การขับถ่ายอุจจาระได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งมีขั้นตอนตามลับ ดังนี้:
o ให้นอนราบเตียง หรือพื้นราบ ฝ่าเท้าทั้งสองวางแนบพื้น (งอสะโพก และข้อเข่า)
o เริ่มต้นที่ท้องบริเวณด้านขวา บริเวณเหนือสะโพกขวา
ให้ใช้ปลายนิ้วมือทั้งสองกดลงไปที่ท้อง กดให้ลึกที่สุดเท่าที่เราจะยังรู้สึกสบาย
จากนั้นให้มีการให้กดนวดบริเวณดังกล่าว ให้เคลื่อนตามแนววงกลม
จากนั้น ให้ค่อย ๆ ขยับตำแหน่งที่กดนวดขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั้งถึงใต้ชายโครงขวา
แต่ละจุดที่เคลื่อนไป จะมีการนวดตามแนวของวงกลม เป็นการกด-นวด อย่างช้า ๆ
o หลังจากนั้น ให้ค่อย ๆ เคลื่อนตำแหน่งที่กดนวดผ่านตรงไปยังด้านตรงข้ามถึงชายโครงด้านซ้าย
o จากนั้น ให้กดนวดผ่านลงไปยังท้องด้านล่างเหนือสะโพกด้านซ้าย
o ขั้นตอนต่อไป เมื่อนวดตรงบริเวณท้องด้านล่างซ้ายเสร็จ ให้ขยับไปทางด้านขวา 3 นิ้ว
และเคลื่อนต่ำลงอีก 1 นิ้ว...เป็นตำแหน่งสุดท้าย แล้วกดนวดในตำแหน่งดังกล่าว
เป็นการจบการนวดหนึ่งรอบ ให้ทำวันละ 5 – 20 นาที ทุกวัน
ในการนวดลำไส้ใหญ่ (colon massage) ดังกล่าว เป็นการช่วยให้ลำไส้ใหญ่ทำงาน
เหมือนกับการผลักดัน “โค หรือกระบือ “ ที่มันไม่ยอมเดิน (ซึ่งเป็นปัญหาของกระบือมัน)
แต่เราต้องการให้มันเคลื่อนไปข้างหน้า
ทางเดียวที่เราสามารถทำได้ โดยไม่ต้องเฆี่ยนตีมัน คือ ผลักดันมันให้เคลื่อนไปทางด้านหน้า
การนวดลำไส้ใหญ่ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน กับการผลักโคให้เดินไปทางด้านหน้านั่นแหละ
การนวด ก็เป็นการผลักดันให้อุจจาระที่หยุดงักในลำไส้ไหญ่
ให้เคลื่อนผ่านออกไปตามทิศทางที่มันควรจะเป็น
จากการนวดลำไส้ด้วยวิธีดังกล่าว ยังช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือด ในบริเวณลำไส้ดีขึ้น
พร้อมกันนั้น มันยังช่วยให้กล้ามเนื้อของลำไส้ ฟื้นตัวเป็นปกติเหมือนเดิมอีกด้วย
www.medicalsymptominfo.com/natural-remidies-for-xonstipation.html
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
Hypertension: ACEI and ARBs combination
ได้เห็นแพทย์ใช้ยา ทำการรักษาคนไข้โรคความดันโลหิตสูง
ทำให้มี “ความอยาก” เกิดขึ้น
อยากเปรียบเทียบว่า การใช้ไม้ (เหล็ก) ตีลูกกอล์ฟ มันเหมือนกับการใช้ยาหรือเปล่า ?
จากการสังเกต พบว่า บางทีก็เหมือนกัน
บางทีไม่....
ยกตัวอย่าง ที่ “แตกต่างกัน” คือ การใช้ยา บางทีแพทย์เขาใช้ยาสองตัวหรือมากกว่า
เพื่อหวังผลให้ยาช่วยออกฤทธิ์
ให้การรักษาบรรลุเป้าหมาย ตามที่ต้องการ
ส่วนการตีกอล์ฟนั้น
เขาใช้เพียงไม้เดียว ตีลูกกอล์ฟในแต่ละครั้ง จะใช้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสมเท่านั้น
ยังไม่เคยเห็นใครใช้ไม้เกินหนึ่งไม้ เพื่อตีลูกแต่ละครั้งเลย
เห็นเพื่อนแพทย์เราใช้ยา ACEI และ ARB ร่วมกัน
เกิดความสงสัย อยากจะถาม....
มองซ้าย และขวา....ไม่รู้จะถามใคร ?
ก็เห็นมีแต่ทาง Online ที่เป็นแหล่ง...ให้เราสามารถศึกษาหาความรู้ได้
นั่นคือที่มาของบทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่ในขณะนี้
ในร่างกายของมนุษย์เรา มีระบบหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญที่จะไม่เอ่ยถึง คงไม่ได้
นั่นคือระบบ Renin – Angiotnesin – system
เพราะระบบนี้มีบทบาทสำคัญ ต่อการทำให้ความดันโลหิตของคนเราสูงขึ้น
Renin เป็นเสารตัวหนึ่งถูกสร้างขึ้นที่ไตด้วยเซลล์ ที่มีชื่อว่า Juxtraglomerular cells
มันทำหน้าทีเปลี่ยน Angiotensionogen ให้เป็น Angiotensin I (A-I)
มันทำแค่นั้น...
จากนั้น เป็นภาระของเอ็นไซม์อีกตัวหนึ่ง ชื่อ Angiotensin Converting enzyme (ACE)
มีหน้าที่สมชื่อของมัน นั่นคือ ทำหน้าที่เปลี่ยนสาร Angiotensin I ให้เป็น Angiotensin II
ซึ่งสารที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นี้ มีบทบาทในการทำให้เส้นเส้นหดตัว...
แต่ ก่อนที่มันจะทำเช่นนั้นได้ มัน (Angiotensin II)จะต้องไปจับกับ
Angiotensin II receptor บนเส้นเลือดเสียก่อน ....
จากนั้น มันจึงจะแสดงฤทธิ์ ทำให้เส้นเลือดหดตัว (vasoconstriction)
ยังผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
มาดูสาร ARBs เมื่อให้แก่คนไข้แล้ว มันทำงานที่ไหน ?
การทำงานของมัน ก็ตรงตามชื่อของมัน นั่นคือ สกัดกั้นไม่ให้ Angiotensin II จับตัวกับ
Angiotensin II receptors บนเส้นเลือดนั่นเอง
จึงทำให้ Angiotensin-II ไม่สามารถทำงานตามที่กล่าวได้
ส่วน ACE inhibitors มันไปออกฤทธิ์ที่เอ็นไซม์ ACE
ไม่ให้มันทำงาน ไม่มีการเปลี่่ยน Angiotensin I ไปเป็น Angiotensin II
คนอื่น เขาคิดเรื่องนี้กันอย่างไร ?
มีหลักฐานรายงานเอาไว้ว่า ACE inhibitors ถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว
(congestive heart failure) แลโรคความดันโลหิตสูง
และเพื่อชะลอไม่ให้มีการสูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะ (proteinuria)
หน้าที่หลักของ ACE inhibitors คือ ยับยั้งการสร้าง Angiotensin II
โดยการสกัดกั้นการทำงานตรงตำแหน่งของ Renin และ Angiotensin I
เป็นเหตุให้มีการสร้าง Angiotensin II น้อยลงไป หรือไม่ให้มีการสร้าง
แต่คนที่ให้ยา ARBs ควบกับ ACE inhibitors
เขามีความเชื่อว่า ACE inhibitors I ไม่สามารถยับยั้งไม่ให้มี Angiotension II
ได้ร้อยเปร์เซนต์แน่ จะต้องมีสารดังกล่าว หลุดออกมาสู่กระโลหิตอย่างแน่นอน
ดังนั้น การให้ ARBs เสริมเข้าไปอีก น่าจะได้ประโยชน์ตรงประเด็นนี้
จากหลักฐานทางคลินิก ที่มีการใช้ ARBs และ ACE inhibitors:
พูดตามทฤษฎีแล้ว...เข้าท่าดีนะ
แต่จากหลักฐานที่มีปรากฏ ยังอ่อนเกินที่จะให้เชื้อเช่นนั้น
เพราะมีหลักฐานที่ดี ทีบ่งบอกว่า การใช้ ACE inhibitorอย่างเดียวรักษาโรคหลายโรค
(multiple diseses) ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่พอใจ
จึงเกิดมีคำถามขึ้นว่า จำเป็นด้วยหรือที่ต้องเพิ่มยา ARBs ให้แก่คนไข้อีก ?
ในขณะนี้ เป็นที่ยอมรับทางทฤษฎีว่า การให้ยา ARBs ร่วมกับ ACE inhibitors นั้น
นับเป็นเรื่องที่น่าฟังมาก แต่ยังจำเป็น ต้องรอให้มีข้อมูลมากกว่านี้
เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่า มันมีประโยชน์ และปลอดภัยจริง
หลักฐานทางคลินิก เกี่ยวกับการใช้ยาสองกลุ่มรวมกันดังกล่าว
ในคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว ยังอ่อนมาก
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ mortality ของคนไข้ หรือมีน้อยมาก
The American Heart Association, Joint National Committee VII
เขาไม่แนะนำให้ใช้ยาทั้งสองร่วมกัน เพื่อรักษาคนไข้ โดยเขากล่าวว่า
แม้ว่าผลของการรักษาในราย ที่มีการสูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะ (proteinuria)
จะเป็นเรื่องที่น่าประทับใจก็ตาม แต่ข้อมูลเกี่ยวกับการลดอัตราการตายจากโรคยังน้อยเกินไป
สมควรรอผลการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปก่อน
นอกเหนือไปจากนั้น เขากล่าวถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียในการใช้ยาร่วมกัน กับประโยชน์ที่พึงได้รับ
ปรากฏว่า ผลที่ได้ยังไม่ชัดเจนพอที่จะให้ทำเช่นนั้น
ดังนั้น จึงควรใช้ยาเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (ARBs หรือ ACE inhibitors)
จนกว่าจะมีการศึกษาที่สมบูรณ์กว่านี้
www.findarticles.com/p/articles/mi_m0689/is_2_53/ai_113299034/
ทำให้มี “ความอยาก” เกิดขึ้น
อยากเปรียบเทียบว่า การใช้ไม้ (เหล็ก) ตีลูกกอล์ฟ มันเหมือนกับการใช้ยาหรือเปล่า ?
จากการสังเกต พบว่า บางทีก็เหมือนกัน
บางทีไม่....
ยกตัวอย่าง ที่ “แตกต่างกัน” คือ การใช้ยา บางทีแพทย์เขาใช้ยาสองตัวหรือมากกว่า
เพื่อหวังผลให้ยาช่วยออกฤทธิ์
ให้การรักษาบรรลุเป้าหมาย ตามที่ต้องการ
ส่วนการตีกอล์ฟนั้น
เขาใช้เพียงไม้เดียว ตีลูกกอล์ฟในแต่ละครั้ง จะใช้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสมเท่านั้น
ยังไม่เคยเห็นใครใช้ไม้เกินหนึ่งไม้ เพื่อตีลูกแต่ละครั้งเลย
เห็นเพื่อนแพทย์เราใช้ยา ACEI และ ARB ร่วมกัน
เกิดความสงสัย อยากจะถาม....
มองซ้าย และขวา....ไม่รู้จะถามใคร ?
ก็เห็นมีแต่ทาง Online ที่เป็นแหล่ง...ให้เราสามารถศึกษาหาความรู้ได้
นั่นคือที่มาของบทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่ในขณะนี้
ในร่างกายของมนุษย์เรา มีระบบหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญที่จะไม่เอ่ยถึง คงไม่ได้
นั่นคือระบบ Renin – Angiotnesin – system
เพราะระบบนี้มีบทบาทสำคัญ ต่อการทำให้ความดันโลหิตของคนเราสูงขึ้น
Renin เป็นเสารตัวหนึ่งถูกสร้างขึ้นที่ไตด้วยเซลล์ ที่มีชื่อว่า Juxtraglomerular cells
มันทำหน้าทีเปลี่ยน Angiotensionogen ให้เป็น Angiotensin I (A-I)
มันทำแค่นั้น...
จากนั้น เป็นภาระของเอ็นไซม์อีกตัวหนึ่ง ชื่อ Angiotensin Converting enzyme (ACE)
มีหน้าที่สมชื่อของมัน นั่นคือ ทำหน้าที่เปลี่ยนสาร Angiotensin I ให้เป็น Angiotensin II
ซึ่งสารที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นี้ มีบทบาทในการทำให้เส้นเส้นหดตัว...
แต่ ก่อนที่มันจะทำเช่นนั้นได้ มัน (Angiotensin II)จะต้องไปจับกับ
Angiotensin II receptor บนเส้นเลือดเสียก่อน ....
จากนั้น มันจึงจะแสดงฤทธิ์ ทำให้เส้นเลือดหดตัว (vasoconstriction)
ยังผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
มาดูสาร ARBs เมื่อให้แก่คนไข้แล้ว มันทำงานที่ไหน ?
การทำงานของมัน ก็ตรงตามชื่อของมัน นั่นคือ สกัดกั้นไม่ให้ Angiotensin II จับตัวกับ
Angiotensin II receptors บนเส้นเลือดนั่นเอง
จึงทำให้ Angiotensin-II ไม่สามารถทำงานตามที่กล่าวได้
ส่วน ACE inhibitors มันไปออกฤทธิ์ที่เอ็นไซม์ ACE
ไม่ให้มันทำงาน ไม่มีการเปลี่่ยน Angiotensin I ไปเป็น Angiotensin II
คนอื่น เขาคิดเรื่องนี้กันอย่างไร ?
มีหลักฐานรายงานเอาไว้ว่า ACE inhibitors ถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว
(congestive heart failure) แลโรคความดันโลหิตสูง
และเพื่อชะลอไม่ให้มีการสูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะ (proteinuria)
หน้าที่หลักของ ACE inhibitors คือ ยับยั้งการสร้าง Angiotensin II
โดยการสกัดกั้นการทำงานตรงตำแหน่งของ Renin และ Angiotensin I
เป็นเหตุให้มีการสร้าง Angiotensin II น้อยลงไป หรือไม่ให้มีการสร้าง
แต่คนที่ให้ยา ARBs ควบกับ ACE inhibitors
เขามีความเชื่อว่า ACE inhibitors I ไม่สามารถยับยั้งไม่ให้มี Angiotension II
ได้ร้อยเปร์เซนต์แน่ จะต้องมีสารดังกล่าว หลุดออกมาสู่กระโลหิตอย่างแน่นอน
ดังนั้น การให้ ARBs เสริมเข้าไปอีก น่าจะได้ประโยชน์ตรงประเด็นนี้
จากหลักฐานทางคลินิก ที่มีการใช้ ARBs และ ACE inhibitors:
พูดตามทฤษฎีแล้ว...เข้าท่าดีนะ
แต่จากหลักฐานที่มีปรากฏ ยังอ่อนเกินที่จะให้เชื้อเช่นนั้น
เพราะมีหลักฐานที่ดี ทีบ่งบอกว่า การใช้ ACE inhibitorอย่างเดียวรักษาโรคหลายโรค
(multiple diseses) ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่พอใจ
จึงเกิดมีคำถามขึ้นว่า จำเป็นด้วยหรือที่ต้องเพิ่มยา ARBs ให้แก่คนไข้อีก ?
ในขณะนี้ เป็นที่ยอมรับทางทฤษฎีว่า การให้ยา ARBs ร่วมกับ ACE inhibitors นั้น
นับเป็นเรื่องที่น่าฟังมาก แต่ยังจำเป็น ต้องรอให้มีข้อมูลมากกว่านี้
เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่า มันมีประโยชน์ และปลอดภัยจริง
หลักฐานทางคลินิก เกี่ยวกับการใช้ยาสองกลุ่มรวมกันดังกล่าว
ในคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว ยังอ่อนมาก
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ mortality ของคนไข้ หรือมีน้อยมาก
The American Heart Association, Joint National Committee VII
เขาไม่แนะนำให้ใช้ยาทั้งสองร่วมกัน เพื่อรักษาคนไข้ โดยเขากล่าวว่า
แม้ว่าผลของการรักษาในราย ที่มีการสูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะ (proteinuria)
จะเป็นเรื่องที่น่าประทับใจก็ตาม แต่ข้อมูลเกี่ยวกับการลดอัตราการตายจากโรคยังน้อยเกินไป
สมควรรอผลการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปก่อน
นอกเหนือไปจากนั้น เขากล่าวถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียในการใช้ยาร่วมกัน กับประโยชน์ที่พึงได้รับ
ปรากฏว่า ผลที่ได้ยังไม่ชัดเจนพอที่จะให้ทำเช่นนั้น
ดังนั้น จึงควรใช้ยาเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (ARBs หรือ ACE inhibitors)
จนกว่าจะมีการศึกษาที่สมบูรณ์กว่านี้
www.findarticles.com/p/articles/mi_m0689/is_2_53/ai_113299034/
วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554
Angiotensin II Receptor Blockers (ARBs)
ก่อนลงสนามเล่นกอล์ฟ ก่อนอื่น เราต้องตรวจสอบถุงกอล์ฟของเราใหดี
ว่า มีอาวุธครบหรือไม่ ?
เช่นเดียวกัน เมื่อเราจะพูดเรื่องของยาในกลุ่ม ARBs
อย่างน้อย ๆ เราควรรู้ว่า ในกลุ่มดังกล่าว มียาอะไรบ้าง?
ยาในกลุ่ม Angiotension II Receptor Blockers (ARBs)
มียาอยู่หลายตัวที่เราควรรู้เอาไว้ เช่น
o Candesartan (Atacand)
o Eprosartan (Teveten)
o Irbesartan (Asapro)
o Losartan (Cosaar)
o Olmesartan (Benicar)
o Telmisartan (Micardis)
o Valsartan (Diovan)
มันทำงานอย่างไร?
ARBs มันทำหน้าที่ยับยั้ง (inhibit)การทำงานของสาร Angiotensin II
ไม่ให้รวมดัวกับ Angiotensin II Receptors ซึ่งอยู่บนเส้นเลือด
เป็นเหตุให้เส้นเลือดขยายตัว (dilate) พร้อมกับคลายตัว (relax)
ยังผลให้ความดันโลหิตในหลอดเลือดลดลง
ทำให้กระแสเลือดไหลผ่านได้สะดวกขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ ยังเพิ่มการขับถ่าย “น้ำ” และ “sodium” ออกทิ้งทางปัสสาวะไป
และจากผลของยาในกลุ่มดังกล่าว ทำให้ปริมาณ (volume)ของน้ำโดยรวมลดลง
ยังผลทำให้ความดันโลหิตลดลงโดยปริยาย
ยาในกลุ่มนี้ จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เส้นเลือดมีการหดตัว
เป็นการลดความดัน ให้หัวใจช่องล่างด้านซ้าย (lt. Ventricle)ทำงานได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ARBs ยังทำหน้าที่โดยตรงต่อสารฮอร์โมนต่าง ๆ
ที่ทำหน้าควบคุมความสมดุลของน้ำ และสารโซเดี่ยมด้วย
เราใช้ ARBs ในกรณีใด?
ARBs ถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรค หลอดเลือดของหัวใจ (coronary artery disease)
และโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
นอกจากนั้น ARBs ยังถูกนำไปใช้ในรายที่ไม่สามารถใช้ยาในกลุ่ม ACE Inhibitors ได้
หรือใช้ในรายที่เป็นโรคไต (kidney disease) ที่เกิดจากโรคเบาหวาน
และในคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานเอง
ARBs อาจใช้แทนยาในกลุ่ม ACE inhibitors
ในกลุ่มคนที่เกิดอาการไอ (coguh) จากการใช้ยาในกลุ่ม ACE Inhibitors
เพราะยาในกลุ่ม ARBs ไม่ค่อยจะทำให้เกิดอาการไอ...
Cont” > ARBs : How well it works ? (1)
ว่า มีอาวุธครบหรือไม่ ?
เช่นเดียวกัน เมื่อเราจะพูดเรื่องของยาในกลุ่ม ARBs
อย่างน้อย ๆ เราควรรู้ว่า ในกลุ่มดังกล่าว มียาอะไรบ้าง?
ยาในกลุ่ม Angiotension II Receptor Blockers (ARBs)
มียาอยู่หลายตัวที่เราควรรู้เอาไว้ เช่น
o Candesartan (Atacand)
o Eprosartan (Teveten)
o Irbesartan (Asapro)
o Losartan (Cosaar)
o Olmesartan (Benicar)
o Telmisartan (Micardis)
o Valsartan (Diovan)
มันทำงานอย่างไร?
ARBs มันทำหน้าที่ยับยั้ง (inhibit)การทำงานของสาร Angiotensin II
ไม่ให้รวมดัวกับ Angiotensin II Receptors ซึ่งอยู่บนเส้นเลือด
เป็นเหตุให้เส้นเลือดขยายตัว (dilate) พร้อมกับคลายตัว (relax)
ยังผลให้ความดันโลหิตในหลอดเลือดลดลง
ทำให้กระแสเลือดไหลผ่านได้สะดวกขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ ยังเพิ่มการขับถ่าย “น้ำ” และ “sodium” ออกทิ้งทางปัสสาวะไป
และจากผลของยาในกลุ่มดังกล่าว ทำให้ปริมาณ (volume)ของน้ำโดยรวมลดลง
ยังผลทำให้ความดันโลหิตลดลงโดยปริยาย
ยาในกลุ่มนี้ จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เส้นเลือดมีการหดตัว
เป็นการลดความดัน ให้หัวใจช่องล่างด้านซ้าย (lt. Ventricle)ทำงานได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ARBs ยังทำหน้าที่โดยตรงต่อสารฮอร์โมนต่าง ๆ
ที่ทำหน้าควบคุมความสมดุลของน้ำ และสารโซเดี่ยมด้วย
เราใช้ ARBs ในกรณีใด?
ARBs ถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรค หลอดเลือดของหัวใจ (coronary artery disease)
และโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
นอกจากนั้น ARBs ยังถูกนำไปใช้ในรายที่ไม่สามารถใช้ยาในกลุ่ม ACE Inhibitors ได้
หรือใช้ในรายที่เป็นโรคไต (kidney disease) ที่เกิดจากโรคเบาหวาน
และในคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานเอง
ARBs อาจใช้แทนยาในกลุ่ม ACE inhibitors
ในกลุ่มคนที่เกิดอาการไอ (coguh) จากการใช้ยาในกลุ่ม ACE Inhibitors
เพราะยาในกลุ่ม ARBs ไม่ค่อยจะทำให้เกิดอาการไอ...
Cont” > ARBs : How well it works ? (1)
Hypertension and ACE Inhibitors: Guideline for taking ACE Inhibitors.
ACE Inhibitors เป็นยาที่ดี ถูกนำมาใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูง
เพื่อให้ได้รับผลที่ดี และหลิกเลี่ยงผลอันไม่พึงประสงค์ มีแนวทางสำหรับการใช้ยาดังนี้:
ACE inhibitors ควรรับประทานในขณะท้องว่าง
หนึ่งชั่วโมง ก่อนอาหารเสมอ ให้ปฏิบัติตามที่บ่งบอกอย่างเคร่งคัด
(ขนาดของยา ที่ต้องรับประทานในแต่ละวัน เวลาที่ต้องรับประทานยาแต่ละครั้ง
ซึ่งต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำแนะนำของแพทย์ รวมถึงสุขภาพโดยรวมของท่านเอง)
ในขณะทีท่านรับประทานยา ACE inhibitors ห้ามใช้ Salt substitute
โดยเด็ดขาด เพราะสาร substitute ดังกล่าว มีส่วนผสมของ Potassium
และ ACE inhibitors ด้วย ซึ่งสามารถทำให้ร่างกายมีสาร Potassium สูง
ย่อมก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้...
ก่อนรับประทานอะไร ให้ดูฉลากบ่งบอกส่วนผสมของอาหาร (ฝึกให้เป็นนิสัย)
ให้เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณ sodium และ potassium ต่ำเสมอ
ซึ่งเรื่องนี้ นักโภชนาการ สามารถให้คำแนะนำแก่ท่านได้ ว่าควรเลือกอาหารชนิดใด
ให้หลีกยาในกลุ่ม NSAIDs (เช่น Aleve และ Mortin)
เพราะยาในกลุ่มดังกล่าว (NSAIDS) จะทำให้ร่างกายกักเก็บสาร sodium และน้ำ เอาไว้
และทำให้ฤทธิ์ของยา ACE inhibitors ลดลงได้
เมื่อท่านจะใช้ยาดังกล่าว อย่าลืมบอกแพทย์ให้ทราบด้วย
นอกจากการตรวจวัดระดับความดันเป็นประจำแล้ว ท่านต้องตรวจดูการทำงานของไตเป็นระยะด้วย
(ซึ่งแพทย์เขาจะเป็นผู้แนะนำอยู่แล้ว)
ห้ามหยุดรับประทานยาเป็นอันขาด แม้ว่า ยาที่ท่านรับประทานนั้น ท่านมีความรู้สึกว่าไม่ได้ผลก็ตาม
ถ้าท่านได้รับยา ACE inhibitors รักษาโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ผลของยาจะไม่ปรากฏทันทีหรอก...
อย่างไรก็ตาม ผลในระยะยาว (long-term effects) ของการใช้ยา ACE inhibitors
จะช่วยรักษาภาวะ chronic heart failure ของท่านได้
และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคดังกล่าวได้อีกด้วย
นอกเหนือ ไปจากนี้ ยังมีคำถามอีกหลายอย่างที่เราควรรับทราบเอาไว้ เช่น
Can Pregnant Women take ACE inhibitors?
สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรรับประทานยา ACE inhibitors โดยเด็ดขาด
โดยเฉพาะในระยะที่ 2 และ 3 ไตรมาส
เพราะยาดังกล่าว สามารถทำให้ความดันโลหิตลดลง ทำให้เกิดไตวาย
หรือทำให้มีระดับ potassium สูงในเลือดของผู้เป็นแม่
ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความพิการในตัวเด็ก หรือก่อให้เด็กตายได้
หากผู้เป็นแม่ต้องรับประทานยา ACE inhibitors ห้ามให้นมแก่เด็กเป็นอันขาด
เพราะยาสามารถผ่านทางน้ำนม ตัวเด็กได้
Can Children Take ACE inhibitors ?
เด้กสามารถรับยา ACE inhibitors ได้
แต่ให้ทราบว่า เด็กจะตอบสนองต่อการใช้ยาได้ดีมาก ๆ
ฉะนั้นก่อนใช้ พ่อแม่จะต้องรู้เรื่องยาตัวนี้เป็นอย่างดี
เพราะจาตัวนี้ก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้รุนแรงมาก (sever side effects)
พ่อแม่ของเด็กจะต้องปรึกษากับแพทย์ (pediatric cardiologist)
ถึงประโยชน์ และโทษของยาตัวนี้ก่อนที่จะมีการใช้ยาดังกล่าว
กล่าวโดยสรุป ACE inhibitores เป็นกลุ่มยาที่เรานำมาใช้รักษาคนไข้เป็นโรคความดันโลหิสูง
โดยที่ยาดังกล่าว ทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของ Angiotensin Converting enzyme
ไม่ให้มีการเปลี่ยน Angioensin I ไปเป็น Angiotnesin II...และลดการสลายตัวของ
ของสาร Bradykinin ลง ซึ่งยังผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลง
www.webmd.com/hypertension-high-blood-pressure/treatment-ace-inhibitor
เพื่อให้ได้รับผลที่ดี และหลิกเลี่ยงผลอันไม่พึงประสงค์ มีแนวทางสำหรับการใช้ยาดังนี้:
ACE inhibitors ควรรับประทานในขณะท้องว่าง
หนึ่งชั่วโมง ก่อนอาหารเสมอ ให้ปฏิบัติตามที่บ่งบอกอย่างเคร่งคัด
(ขนาดของยา ที่ต้องรับประทานในแต่ละวัน เวลาที่ต้องรับประทานยาแต่ละครั้ง
ซึ่งต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำแนะนำของแพทย์ รวมถึงสุขภาพโดยรวมของท่านเอง)
ในขณะทีท่านรับประทานยา ACE inhibitors ห้ามใช้ Salt substitute
โดยเด็ดขาด เพราะสาร substitute ดังกล่าว มีส่วนผสมของ Potassium
และ ACE inhibitors ด้วย ซึ่งสามารถทำให้ร่างกายมีสาร Potassium สูง
ย่อมก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้...
ก่อนรับประทานอะไร ให้ดูฉลากบ่งบอกส่วนผสมของอาหาร (ฝึกให้เป็นนิสัย)
ให้เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณ sodium และ potassium ต่ำเสมอ
ซึ่งเรื่องนี้ นักโภชนาการ สามารถให้คำแนะนำแก่ท่านได้ ว่าควรเลือกอาหารชนิดใด
ให้หลีกยาในกลุ่ม NSAIDs (เช่น Aleve และ Mortin)
เพราะยาในกลุ่มดังกล่าว (NSAIDS) จะทำให้ร่างกายกักเก็บสาร sodium และน้ำ เอาไว้
และทำให้ฤทธิ์ของยา ACE inhibitors ลดลงได้
เมื่อท่านจะใช้ยาดังกล่าว อย่าลืมบอกแพทย์ให้ทราบด้วย
นอกจากการตรวจวัดระดับความดันเป็นประจำแล้ว ท่านต้องตรวจดูการทำงานของไตเป็นระยะด้วย
(ซึ่งแพทย์เขาจะเป็นผู้แนะนำอยู่แล้ว)
ห้ามหยุดรับประทานยาเป็นอันขาด แม้ว่า ยาที่ท่านรับประทานนั้น ท่านมีความรู้สึกว่าไม่ได้ผลก็ตาม
ถ้าท่านได้รับยา ACE inhibitors รักษาโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ผลของยาจะไม่ปรากฏทันทีหรอก...
อย่างไรก็ตาม ผลในระยะยาว (long-term effects) ของการใช้ยา ACE inhibitors
จะช่วยรักษาภาวะ chronic heart failure ของท่านได้
และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคดังกล่าวได้อีกด้วย
นอกเหนือ ไปจากนี้ ยังมีคำถามอีกหลายอย่างที่เราควรรับทราบเอาไว้ เช่น
Can Pregnant Women take ACE inhibitors?
สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรรับประทานยา ACE inhibitors โดยเด็ดขาด
โดยเฉพาะในระยะที่ 2 และ 3 ไตรมาส
เพราะยาดังกล่าว สามารถทำให้ความดันโลหิตลดลง ทำให้เกิดไตวาย
หรือทำให้มีระดับ potassium สูงในเลือดของผู้เป็นแม่
ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความพิการในตัวเด็ก หรือก่อให้เด็กตายได้
หากผู้เป็นแม่ต้องรับประทานยา ACE inhibitors ห้ามให้นมแก่เด็กเป็นอันขาด
เพราะยาสามารถผ่านทางน้ำนม ตัวเด็กได้
Can Children Take ACE inhibitors ?
เด้กสามารถรับยา ACE inhibitors ได้
แต่ให้ทราบว่า เด็กจะตอบสนองต่อการใช้ยาได้ดีมาก ๆ
ฉะนั้นก่อนใช้ พ่อแม่จะต้องรู้เรื่องยาตัวนี้เป็นอย่างดี
เพราะจาตัวนี้ก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้รุนแรงมาก (sever side effects)
พ่อแม่ของเด็กจะต้องปรึกษากับแพทย์ (pediatric cardiologist)
ถึงประโยชน์ และโทษของยาตัวนี้ก่อนที่จะมีการใช้ยาดังกล่าว
กล่าวโดยสรุป ACE inhibitores เป็นกลุ่มยาที่เรานำมาใช้รักษาคนไข้เป็นโรคความดันโลหิสูง
โดยที่ยาดังกล่าว ทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของ Angiotensin Converting enzyme
ไม่ให้มีการเปลี่ยน Angioensin I ไปเป็น Angiotnesin II...และลดการสลายตัวของ
ของสาร Bradykinin ลง ซึ่งยังผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลง
www.webmd.com/hypertension-high-blood-pressure/treatment-ace-inhibitor
Hypertension and ACE Inhibitors: Side Effects
Angiotensin Converting Enzyme Inhibitors หรือ ABEI
เป็นยาที่เรานำมาใช้เพื่อทำให้เส้นเลือดขยายตัว
ซึงยังผลให้ความดันโลหิต และปริมาณเลือดที่หัวใจต้องปั้มไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ลดลง
ACEI ยังช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ซึ่งช่วยลดการทำงานของหัวใจลง
ACEI ได้ถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาของหัวใจต่าง ๆ
ได้แก่:
ความดันโลหิตสูง (hypertension) โรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ภาวะหัวใจขาดเลือด (heart attack)
และป้องกันไม่ให้ “ไต” ถูกทำลายจากความดันโลหิตสูง และจากโรคเบาหวานได้อีกด้วย
ท่านรับประทานยารักษาความดันของท่านแล้วหรือยัง....?
What Are the Side Effects of ACE Inhibitors?
อย่างที่เคยกล่าวมาก่อนว่า ยาทุกตัวที่เราใช้ในการรักษา
ย่อมก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้เสมอ ซึ่งเป็นเรื่อง ที่เราเรียนรู้ให้ได้
ผลข้างเคียงที่เราพบบ่อยๆ ได้แก่:
อาการไอ (Cough) ถ้าอาการไอที่เกิดขึ้นมีนมีความรุนแรง และไม่ทุเลาลง
ท่านควรรายงานให้แพทย์ได้ทราบต่อไป
มีผื่นตามผิวหนัง (Skin Rash) ท่านควรรายงานให้แพทย์ได้ทราบ
ไม่ควรทำการรักษาองเป็นอันขาด
มีอาการวิงเวียน (dizziness) เป็นลมหน้ามืด (lightheadedness)
อาการจะมีมากในตอนแรกหลังการรับประทานยา โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ diuretics
สิ่งที่ท่านควรปฏิบัติ คือ ให้ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
และหากมีอาการรุนแรง ท่านต้องติดต่อแพทย์ เพื่อแก้ไขต่อไป
รู้สึกมีรสเค็มเกิดขึ้น (salty or metallic taste)
หรือ ทำให้ท่าน ไม่สามารถบอกรสของอาหารได้ (loss of taste)
มีอาการทางร่างกายเกิดขึ้น เช่น เจ็บคอ (sore throat) ไข้ (fever)
เจ็บปาก (sore mouth) ผิวหนังฟกช้ำ (abnormal bruising)
หัวใจเน้นเร็ว หรือเต้นผิดปกติ (fast or irregular)
เจ็บหน้าอก (chest pain) มีอาการบวมตามเท้า ข้อเท้า และขา
หากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
มีอาการบวมที่หน้า คอ และลิ้น (Face Neck and tongue)
เมื่อมีอาการพวกนี้เกิดขึ้น ควรติดต่อแพทย์อย่างรีบด่วนที่สุด
ถือเป็น serious emergency
High Potassium Level เป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีอันตรายสูง...
ดังนั้น คนไข้ทุกรายที่ได้รับ ACEI ควรทำการตรวจเลือดดูระดับ potassium
เป็นระยะๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว
อาการที่บ่งบอกให้ทราบถึงภาวะ มี potassium สูง ได้แก่ มีความรู้สึกสับสน (confusion)
การเต้นของหัวใจผิดปกติ (irregular) หงุดหงิด (nervousness)
มือชา หรือรู้สึกเสียวซ่า..(numbness and tingling ) เกิดขึ้นที่มือ หน้า และริมฝีปาก
มีความรู้สึกหายใจลำบาก หายใจถี่ และสั้น (shortness of breath)
และขารู้สึกหนักที่ขา และกล้ามเนื้ออ่อนแรง
เมื่อท่านมีอาการเหล่านี้ ท่านต้องติดต่อแพทย์ทันที
ไตวาย (Kidney failure)
ACEI เป็นยาที่สามารถปกป้องไม่ให้ “ไต” ให้รอดพ้นจากความดันโลหิตสูงก็ตาม
แต่ในบางราย ACEI... สามารถทำให้เกิด ๆไตวายได้เช่นกัน
ทำให้เกิดมีอาการคลื่นไส และท้องล่วงอย่างรุนแรง (Severe vomiting & diarrhea)
ถ้าหากท่านมีอาการดังกล่าว สามารถทำให้เกิดภาวะขาดน้ำอย่างรนแรง (dehydration)
ท่านต้องติดต่อแพทย์ เพื่อการรักษาต่อไป
นอกเหนือจากอาการดังกล่าว...หากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ท่านควรปรึกษาแพทย์เช่นกัน
Cont>> (3) Guideline for taking ACE inhibitors (3)
เป็นยาที่เรานำมาใช้เพื่อทำให้เส้นเลือดขยายตัว
ซึงยังผลให้ความดันโลหิต และปริมาณเลือดที่หัวใจต้องปั้มไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ลดลง
ACEI ยังช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ซึ่งช่วยลดการทำงานของหัวใจลง
ACEI ได้ถูกนำมาใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาของหัวใจต่าง ๆ
ได้แก่:
ความดันโลหิตสูง (hypertension) โรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ภาวะหัวใจขาดเลือด (heart attack)
และป้องกันไม่ให้ “ไต” ถูกทำลายจากความดันโลหิตสูง และจากโรคเบาหวานได้อีกด้วย
ท่านรับประทานยารักษาความดันของท่านแล้วหรือยัง....?
What Are the Side Effects of ACE Inhibitors?
อย่างที่เคยกล่าวมาก่อนว่า ยาทุกตัวที่เราใช้ในการรักษา
ย่อมก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้เสมอ ซึ่งเป็นเรื่อง ที่เราเรียนรู้ให้ได้
ผลข้างเคียงที่เราพบบ่อยๆ ได้แก่:
อาการไอ (Cough) ถ้าอาการไอที่เกิดขึ้นมีนมีความรุนแรง และไม่ทุเลาลง
ท่านควรรายงานให้แพทย์ได้ทราบต่อไป
มีผื่นตามผิวหนัง (Skin Rash) ท่านควรรายงานให้แพทย์ได้ทราบ
ไม่ควรทำการรักษาองเป็นอันขาด
มีอาการวิงเวียน (dizziness) เป็นลมหน้ามืด (lightheadedness)
อาการจะมีมากในตอนแรกหลังการรับประทานยา โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ diuretics
สิ่งที่ท่านควรปฏิบัติ คือ ให้ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
และหากมีอาการรุนแรง ท่านต้องติดต่อแพทย์ เพื่อแก้ไขต่อไป
รู้สึกมีรสเค็มเกิดขึ้น (salty or metallic taste)
หรือ ทำให้ท่าน ไม่สามารถบอกรสของอาหารได้ (loss of taste)
มีอาการทางร่างกายเกิดขึ้น เช่น เจ็บคอ (sore throat) ไข้ (fever)
เจ็บปาก (sore mouth) ผิวหนังฟกช้ำ (abnormal bruising)
หัวใจเน้นเร็ว หรือเต้นผิดปกติ (fast or irregular)
เจ็บหน้าอก (chest pain) มีอาการบวมตามเท้า ข้อเท้า และขา
หากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
มีอาการบวมที่หน้า คอ และลิ้น (Face Neck and tongue)
เมื่อมีอาการพวกนี้เกิดขึ้น ควรติดต่อแพทย์อย่างรีบด่วนที่สุด
ถือเป็น serious emergency
High Potassium Level เป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีอันตรายสูง...
ดังนั้น คนไข้ทุกรายที่ได้รับ ACEI ควรทำการตรวจเลือดดูระดับ potassium
เป็นระยะๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว
อาการที่บ่งบอกให้ทราบถึงภาวะ มี potassium สูง ได้แก่ มีความรู้สึกสับสน (confusion)
การเต้นของหัวใจผิดปกติ (irregular) หงุดหงิด (nervousness)
มือชา หรือรู้สึกเสียวซ่า..(numbness and tingling ) เกิดขึ้นที่มือ หน้า และริมฝีปาก
มีความรู้สึกหายใจลำบาก หายใจถี่ และสั้น (shortness of breath)
และขารู้สึกหนักที่ขา และกล้ามเนื้ออ่อนแรง
เมื่อท่านมีอาการเหล่านี้ ท่านต้องติดต่อแพทย์ทันที
ไตวาย (Kidney failure)
ACEI เป็นยาที่สามารถปกป้องไม่ให้ “ไต” ให้รอดพ้นจากความดันโลหิตสูงก็ตาม
แต่ในบางราย ACEI... สามารถทำให้เกิด ๆไตวายได้เช่นกัน
ทำให้เกิดมีอาการคลื่นไส และท้องล่วงอย่างรุนแรง (Severe vomiting & diarrhea)
ถ้าหากท่านมีอาการดังกล่าว สามารถทำให้เกิดภาวะขาดน้ำอย่างรนแรง (dehydration)
ท่านต้องติดต่อแพทย์ เพื่อการรักษาต่อไป
นอกเหนือจากอาการดังกล่าว...หากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ท่านควรปรึกษาแพทย์เช่นกัน
Cont>> (3) Guideline for taking ACE inhibitors (3)
High Blood Pressure and ACE Inhibitors (1)
การเรียนรู้ธรรมขาติของอะไรก็แล้วแต่...
ย่อมมีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา...ได้ไม่มากก็น้อย
ในทำนองเดียวกัน การเรียนรู้เรื่องยาที่นำมาใช้ในการรักษาคนไข้
ไม่วาจะเป็นโรคอะไร ย่อมมีประโยชน์เช่นเดียวกัน
ACE inhibitors and Hypertension
ACE Inhibitors เป็นสารที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้รักษาคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง
โดยยืนอยู่พื้นฐานของความผิดปกติ ของเส้นเลือดแดง ที่ก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง
เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย และ ความตาย
ซึ่งเราสามารถพบได้ทั้งโลกที่เจริญแล้ว
หรือโลกที่กำลังพัฒนา...
หากเราเข้าใจบทบาทของ Angiotensin II ได้
ย่อมทำให้เราเขาใจบทบาทของ ACE inhibitors ได้ง่ายขึ้น
Angiotensin II
เป็นสารที่ทำให้เกิดผลต่อไปนี้:
ก่อเกิดเส้นเลือดหดตัว (vasoขconstriction) ซึ่งนำไปสู่ความดันโลหิตสูงขึ้น
และก่อให้เกิดโรคความดันขึ้น (hypertension)
ทำให้เส้นเลือดเส้นเล็ก ๆ ที่วิ่งเข้าสู่ไต (efferent arteriole) เกิดการหดตัว
ทำให้เกิดแรงกรองเลือดในไตเพิ่มขึ้น(increase perfusion pressure)
ทำให้มีการปรับแต่งกล้ามเนื้อหัวใจ (modeling) และทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย (CHF)
กระตุ้นต่อมเหนือไต (adrenal gland) ให้ปล่อยสาร aldosterone ออกมา
ซึ่งฤทธิ์ของมันจะกระทำต่อ Kidney tubule ให้มีกักเก็บ(retain) สาร sodium
และ choride ions และขับ Potassium ออกมาทางปัสสาวะไป
กระตุ้นต่อมใต้สมอง (pituitary gland) ให้ปล่อยสาร vasopressin
(ซึ่งมีอีกซื่อหนึ่ง คือ anti-diuretic Hormone) ซึ่งออกฤทธิ์ที่ไต
ให้ทำหน้าที่เก็บ และกัก (retain) น้ำในร่างกายเอาไว้
จากการใช้ยา ACE Inhibitors มันจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ Angiotensin II
สามารถทำงานได้ตามที่กล่าว
ผลที่เกิดขึ้น คือ ทำให้ความดันโลหิตลดลง
ACE inhibitors สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม:
• Sulfhydryl-containing agents:
o Captopril , the first ACE inhibitor
• Dicarboxylate-containing agents:
o Enalapril
o Ramipril
o Quinapril
o Perindopril
o Lisinopril
o Benazepril
• Phosphonate-containing agents:
o Fosinopril
ข้อห้ามในการใช้ ACE inhibitors ได้แก่
• Previous angioedema associated with ACE inhibitor therapy
• Renal artery stenosis
• Hypersensitivity to ACE inhibitors
และใช้ด้วยความระมัดระวังในรายต่อไปนี้
• Impaired renal function
• Aortic valve stenosis or cardiac outflow obstruction
Cont. >> (2)
ย่อมมีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา...ได้ไม่มากก็น้อย
ในทำนองเดียวกัน การเรียนรู้เรื่องยาที่นำมาใช้ในการรักษาคนไข้
ไม่วาจะเป็นโรคอะไร ย่อมมีประโยชน์เช่นเดียวกัน
ACE inhibitors and Hypertension
ACE Inhibitors เป็นสารที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้รักษาคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง
โดยยืนอยู่พื้นฐานของความผิดปกติ ของเส้นเลือดแดง ที่ก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง
เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย และ ความตาย
ซึ่งเราสามารถพบได้ทั้งโลกที่เจริญแล้ว
หรือโลกที่กำลังพัฒนา...
หากเราเข้าใจบทบาทของ Angiotensin II ได้
ย่อมทำให้เราเขาใจบทบาทของ ACE inhibitors ได้ง่ายขึ้น
Angiotensin II
เป็นสารที่ทำให้เกิดผลต่อไปนี้:
ก่อเกิดเส้นเลือดหดตัว (vasoขconstriction) ซึ่งนำไปสู่ความดันโลหิตสูงขึ้น
และก่อให้เกิดโรคความดันขึ้น (hypertension)
ทำให้เส้นเลือดเส้นเล็ก ๆ ที่วิ่งเข้าสู่ไต (efferent arteriole) เกิดการหดตัว
ทำให้เกิดแรงกรองเลือดในไตเพิ่มขึ้น(increase perfusion pressure)
ทำให้มีการปรับแต่งกล้ามเนื้อหัวใจ (modeling) และทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย (CHF)
กระตุ้นต่อมเหนือไต (adrenal gland) ให้ปล่อยสาร aldosterone ออกมา
ซึ่งฤทธิ์ของมันจะกระทำต่อ Kidney tubule ให้มีกักเก็บ(retain) สาร sodium
และ choride ions และขับ Potassium ออกมาทางปัสสาวะไป
กระตุ้นต่อมใต้สมอง (pituitary gland) ให้ปล่อยสาร vasopressin
(ซึ่งมีอีกซื่อหนึ่ง คือ anti-diuretic Hormone) ซึ่งออกฤทธิ์ที่ไต
ให้ทำหน้าที่เก็บ และกัก (retain) น้ำในร่างกายเอาไว้
จากการใช้ยา ACE Inhibitors มันจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ Angiotensin II
สามารถทำงานได้ตามที่กล่าว
ผลที่เกิดขึ้น คือ ทำให้ความดันโลหิตลดลง
ACE inhibitors สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม:
• Sulfhydryl-containing agents:
o Captopril , the first ACE inhibitor
• Dicarboxylate-containing agents:
o Enalapril
o Ramipril
o Quinapril
o Perindopril
o Lisinopril
o Benazepril
• Phosphonate-containing agents:
o Fosinopril
ข้อห้ามในการใช้ ACE inhibitors ได้แก่
• Previous angioedema associated with ACE inhibitor therapy
• Renal artery stenosis
• Hypersensitivity to ACE inhibitors
และใช้ด้วยความระมัดระวังในรายต่อไปนี้
• Impaired renal function
• Aortic valve stenosis or cardiac outflow obstruction
Cont. >> (2)
วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554
High Blood Pressure and Diuretics: Interactions
Food and Drug Interactions of Diuretics:
ธรรมชาติอย่างหนึ่งของยารักษาทั้งหลาย ที่คนเรารับประทานเข้าไปแล้ว
นอกจากจะทำหน้าที่ตามที่เราต้องการแล้ว มันยังทำหน้าที่นอเหนือจากที่เราต้องการด้วย
นั้นคือ ชอบไปทำปฏิกิริยากับยาตัวอื่นๆ หรือสารตัวอื่น ซึ่งทำให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ขึ้น...
Diuretics ที่เราใช้รักษาคนไข้ที่เป้นโรคความดันโลหิสูงนั้น
เรามักจะให้ร่วมกับยาลดความดันตัวอื่น ๆ และ ยารักษาโรคหัวใจด้วยเสมอ
ในกรณีดังกล่าว ยาขับปัสสาวะที่ให้นั้น สามารถเพิ่มฤทธิ์ของยาตัวอื่น ๆ หรือ
ทำให้เกิดความผิดปกติของเกลือแร่ในกระแสเลือดได้ (electrolyte inbalance)
เช่น potassium เป็นตั้น
ดังนั้น หากคุณเกิดมีอาการของผลข้างเคียงหลังการรับประทานยาขึ้น ท่านจะต้องพบแพทย์
เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนยา หรือ เวลาของการรับประทานยาก็ได้
คำแนะนำที่แพทย์อาจมอบให้แก่ท่าน เพื่อนำไปปฏิบัติอาจเป็น:
รับประทานอาหารที่มีรสเค็มน้อยลง
รับ สารโปแตสเซี่ยมเสริม หรือรับประทานอาหารที่มีสารโปแตสเซี่ยมสูง (เช่นกล้วย และส้ม)
ข้อสังเกตุ: ยาขับปัสสาวะบางตัวสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียโปแตสเซี่ยมได้ (thiazide)
ถ้าหากท่านรับประทานยาประเภท potassium-sparing diuretics เช่น aldactone
แพทย์เขาจะแนะนำให้ท่านหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่ให้สารโปแตสเซี่ยม
นอกเหนือไปจากนั้น การดื่มแอลกอฮอล และยาช่วยให้นอนหลับ จะเพิ่มผลข้างเคียงให้เกิดขึ้น
ท่านควรหลีกเลี่ยงเสีย
Can Breastfeeding Women Take Diuretics?
คนที่ให้นมลูก ห้ามรับประทานยาขับปัสสาวะโดยเด็ดขาด เพราะยาสามารถผ่านเข้าสู่ลูกทางน้ำนมได้
ซึ่งจะทำให้เด็ดสูญเสียน้ำไป (dehydrations)เป็นอันตรายต่อทารกได้
Can Children Take Diuretics?
เด็กสามารถรับ..ยาประเภท diuretics ได้เหมือนกับผู้ใหญ่ทุกประการ
มีผลข้างเคียงเหมือนกัน
แต่ขนาดของยาย่อมน้อยกว่าเป็นธรรมดา
สำหรับ Potassium-sparing diuretics เช่น Aldactone สามารถทำให้เกิด
Calcium deficiencies ได้
Can an Elderly Person Take Diuretics?
เหมือนกับยาทุกชนิดที่เรานำมาใช้กับคนสูงอายุ
การให้ยาขับปัสสาวะแก่คนสูงอายุ ควรให้ความระมัดระวังให้มาก
แม้ว่ายาในกลุ่มดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อคนสูงอายุจริง...
คนสูงอายุมักจะมีอาการจากผลข้างเคียงของการขาดน้ำ (dehydration)ได้มาก เช่น
มีอาการหน้ามืดเป็นลม (fainting) และอาการวิงเวียน
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติของ Diuretics ที่เราควรรู้
หากเราสามารถเรียนรู้ และเข้าใจธรรมชาติของมัน
และปฏิบัติให้คล้อยตาม
ย่อมทำให้เรา รอดพ้นจากอันตรายอันไม่พึงประสงค์ได้
WWW.webmed.com/hypertension-high-blood-pressure/diuretics
ธรรมชาติอย่างหนึ่งของยารักษาทั้งหลาย ที่คนเรารับประทานเข้าไปแล้ว
นอกจากจะทำหน้าที่ตามที่เราต้องการแล้ว มันยังทำหน้าที่นอเหนือจากที่เราต้องการด้วย
นั้นคือ ชอบไปทำปฏิกิริยากับยาตัวอื่นๆ หรือสารตัวอื่น ซึ่งทำให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ขึ้น...
Diuretics ที่เราใช้รักษาคนไข้ที่เป้นโรคความดันโลหิสูงนั้น
เรามักจะให้ร่วมกับยาลดความดันตัวอื่น ๆ และ ยารักษาโรคหัวใจด้วยเสมอ
ในกรณีดังกล่าว ยาขับปัสสาวะที่ให้นั้น สามารถเพิ่มฤทธิ์ของยาตัวอื่น ๆ หรือ
ทำให้เกิดความผิดปกติของเกลือแร่ในกระแสเลือดได้ (electrolyte inbalance)
เช่น potassium เป็นตั้น
ดังนั้น หากคุณเกิดมีอาการของผลข้างเคียงหลังการรับประทานยาขึ้น ท่านจะต้องพบแพทย์
เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนยา หรือ เวลาของการรับประทานยาก็ได้
คำแนะนำที่แพทย์อาจมอบให้แก่ท่าน เพื่อนำไปปฏิบัติอาจเป็น:
รับประทานอาหารที่มีรสเค็มน้อยลง
รับ สารโปแตสเซี่ยมเสริม หรือรับประทานอาหารที่มีสารโปแตสเซี่ยมสูง (เช่นกล้วย และส้ม)
ข้อสังเกตุ: ยาขับปัสสาวะบางตัวสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียโปแตสเซี่ยมได้ (thiazide)
ถ้าหากท่านรับประทานยาประเภท potassium-sparing diuretics เช่น aldactone
แพทย์เขาจะแนะนำให้ท่านหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่ให้สารโปแตสเซี่ยม
นอกเหนือไปจากนั้น การดื่มแอลกอฮอล และยาช่วยให้นอนหลับ จะเพิ่มผลข้างเคียงให้เกิดขึ้น
ท่านควรหลีกเลี่ยงเสีย
Can Breastfeeding Women Take Diuretics?
คนที่ให้นมลูก ห้ามรับประทานยาขับปัสสาวะโดยเด็ดขาด เพราะยาสามารถผ่านเข้าสู่ลูกทางน้ำนมได้
ซึ่งจะทำให้เด็ดสูญเสียน้ำไป (dehydrations)เป็นอันตรายต่อทารกได้
Can Children Take Diuretics?
เด็กสามารถรับ..ยาประเภท diuretics ได้เหมือนกับผู้ใหญ่ทุกประการ
มีผลข้างเคียงเหมือนกัน
แต่ขนาดของยาย่อมน้อยกว่าเป็นธรรมดา
สำหรับ Potassium-sparing diuretics เช่น Aldactone สามารถทำให้เกิด
Calcium deficiencies ได้
Can an Elderly Person Take Diuretics?
เหมือนกับยาทุกชนิดที่เรานำมาใช้กับคนสูงอายุ
การให้ยาขับปัสสาวะแก่คนสูงอายุ ควรให้ความระมัดระวังให้มาก
แม้ว่ายาในกลุ่มดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อคนสูงอายุจริง...
คนสูงอายุมักจะมีอาการจากผลข้างเคียงของการขาดน้ำ (dehydration)ได้มาก เช่น
มีอาการหน้ามืดเป็นลม (fainting) และอาการวิงเวียน
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติของ Diuretics ที่เราควรรู้
หากเราสามารถเรียนรู้ และเข้าใจธรรมชาติของมัน
และปฏิบัติให้คล้อยตาม
ย่อมทำให้เรา รอดพ้นจากอันตรายอันไม่พึงประสงค์ได้
WWW.webmed.com/hypertension-high-blood-pressure/diuretics
High Blood Pressure and Diuretics (Water Pills) (1)
คนเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ...
การที่คนเราสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุขได้ มีวิธีการหนึ่งที่เราจะขาดไม่ได้เลย
สิ่งนั้น คือ เราต้องปฏิบัติตนให้คล้อยตามกฎของธรรมชาติให้ได้
นั่นคือแนวทางที่คนเราควรปฏิบัติ
แต้มีบางท่านฝืนธรรมชาติไปซะนี่...
จนก่อให้เกิดปัญหา... และสร้างความทุกข์ให้แก่คนอื่น ๆ
ดังที่เราได้พบเห็นในปัจจุบัน
ในระยะนี้ เป็นช่วงที่ประชาชนกำลังทุกข์ทรมานจากน้ำท่วม...
ซึ่งมีสาเหตุมากมาย แต่ หนึ่งสาเหตุในสาเหตุเหล่านั้น ก็เนื่องมาจาก
“คน” ได้ทำลายธรรมชาติด้วยความเห็นแก่ตัวไป...
ซึ่งนั่นไม่ใช้ประเด็นที่จะพูดถึง
ประเด็นที่ต้องการจะกล่าว เพื่อให้เข้ากับเรื่องที่ต้องการเสนอ คือ
“ การขับ(ละบาย)น้ำออกจากร่างกาย”
ซึ่งเป็นปฏิบัติการณ์ธรรมดา เหมือนกับการละบายน้ำที่อยู่เหนือเขื่อนนั่นแหละ
เพราะ หากเราปล่อยให้น้ำที่อยู่เหนือเขื่อน ให้มากเกินกำหนด
เขื่อนย่อมไม่สามารถทนต่อความดันทีเพิ่มขึ้นได้
หากไม่ละบายน้ำออก เขื่อนมีหวังพังทลายลงแน่
ในคนเราก็เช่นกัน...ภายใต้ภาวะความดันโลหิตสูง (hypertension)
มีวิธีการหนึ่ง คือ การปฏิบัติการณ์ให้คล้อยตามธรรมชาติตามที่กล่าวมา คือ
การขับ (ละบาย) น้ำออกจากกาย โดยการใช้ยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีชื่อว่า “water pill”
ถ้าจะแปลตรงๆ ว่า “เมล็ดน้ำ” มันรู้สึกขัดหูอย่างไรชอบกล
เอาเป็นว่า ไม่ต้องแปลก็แล้วกัน
ในคนที่มีโรคประจำตัว เป็นความดันโลหิตสูง
ยาขับปัสสาวะ (diuretics) สามารถช่วยร่างกาย โดยการขับเอาน้ำ
และเกลือ ที่มากเกินความจำป็นออกทิ้งทางน้ำปัสสาวะไป
ผลประโยชน์ที่ได้ คือ ช่วยลดระดับความดันในกระแสโลหิตลง
เหมือนกับการละบายน้ำเหนือเขื่อนนั่นแหละ
เมื่อความดัน...ลดลง หัวใจของท่านย่อมทำงานได้สะดวก...ง่ายขึ้น
ไม่ต้องออกแรงเยอะเหมือนตอนมีความดันสูงอีกต่อไป
การขับน้ำออกจากาย อาจนำไปใช้เพื่อช่วนรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับกายเราหลายอย่าง
เช่น นอกเหนือจากความดันสูงแล้ว ยังใช้รักษาโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
โรคไต และตับ (kidney and liver problems)
และโรคต้อหิน (gluacoma)
ยาขับปัสสาวะที่เราทราบนอกจากจะเปHนพวก thiazide
ซึ่งเรานำมาใช้ในการลดความดันโลหิตสูงนั้น ยังมียาตัวอื่นอีก
เช่น Loop diuretics( Lasix, Bumex) เป็นยาที่มีฤทธิ์แรง
มักถูกนำมาไปใช้ในคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ซึ่งมีประโยชน์ในการรักษาคนไข้ในภาวะฉุกเฉินมากกว่า
ยาขับปัสสาวะอีกกลุ่มหนึ่ง คือ Potassium-sparing diuretics
เช่น Aldactone เป็นยาที่สามารถรักษาให้ระดับ potassium ให้อยู่ในระดับปกติได้
และถูกนำไปใช้รักษา โรค หัวใจล้มเหลว (heart failure) เช่นเดียวกัน
เป็นยาที่แพทย์สั่งใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะตัวอื่น ๆ
ซึ่งโดยตัวของมันเอง...จะไม่ค่อยไปลดความดันให้ลงเท่าใด
Continue >>> Sides Effects of Diuretics (2)
การที่คนเราสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุขได้ มีวิธีการหนึ่งที่เราจะขาดไม่ได้เลย
สิ่งนั้น คือ เราต้องปฏิบัติตนให้คล้อยตามกฎของธรรมชาติให้ได้
นั่นคือแนวทางที่คนเราควรปฏิบัติ
แต้มีบางท่านฝืนธรรมชาติไปซะนี่...
จนก่อให้เกิดปัญหา... และสร้างความทุกข์ให้แก่คนอื่น ๆ
ดังที่เราได้พบเห็นในปัจจุบัน
ในระยะนี้ เป็นช่วงที่ประชาชนกำลังทุกข์ทรมานจากน้ำท่วม...
ซึ่งมีสาเหตุมากมาย แต่ หนึ่งสาเหตุในสาเหตุเหล่านั้น ก็เนื่องมาจาก
“คน” ได้ทำลายธรรมชาติด้วยความเห็นแก่ตัวไป...
ซึ่งนั่นไม่ใช้ประเด็นที่จะพูดถึง
ประเด็นที่ต้องการจะกล่าว เพื่อให้เข้ากับเรื่องที่ต้องการเสนอ คือ
“ การขับ(ละบาย)น้ำออกจากร่างกาย”
ซึ่งเป็นปฏิบัติการณ์ธรรมดา เหมือนกับการละบายน้ำที่อยู่เหนือเขื่อนนั่นแหละ
เพราะ หากเราปล่อยให้น้ำที่อยู่เหนือเขื่อน ให้มากเกินกำหนด
เขื่อนย่อมไม่สามารถทนต่อความดันทีเพิ่มขึ้นได้
หากไม่ละบายน้ำออก เขื่อนมีหวังพังทลายลงแน่
ในคนเราก็เช่นกัน...ภายใต้ภาวะความดันโลหิตสูง (hypertension)
มีวิธีการหนึ่ง คือ การปฏิบัติการณ์ให้คล้อยตามธรรมชาติตามที่กล่าวมา คือ
การขับ (ละบาย) น้ำออกจากกาย โดยการใช้ยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีชื่อว่า “water pill”
ถ้าจะแปลตรงๆ ว่า “เมล็ดน้ำ” มันรู้สึกขัดหูอย่างไรชอบกล
เอาเป็นว่า ไม่ต้องแปลก็แล้วกัน
ในคนที่มีโรคประจำตัว เป็นความดันโลหิตสูง
ยาขับปัสสาวะ (diuretics) สามารถช่วยร่างกาย โดยการขับเอาน้ำ
และเกลือ ที่มากเกินความจำป็นออกทิ้งทางน้ำปัสสาวะไป
ผลประโยชน์ที่ได้ คือ ช่วยลดระดับความดันในกระแสโลหิตลง
เหมือนกับการละบายน้ำเหนือเขื่อนนั่นแหละ
เมื่อความดัน...ลดลง หัวใจของท่านย่อมทำงานได้สะดวก...ง่ายขึ้น
ไม่ต้องออกแรงเยอะเหมือนตอนมีความดันสูงอีกต่อไป
การขับน้ำออกจากาย อาจนำไปใช้เพื่อช่วนรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับกายเราหลายอย่าง
เช่น นอกเหนือจากความดันสูงแล้ว ยังใช้รักษาโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
โรคไต และตับ (kidney and liver problems)
และโรคต้อหิน (gluacoma)
ยาขับปัสสาวะที่เราทราบนอกจากจะเปHนพวก thiazide
ซึ่งเรานำมาใช้ในการลดความดันโลหิตสูงนั้น ยังมียาตัวอื่นอีก
เช่น Loop diuretics( Lasix, Bumex) เป็นยาที่มีฤทธิ์แรง
มักถูกนำมาไปใช้ในคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
ซึ่งมีประโยชน์ในการรักษาคนไข้ในภาวะฉุกเฉินมากกว่า
ยาขับปัสสาวะอีกกลุ่มหนึ่ง คือ Potassium-sparing diuretics
เช่น Aldactone เป็นยาที่สามารถรักษาให้ระดับ potassium ให้อยู่ในระดับปกติได้
และถูกนำไปใช้รักษา โรค หัวใจล้มเหลว (heart failure) เช่นเดียวกัน
เป็นยาที่แพทย์สั่งใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะตัวอื่น ๆ
ซึ่งโดยตัวของมันเอง...จะไม่ค่อยไปลดความดันให้ลงเท่าใด
Continue >>> Sides Effects of Diuretics (2)
วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
Hypertension: What is Hypertensive Urgency?
Hypertensive Urgency
คนป่วยที่มีความดันโลหิตสูง( มาก) เช่น ความดันตัวบน (systolic) > 180 mmHg
และ/หรือมีความดันตัวล่าง (diastolic) >120 mmHg.
เมื่อท่านใดก็ตาม ที่ปล่อยให้ความดันของตนสูงถึงระดับนี้
ท่านได้ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ซึ่งควรได้รับการรักษาอย่ารีบด่วน
เช่น เส้นเลือดแตก (blood vessel rupture) สมองบวม (brain swelling)
ไตพัง (Kidney failure)
เมื่อคนไข้ที่มีความดันสูงอย่างนี้ มักจะลงเอยด้วยการเข้านอนรักษาในโรงพยาบาล
อาการที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วที่สุด ได้แก่:
• สายตาพล่ามัว (Blurred vision)
• ปวดศีรษะ (Headache)
• วิงเวียน (Dizziness)
• คลื่นไส้ (Nausea)
มีบางครั้ง คนไข้มีความดันสูงมาก แต่กลับไม่มีอาการแสดงใด ๆ
ในกรณีดังกล่าว เป็นการพบความดันสูงโดยบังเอิญ คนไข้ไม่รู้หรอก
คนไข้ประเภทนี้ มีความดันโลหิตสูงมากจริง แต่ไม่มีอาการ
เราเรียกความดันสูงชนิดว่า Hypertensive urgency
Hypertensive urgency หมายถึงภาวะที่ความดันโลหิตสูง 180/120 หรือมากกว่า
ซึ่งสูงมากพอ ที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้ทันที
เหมือนภูเขาไฟกำลังจะระเบิด ซึ่งจะเกิดเมื่อไหร่...ไม่รู้?
หากไม่รีบทำการรักษา คนไข้อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้
ดังนั้น คนไข้ควรได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน
Treating Hypertensive Urgency:
ในการรักษาคนไข้ประเภทนี้ มีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ การลดระดับความดันโลหิตลง
ไมรอให้ภาวะแทรกซ้อนขึ้น
ในการลดความดันลงนั้น เราไม่มีข้อตกลงเป็นเอกฉันท์ว่า “เราควรลดระดับความดันลงเร็วเท่าใด?”
แต่โดยทั่วไป...เรา...ทำให้ความดันลดลงภายในระยะเวลาเป็นชั่วโมง...ถึงวัน
ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของโรคเป็นสำคัญ
ในขณะที่กำลังทำการรักษา สิ่งที่ควรปฏิบัติ
• ให้คนไข้นอนพักในห้องที่เงียบสงบ บรรยายกาศผ่อนคลาย
• คนไข้อาจได้รับยาเม็ดรับประทานเพียงหนึ่ง หรือ หลายตัว
• ตรวจเช็คคนไข้ด้วยความระมัดระวัง
ที่ควรระวัง คือ ไม่ควรลดความดันให้ลงเร็วเกินไป เพราะการทำเช่นนั้น จะทำให้สมองได้รับอันตรายได้
Case requiring urgent attention:
สิ่งที่เราจะต้องจำไว้เสมอ คือ ครั้งหนึ่งในอดิต เราเคยใช้ยาอมใต้ลิ้น
ชื่อ ยา nifedipine (Adalat)นั้น ได้มีรายงานว่า มันทำให้ความดันโลหิตลดลงเร็วเกินไป
ทำให้สมองขาดเลือด เป็นเหตุให้สมองเป็นอันตรายไป
ดังนั้น เราจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ใน hypertensive urgency & emergency)
สำหรับยาที่ควรใช้ คือยาที่ออกฤทธิ์ได้ยาวนาน มี long half-life
โดยมีเป้าหมาย...ลดระดับความดันลงภายใน 48 – 72 ชั่วโมง
ยาในกลุ่มที่ใช้บ่อยที่สุด ที่ใช้ใน Hypertensive urgency ได้แก่
• ACE (Angiotensin converting enzyme inhibitors)
-Captopril 12.5 – 25 mg
-Enalapril 5 - 10 mg
• Calcium antagonists
-Amlodipine 5 – 10 mg
-Lacidipine 4 mg
• Betablockers:
-Carvedilol (dilatren) 12.5 – 25 mg
-Atenolol 25 - 50 mg
• Diuretics:
-Furosemide 20 - 40 mg
• Angiotensin II Receptors inhibitors:
• -Losartan 50 mg
-Irbesartan 75 – 150 mg
• Alphablockers:
-Doxazosin (Cardura) 1 – 4 mg
Preventing Hypertensive Urgency:
สิ่งสำคัญที่สุดที่ท่านจะต้องปฏิบัติให้ได้ คือ ให้กินยารักษาความดันตามสั่งทุกครั้ง
หากในระหว่างการรักษา คุณเกิดมีอาการตามที่กล่าวมา
ท่านต้องไปพบแพทย์ห้เร็วที่สุดที่จะกระทำได้
www.highbloodpressure.about.com/od/highbloodpressure101/p/urency.htm
Elisenda GOMEZ ANGELATS, Ernesto BRAGULAT BAUR.
Hypertension,hypertensiveEmergency: approaches to emergency department care
คนป่วยที่มีความดันโลหิตสูง( มาก) เช่น ความดันตัวบน (systolic) > 180 mmHg
และ/หรือมีความดันตัวล่าง (diastolic) >120 mmHg.
เมื่อท่านใดก็ตาม ที่ปล่อยให้ความดันของตนสูงถึงระดับนี้
ท่านได้ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ซึ่งควรได้รับการรักษาอย่ารีบด่วน
เช่น เส้นเลือดแตก (blood vessel rupture) สมองบวม (brain swelling)
ไตพัง (Kidney failure)
เมื่อคนไข้ที่มีความดันสูงอย่างนี้ มักจะลงเอยด้วยการเข้านอนรักษาในโรงพยาบาล
อาการที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วที่สุด ได้แก่:
• สายตาพล่ามัว (Blurred vision)
• ปวดศีรษะ (Headache)
• วิงเวียน (Dizziness)
• คลื่นไส้ (Nausea)
มีบางครั้ง คนไข้มีความดันสูงมาก แต่กลับไม่มีอาการแสดงใด ๆ
ในกรณีดังกล่าว เป็นการพบความดันสูงโดยบังเอิญ คนไข้ไม่รู้หรอก
คนไข้ประเภทนี้ มีความดันโลหิตสูงมากจริง แต่ไม่มีอาการ
เราเรียกความดันสูงชนิดว่า Hypertensive urgency
Hypertensive urgency หมายถึงภาวะที่ความดันโลหิตสูง 180/120 หรือมากกว่า
ซึ่งสูงมากพอ ที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้ทันที
เหมือนภูเขาไฟกำลังจะระเบิด ซึ่งจะเกิดเมื่อไหร่...ไม่รู้?
หากไม่รีบทำการรักษา คนไข้อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้
ดังนั้น คนไข้ควรได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน
Treating Hypertensive Urgency:
ในการรักษาคนไข้ประเภทนี้ มีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ การลดระดับความดันโลหิตลง
ไมรอให้ภาวะแทรกซ้อนขึ้น
ในการลดความดันลงนั้น เราไม่มีข้อตกลงเป็นเอกฉันท์ว่า “เราควรลดระดับความดันลงเร็วเท่าใด?”
แต่โดยทั่วไป...เรา...ทำให้ความดันลดลงภายในระยะเวลาเป็นชั่วโมง...ถึงวัน
ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของโรคเป็นสำคัญ
ในขณะที่กำลังทำการรักษา สิ่งที่ควรปฏิบัติ
• ให้คนไข้นอนพักในห้องที่เงียบสงบ บรรยายกาศผ่อนคลาย
• คนไข้อาจได้รับยาเม็ดรับประทานเพียงหนึ่ง หรือ หลายตัว
• ตรวจเช็คคนไข้ด้วยความระมัดระวัง
ที่ควรระวัง คือ ไม่ควรลดความดันให้ลงเร็วเกินไป เพราะการทำเช่นนั้น จะทำให้สมองได้รับอันตรายได้
Case requiring urgent attention:
สิ่งที่เราจะต้องจำไว้เสมอ คือ ครั้งหนึ่งในอดิต เราเคยใช้ยาอมใต้ลิ้น
ชื่อ ยา nifedipine (Adalat)นั้น ได้มีรายงานว่า มันทำให้ความดันโลหิตลดลงเร็วเกินไป
ทำให้สมองขาดเลือด เป็นเหตุให้สมองเป็นอันตรายไป
ดังนั้น เราจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ใน hypertensive urgency & emergency)
สำหรับยาที่ควรใช้ คือยาที่ออกฤทธิ์ได้ยาวนาน มี long half-life
โดยมีเป้าหมาย...ลดระดับความดันลงภายใน 48 – 72 ชั่วโมง
ยาในกลุ่มที่ใช้บ่อยที่สุด ที่ใช้ใน Hypertensive urgency ได้แก่
• ACE (Angiotensin converting enzyme inhibitors)
-Captopril 12.5 – 25 mg
-Enalapril 5 - 10 mg
• Calcium antagonists
-Amlodipine 5 – 10 mg
-Lacidipine 4 mg
• Betablockers:
-Carvedilol (dilatren) 12.5 – 25 mg
-Atenolol 25 - 50 mg
• Diuretics:
-Furosemide 20 - 40 mg
• Angiotensin II Receptors inhibitors:
• -Losartan 50 mg
-Irbesartan 75 – 150 mg
• Alphablockers:
-Doxazosin (Cardura) 1 – 4 mg
Preventing Hypertensive Urgency:
สิ่งสำคัญที่สุดที่ท่านจะต้องปฏิบัติให้ได้ คือ ให้กินยารักษาความดันตามสั่งทุกครั้ง
หากในระหว่างการรักษา คุณเกิดมีอาการตามที่กล่าวมา
ท่านต้องไปพบแพทย์ห้เร็วที่สุดที่จะกระทำได้
www.highbloodpressure.about.com/od/highbloodpressure101/p/urency.htm
Elisenda GOMEZ ANGELATS, Ernesto BRAGULAT BAUR.
Hypertension,hypertensiveEmergency: approaches to emergency department care
Malignant Hypertesnion: Diagnosis and treatment (2)
เราจะวินิจฉัย (Malaginant hypertension) ได้อย่างไร?
ในการวินิจฉัยไม่ยาก
เราเพียงอาศัยการวัดความดันโลหิต และตรวจดูอาการแสดงของอวัยวะที่ถูกระทบ (damage)
เมื่อคุณมีอาการของ Malignant hypertension สิ่งที่แพทย์จะทำ คือ:
• ตรวจยืนยันว่า ความดันของท่านสูงจริงหรือไม่ ?
พร้อมกับตรวจ (ฟัง)หัวใจ และปอดว่า มีเสียงผิดปกติอย่างไร ?
• ตรวจดูจอภาพ (retina) ของตา ดูว่ามีอะไรผิดปกติที่จอภาพหรือไม่
มีการสั่งตรวจเลือด และปัสสาวะต่อไปนี้:
• Blood urea nitrogen และ creatinine levels
ซึ่งเราจะพบว่ามีค่าสูงขึ้น เมื่อไตถูทำลาย
• Blood clotting tests
• Blodd sugar level
• Complete blood count
• Sodium and potassium levels
ในการตรวจปัสสาวะ (Urinalysis)เป็นการตรวจดู เลือด โปรตีน หรือฮอร์โมน
ซึ่งสัมพันธ์กับโรคไตที่ถูกทำลายไป จากภาวะความดันโลหิตที่สูงขึ้น
นอกเหนือจากนนี้ แพทย์อาจสั่งตรวจอย่างอื่นตามความเหมาะสม เช่น
• EKG เป็นการตรวจดูสภาพของหัวใจ
• Chest X-rays ดูขนาดของหัวใจ และตรวจดูน้ำในช่องปอด
• MRI ดูภาพของไต และเส้นเลือด
How is Maligmant hypertension treated ?
เราจะให้การรักษาอย่างไรดี?
คนไข้ที่มาด้วย malignant hypertension
จะต้องถูกรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อเป็นการดูแลอย่างใกล้ชิด
หากมีอาการรุนแรง คนไข้จะต้องอยู่ในห้อง intensive care unit (ICU)
ในระหว่างอยู่ในโรงพยาบาล คนไข้จะได้รับยารักษาทางเส้นเลือดเป็นหลัก
ยาที่ได้รับจะเป็นยา ที่ใช้เพื่อลดความดันโลหิตลง นั่นคือ nitropusside
และ nitroglycerin
ในขณะเดียวกัน คนไข้จะได้รับการตรวจเลือดหลายอย่าง
เพื่อตรวจประเมินดูสภาพของไต และอวัยวะอย่างอื่น
ซึ่ง บางทีท่านอาจได้พบเห็นการตรวจที่สลับซับซ้อนหลายอย่าง ที่แพทย์เขาสั่งให้ตรวจ
เช่น ดูสภาพการทำงานของหัวใจ และอวัยวะอย่างอื่น ๆ
โดยทั่วไป คนไข้ที่มาพบแพทย์ด้วย malignant hypertension
ถ้าได้รับการรักษาทัน (เร็ว) การพยากรณ์โรคจะอยู่ในขั้นดี
และหลังจากคนไข้ถูกปล่อยกลับบ้าน คนไข้ส่วนใหญ่จะได้รับยาในกลุ่ม Beta-blokers
หรือกลุ่ม ACE inhibitors
เพื่อควบคุมระดับความดันต่อไป...
www.wenmd.com/hypertension-high-blood-pressure/guide/what-is-malignant-hypertension
www.highbloodpressure.about.com/od/hihbloodpressure101/a/malignant.htm
ในการวินิจฉัยไม่ยาก
เราเพียงอาศัยการวัดความดันโลหิต และตรวจดูอาการแสดงของอวัยวะที่ถูกระทบ (damage)
เมื่อคุณมีอาการของ Malignant hypertension สิ่งที่แพทย์จะทำ คือ:
• ตรวจยืนยันว่า ความดันของท่านสูงจริงหรือไม่ ?
พร้อมกับตรวจ (ฟัง)หัวใจ และปอดว่า มีเสียงผิดปกติอย่างไร ?
• ตรวจดูจอภาพ (retina) ของตา ดูว่ามีอะไรผิดปกติที่จอภาพหรือไม่
มีการสั่งตรวจเลือด และปัสสาวะต่อไปนี้:
• Blood urea nitrogen และ creatinine levels
ซึ่งเราจะพบว่ามีค่าสูงขึ้น เมื่อไตถูทำลาย
• Blood clotting tests
• Blodd sugar level
• Complete blood count
• Sodium and potassium levels
ในการตรวจปัสสาวะ (Urinalysis)เป็นการตรวจดู เลือด โปรตีน หรือฮอร์โมน
ซึ่งสัมพันธ์กับโรคไตที่ถูกทำลายไป จากภาวะความดันโลหิตที่สูงขึ้น
นอกเหนือจากนนี้ แพทย์อาจสั่งตรวจอย่างอื่นตามความเหมาะสม เช่น
• EKG เป็นการตรวจดูสภาพของหัวใจ
• Chest X-rays ดูขนาดของหัวใจ และตรวจดูน้ำในช่องปอด
• MRI ดูภาพของไต และเส้นเลือด
How is Maligmant hypertension treated ?
เราจะให้การรักษาอย่างไรดี?
คนไข้ที่มาด้วย malignant hypertension
จะต้องถูกรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อเป็นการดูแลอย่างใกล้ชิด
หากมีอาการรุนแรง คนไข้จะต้องอยู่ในห้อง intensive care unit (ICU)
ในระหว่างอยู่ในโรงพยาบาล คนไข้จะได้รับยารักษาทางเส้นเลือดเป็นหลัก
ยาที่ได้รับจะเป็นยา ที่ใช้เพื่อลดความดันโลหิตลง นั่นคือ nitropusside
และ nitroglycerin
ในขณะเดียวกัน คนไข้จะได้รับการตรวจเลือดหลายอย่าง
เพื่อตรวจประเมินดูสภาพของไต และอวัยวะอย่างอื่น
ซึ่ง บางทีท่านอาจได้พบเห็นการตรวจที่สลับซับซ้อนหลายอย่าง ที่แพทย์เขาสั่งให้ตรวจ
เช่น ดูสภาพการทำงานของหัวใจ และอวัยวะอย่างอื่น ๆ
โดยทั่วไป คนไข้ที่มาพบแพทย์ด้วย malignant hypertension
ถ้าได้รับการรักษาทัน (เร็ว) การพยากรณ์โรคจะอยู่ในขั้นดี
และหลังจากคนไข้ถูกปล่อยกลับบ้าน คนไข้ส่วนใหญ่จะได้รับยาในกลุ่ม Beta-blokers
หรือกลุ่ม ACE inhibitors
เพื่อควบคุมระดับความดันต่อไป...
www.wenmd.com/hypertension-high-blood-pressure/guide/what-is-malignant-hypertension
www.highbloodpressure.about.com/od/hihbloodpressure101/a/malignant.htm
Malignant Hypertension (1)
Malignant hypertension
หมายถึงภาวะความดันโลหิตของคนที่มีระดับสูงมาก
ซึ่งอาจเกิดขึ้นทันที (อย่างรวดเร็ว) และก่อให้เกิดอันตราย (damage)
ต่ออวัยวะหลายอย่าง
ระดับความดันปกติควรเป็น 120/80
ในคนที่มีความดันสูง และจัดเป็น malignant hypertension
มีค่าความดันสูง 180/120 หรือสูงกว่า
ซึ่งแพทย์เขาเรียกว่ามันเป็น hypertensive emergency
ซึ่งสมควรได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน
อะไรคือสาเหตุทำให้เกิด Malignant hypertension ?
คนส่วนใหญ่ ความดันสูงเป็นสาเหตุหลักของ Malignant hypertension
การที่คนไข้ “ลืม” กินยารักษาความดัน อาจเป็นเหตุทำให้เกิดภาวะดังกล่าวได้
นอกเหนือไปจากนั้น ยังมีภาวะหลายอย่าง ที่สามารถทำให้เกิดภาวะดังกล่าวได้
เช่น:
• Collagen vascular disease ซึ่งได้แก่โรค scleroderma
• Kidney disease
• Spinal cord injury
• Tumour of the adrenal gland
• Use of certain medications
เช่น birth control pill และ MAOs
• Use of illegal drugs เช่น cocaine
อาการแสดงของโรค Malignant hypertension:
อาการสำคัญของภาวะดังกล่าว คือ ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึง 180/120 หรือสูงกว่า
พร้อมกับมีอาการของรอยโรค (damage) ของอวัยวะที่สำคัญ
ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับ ไต (Kidney) และ ตา (Eyes)
อาการที่พบบ่อย คือเส้นเลือดที่จอภาพ (retina) เกิดอาการบวม (swelling)
หรือเลือดออก (bleeding)
ซึ่งจะก่อให้เกิดมีอาการปลี่ยนแปลงทางสายตาขึ้น
อาการอย่างอื่น ๆ ของ Malignant hypertension ได้แก่
• Blurred vision
• Chest pain
• Difficulty in breathing
• Dizziness
• Numbness in the arm ,legs and face
• Severe headache
• Shortness of breath
ในคนไข้ที่เป็น Malignant hypertension
อาจมีบางราย (จำนวนน้อย) ทำให้สมองเกิดบวม ซึ่งนำไปสู่การเกิดภาวะทางสมอง
( hypertensive encephalopathy) ได้
อาการของคนไข้พวกนี้ได้แก่:
• Blindness
• Changes in mental status
• Coma
• Confusion
• Drawsiness
• Headache that continues to get worse
• Nausea and vomting
• Seizers
ภายใต้ภาวะความดันโลหิตสูง จะทำให้ไตไม่สามารถกำจัดพิษ และของเสียได้ตามปกติ
ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดภาวะไตวายในที่สุด
นอกเหนือไปจากนั้น Malignant hypertension
สามารถทำให้ไตหยุดการทำงานตามปกติได้
เราเรียกภาวะเช่นนั้นว่า Malignant nephrosclerosis
Cony’ > (2) Dianosis & Treatment
หมายถึงภาวะความดันโลหิตของคนที่มีระดับสูงมาก
ซึ่งอาจเกิดขึ้นทันที (อย่างรวดเร็ว) และก่อให้เกิดอันตราย (damage)
ต่ออวัยวะหลายอย่าง
ระดับความดันปกติควรเป็น 120/80
ในคนที่มีความดันสูง และจัดเป็น malignant hypertension
มีค่าความดันสูง 180/120 หรือสูงกว่า
ซึ่งแพทย์เขาเรียกว่ามันเป็น hypertensive emergency
ซึ่งสมควรได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน
อะไรคือสาเหตุทำให้เกิด Malignant hypertension ?
คนส่วนใหญ่ ความดันสูงเป็นสาเหตุหลักของ Malignant hypertension
การที่คนไข้ “ลืม” กินยารักษาความดัน อาจเป็นเหตุทำให้เกิดภาวะดังกล่าวได้
นอกเหนือไปจากนั้น ยังมีภาวะหลายอย่าง ที่สามารถทำให้เกิดภาวะดังกล่าวได้
เช่น:
• Collagen vascular disease ซึ่งได้แก่โรค scleroderma
• Kidney disease
• Spinal cord injury
• Tumour of the adrenal gland
• Use of certain medications
เช่น birth control pill และ MAOs
• Use of illegal drugs เช่น cocaine
อาการแสดงของโรค Malignant hypertension:
อาการสำคัญของภาวะดังกล่าว คือ ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึง 180/120 หรือสูงกว่า
พร้อมกับมีอาการของรอยโรค (damage) ของอวัยวะที่สำคัญ
ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับ ไต (Kidney) และ ตา (Eyes)
อาการที่พบบ่อย คือเส้นเลือดที่จอภาพ (retina) เกิดอาการบวม (swelling)
หรือเลือดออก (bleeding)
ซึ่งจะก่อให้เกิดมีอาการปลี่ยนแปลงทางสายตาขึ้น
อาการอย่างอื่น ๆ ของ Malignant hypertension ได้แก่
• Blurred vision
• Chest pain
• Difficulty in breathing
• Dizziness
• Numbness in the arm ,legs and face
• Severe headache
• Shortness of breath
ในคนไข้ที่เป็น Malignant hypertension
อาจมีบางราย (จำนวนน้อย) ทำให้สมองเกิดบวม ซึ่งนำไปสู่การเกิดภาวะทางสมอง
( hypertensive encephalopathy) ได้
อาการของคนไข้พวกนี้ได้แก่:
• Blindness
• Changes in mental status
• Coma
• Confusion
• Drawsiness
• Headache that continues to get worse
• Nausea and vomting
• Seizers
ภายใต้ภาวะความดันโลหิตสูง จะทำให้ไตไม่สามารถกำจัดพิษ และของเสียได้ตามปกติ
ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดภาวะไตวายในที่สุด
นอกเหนือไปจากนั้น Malignant hypertension
สามารถทำให้ไตหยุดการทำงานตามปกติได้
เราเรียกภาวะเช่นนั้นว่า Malignant nephrosclerosis
Cony’ > (2) Dianosis & Treatment
Hypertension: hypertensive crisis
เมื่อไม่ทราบว่า ตนเองเป็นโรคความดันโลหิตสูงมาก่อน...
พอเกิดมีปัญหาขึ้น แล้วนำท่านไปพบแพทย์เพื่อการรักษา...
นั่นเป็นเรื่องที่สมควร...ไม่ว่ากัน
แต่ในกรณี ที่ท่านรู้ทั้งรู้ ว่า ตัวท่านเองมีความดันโลหิตสูง
แล้วท่านไม่รักษา (หรือรักษาก็เหมือนไม่ได้รักษา...)
ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ที่แพทย์เขาให้แก่ท่านนี้ซิ...
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา คนที่รับกรรมต่อการไม่ปฏิบัติตาม คือตัวทานนั่นเอง
แล้วเราจะโทษใครอื่นได้ละ ?
Hypertensive crisis
หมายถึงความดันโลหิตที่มีระดับสูง ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอันไม่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้น
เช่น สมองขาดเลือด (stroke)และอื่น ๆ
เราจะบอกว่า คนไข้รายนั้น ๆ ตกอยู่ภายใต้ภาวะ hypertensive crisis
เมื่อเราวัดความดันตัวบน (systolic) ได้ 180 mmHg หรือมากกว่า
หรือตัวล่าง (diastolic) ได้ 120 mm Hg หรือมากกว่า
ภายใต้ภาวะของการเกิด Hypertensive crisis
จะทำให้เส้นเลือดเกิดการอักเสบ (damage)ขึ้น
ผลที่ตามมา อาจทำให้หัวใจไม่สามารถปั้มเลือด
ให้ไปเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ Hypertensive crisis ได้แก่:
o ลืมรับประทานยา (รักษาความดัน) ตามแพทย์สั่ง
o เกิดภาวะสมองขาดเลือด (Stroke)
o เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด (Heart attack)
o หัวใจล้มเหลว (Heart failure)
o ไตวาย (Kidney failure)
o เส้นเลือดใหญ่เกิดการฉีกขาด
o ผลจากปฏิกิริยาของยาหลายตัว
o เกิดอาการชักในระหว่างตั้งครรภ์ (Eclamsia)
Hypertensive crisis แบ่งเป็นสองชนิด
คือ Hypertensive urgency & Emergency
ในรายที่เป็น hypetensive Urgency เป็นภาวะที่มีความดันโลหิตสูงมาก
แต่ยังไม่มีรอยโรค หรือบาดแผล (damage) เกิดในอวัยวะที่สำคัญ
ส่วนในรายที่เป็น hypertensive emergency นั้น
จะมีรอยโรค (damage) เกิดที่อวัยวะที่สำคัญขึ้นแล้ว
คนไข้ที่ปล่อยให้เกิดภาวะ hypertensive crisis
สามารทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลาย ๆ อย่าง
ซึ่ง มีอันตรายถึงขั้นชีวิตได้
อาการ และอาการแสดง ของ hypertensive crisis
ที่เป็นอันตรายถึงขั้นชีวิต ได้แก่:
o เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง (severe chest pain)
o ปวดศีรษะอย่างแรง อาจมีอาการทางสมอง เช่น สับสน (confusion)
สายตามัว (blurred vision)
o คลื่นไส้ และอาเจียน (nausea and vomiting)
o เครียดจัด (severe anxiety)
o หายใจไม่พอ-สั้น และถี่ (shortness of breath)
o ชัก-กระตุก (seizers)
o ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า (unresponsiveness)
หากท่านเกิดมีความดันโลหิตสูงมาก ๆ จะมีอาการตามที่กล่าวมา ท่านต้องพบแพทย์ทันที
เพื่อการรักษา ซึ่งท่านอาจได้รับยาการฉีดยาเข้าเส้น หรืออาจเป็นยารับประทาน..
ขึ้นกับความรุ้นแรงของความดันโลหิตสูง (emergency หรือ urgercy)
www.mayoclinic.com/health/blood-pressure-medications/AN01805
พอเกิดมีปัญหาขึ้น แล้วนำท่านไปพบแพทย์เพื่อการรักษา...
นั่นเป็นเรื่องที่สมควร...ไม่ว่ากัน
แต่ในกรณี ที่ท่านรู้ทั้งรู้ ว่า ตัวท่านเองมีความดันโลหิตสูง
แล้วท่านไม่รักษา (หรือรักษาก็เหมือนไม่ได้รักษา...)
ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ที่แพทย์เขาให้แก่ท่านนี้ซิ...
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา คนที่รับกรรมต่อการไม่ปฏิบัติตาม คือตัวทานนั่นเอง
แล้วเราจะโทษใครอื่นได้ละ ?
Hypertensive crisis
หมายถึงความดันโลหิตที่มีระดับสูง ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอันไม่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้น
เช่น สมองขาดเลือด (stroke)และอื่น ๆ
เราจะบอกว่า คนไข้รายนั้น ๆ ตกอยู่ภายใต้ภาวะ hypertensive crisis
เมื่อเราวัดความดันตัวบน (systolic) ได้ 180 mmHg หรือมากกว่า
หรือตัวล่าง (diastolic) ได้ 120 mm Hg หรือมากกว่า
ภายใต้ภาวะของการเกิด Hypertensive crisis
จะทำให้เส้นเลือดเกิดการอักเสบ (damage)ขึ้น
ผลที่ตามมา อาจทำให้หัวใจไม่สามารถปั้มเลือด
ให้ไปเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ Hypertensive crisis ได้แก่:
o ลืมรับประทานยา (รักษาความดัน) ตามแพทย์สั่ง
o เกิดภาวะสมองขาดเลือด (Stroke)
o เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด (Heart attack)
o หัวใจล้มเหลว (Heart failure)
o ไตวาย (Kidney failure)
o เส้นเลือดใหญ่เกิดการฉีกขาด
o ผลจากปฏิกิริยาของยาหลายตัว
o เกิดอาการชักในระหว่างตั้งครรภ์ (Eclamsia)
Hypertensive crisis แบ่งเป็นสองชนิด
คือ Hypertensive urgency & Emergency
ในรายที่เป็น hypetensive Urgency เป็นภาวะที่มีความดันโลหิตสูงมาก
แต่ยังไม่มีรอยโรค หรือบาดแผล (damage) เกิดในอวัยวะที่สำคัญ
ส่วนในรายที่เป็น hypertensive emergency นั้น
จะมีรอยโรค (damage) เกิดที่อวัยวะที่สำคัญขึ้นแล้ว
คนไข้ที่ปล่อยให้เกิดภาวะ hypertensive crisis
สามารทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลาย ๆ อย่าง
ซึ่ง มีอันตรายถึงขั้นชีวิตได้
อาการ และอาการแสดง ของ hypertensive crisis
ที่เป็นอันตรายถึงขั้นชีวิต ได้แก่:
o เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง (severe chest pain)
o ปวดศีรษะอย่างแรง อาจมีอาการทางสมอง เช่น สับสน (confusion)
สายตามัว (blurred vision)
o คลื่นไส้ และอาเจียน (nausea and vomiting)
o เครียดจัด (severe anxiety)
o หายใจไม่พอ-สั้น และถี่ (shortness of breath)
o ชัก-กระตุก (seizers)
o ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า (unresponsiveness)
หากท่านเกิดมีความดันโลหิตสูงมาก ๆ จะมีอาการตามที่กล่าวมา ท่านต้องพบแพทย์ทันที
เพื่อการรักษา ซึ่งท่านอาจได้รับยาการฉีดยาเข้าเส้น หรืออาจเป็นยารับประทาน..
ขึ้นกับความรุ้นแรงของความดันโลหิตสูง (emergency หรือ urgercy)
www.mayoclinic.com/health/blood-pressure-medications/AN01805
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์: About hypertesnions: Treatments (3)
นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์: About hypertesnions: Treatments (3): เป้าหมายของการรักษาความดันโลหิตสูง ขึ้นกับสุขภาพของท่านเป็นสำคัญ ถ้าสุขภาพของท่านดี เป้าหมายของความดัน คือ 140/90 mmHg หรือต่ำกว่า แต่...
About hypertesnions: Treatments (3)
เป้าหมายของการรักษาความดันโลหิตสูง ขึ้นกับสุขภาพของท่านเป็นสำคัญ
ถ้าสุขภาพของท่านดี เป้าหมายของความดัน คือ 140/90 mmHg หรือต่ำกว่า
แต่ถ้าสุขภาพของท่านไม่ดี เช่น มีโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease)
โรคเบาหวาน (diabetes) โรคหลอดเลือด และหัวใจ
หรือผู้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือด และหัวใจ
ความดันโลหิตของท่านจะต้องมีค่า 130/80 mmHg
หรือต่ำกว่า
ถ้าหากหัวใจของเราทำงานได้ไม่ดี เช่น หัวใจล้มเหลว (heart failure)
หรือโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease)
ระดับความดันควรอยู่ระหว่าง 120/80 mmHg
หรือต่ำกว่านั้น
ถ้าหากท่านเป็นคนสูงอายุ 80 หรือมากกว่านั้น
แพทย์อาจตั้งระดับความดันโลหิตให้สูงกว่า 140/90 mmHg เพียงเล็กน้อย
ในการรักษาความดันโลหิตสูง แพทย์จะแนะนำให้ให้ท่านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง
เพื่อควบคุมความดันโลหิตของท่าน บางครั้ง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง
เช่น เรื่องอาหารการกิน และการออกกำลังกาย อาจไม่เพียงพอ..
ดังนั้น แพทย์อาจจำเป็นต้องให้ยาเม็ดรับประทาน
เพื่อเป็นการลดความดันโลหิตของท่าน...ลง
แพทย์จะให้ยากลุ่มใดแก่ท่าน ขึ้นกับ ของความดันโลหิต(สูง)อยู่ในขั้นใด (stage)
รวมทั้งโรคประจำตัว ที่ท่านมี
ยาที่แพทย็เขานำมาใช้รักษาความดัน มีหลายกลุ่มด้วยกัน
o Thiazide diuretics. เป็นยาขับปัสสาวะ หรือชื่อ “ Water pill”
ออกฤทธืที่ไตทำหน้าที่ขับสาร sodium และ น้ำออกจากกาย ทำให้ปริมาณของน้ำในกายลดลง
ยาที่ใช้ คือ Thiazide มักเป็นตัวแรกที่นำมาใช้ในการลดความดันลง
ยกตัวอย่าง เช่น หากความดันของท่านสูง และทานไม่ได้รับ diuretics
แพทย์อาจให้ยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มอื่นแก่ท่านเพื่อลดความดัน
หรือ ใช้ยาร่วมกับ diuretic
o Beta Blocker. ยาในกลุ่มนี้ลดการทำงานของ (workload) ของหัวใจลง
โดยการเปิดเส้นเลือดให้กว้างขึ้น เป็นเหตุให้หัวใจเต้นช้าลง (slow heart rate)
หัวใจไม่ต้องออกแรงมาก
ในการใช้ยาตัวนี้ หากเพียงตัวเดียวในคนผิวดำ หรือคนสูอายุ....มักจะไม่ค่อยได้ผลดี
แต่เมื่อใช้ร่วมกับ thiazide diuretic.จะได้ผลดี
o Angiotensin converting enzyme (ACE) inhibitors.
ยาตัวนี้ จะทำหน้าที่ช่วยลดความดัน โดยทำให้เส้นเลือดคลายตัว (relax)
ด้วยการสกัดกั้น ไม่ให้มีการสร้างสารเคมี ที่ทำหน้าที่ให้เส้นเลือดหดตัว (vasoconstriction)
ซึ่งเป็นเหตุให้กิดมีเส้นเลือดหดตัว
o Angiotensin II Receptors blockers ยาในกลุ่มนี้
ออกฤทธิ์โดยป้องกันไม่ให้สารเคมี ทำให้เส้นเลือดหดแคบลง
ไม่ใช้ป้องกันการสร้างสารเคมี....เหมือนพวก ACE
o Calcium channel blockers มันออกฤทธิ์โดยการทำให้เส้นเลือดคลายตัว (relax)
อาจมีการลดอัตราการบีบตัวลง(heart rate)
ยาในกลุ่มนี้ ทำงานได้ดีในคนผิวดำ หรือคนสูงอายุ และดีกว่าการใช้ ACE หรือ beta blocker อย่างเดียว
ผลเสียตัวนี้ ห้ามใช้ยาตัวนี้กับน้ำองุ่น (grape juice) เพราะมันสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อกันได้
เป็นอันตรายต่อคนไข้ได้
o Renin inhibitors. ยาในกลุ่มนี้ Aliskiren (Tektuma)
มันทำหน้าที่สร้างสาร Renin
สาร Renin เป็นเอ็นไซม์ที่สร้างในไต...ซึ่งมีขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำให้ความดันโลหิหิตสูง
ยา Tektuma จะทำหน้าที่ลดขบวนการทำงานของ Renin ลง
หากคนไข้ได้รับการรักษาด้วยการใช้ยาร่วมกับยาตัวอื่น ๆ แล้ว ไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยา Tektuma
ร่วมในการรักษาก็ได้
o Alpha blocker. สารตัวนี้ จะไปลดคลื่นประสาทที่เส้นเลือดลง
ยังผลให้เส้นเลือดคลายตัว (relax)โดยมันจะลดผลที่เกิดจากสารเคมีที่ได้จากธรรมชาติ
ซึ่งสามารถทำให้เส้นเลือดหดเล็กลง
o Central blocking agents. ยาในกลุ่มนี้
จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สมองสั่งการ (signaling) ไปทำให้หัวใจเต้นเร็ว และไม่ให้เส้นเลือดหดตัว
o Vasodilators. เป็นยาท่ำหน้าที่โดยตรงต่อกล้ามเนื้อของเส้นเลือด
ป้องกันไม่ให้มีการหดตัว ปล่อยเส้นเลือดให้ขยายตัว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อรักษาความดันโลหิตสูง
(Lifestyle changes to treat high blood pressure)
ไม่ว่าแพทย์เขาจะให้ยารักษาความดันชนิดแก่ท่าน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความดันยังมีความจำเป็นอยู่ดี
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ได้แก่ การรับประทานอาหารสุขภาพ ลดอาหารประเภทเค็มลง
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลิกสูบบุหรี่ และอย่าให้น้ำหนักตัวเพิ่ม
หากน้ำหนัท่านเพิ่มอยู่แล้ว ท่านต้องลด
Resistant hypertension:
ในกรณีที่เราไม่สามารถไม่สามารถควบคุม หรือลดความดันลงมาได้
แม้ว่า ท่านจะได้รับยาถึงสามตัวแล้วก็ตาม
หนึ่งในจำนวนสามตัวดังกล่าว คือ diuretic
เราเรียกความดันชนิดนี้ว่า Resistant hypertension
ซึ่งหมายถึง คนไข้มีความดันสูงโดยที่ความดันของเขาไม่ตอบสนองต่อยารักษา...ที่เขาได้รับ
สำหรับคนไข้ความดันโลหิตสูง ซึ่งได้รับยารักษาจำนวน 4 ตัว แม้ว่า เราสามารถควบคุมความดันได้ก็ตาม
รายังเรียกว่า Resistant hypertension อยู่ดี
การเป็น Resistant hypertension ไม่ได้หมายความว่า เราไม่สามารถลดความดันลงสู่ปกติ....
เรายังสามารถลดความดันสู่ระดับปกติได้
แต่สิ่งที่แพทย์ และคุณจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน คือ หาสาเหตุที่อยู่บื้องหลังความดันโลหิตสูงนั้นให้ได้
แพทย์ที่ทำหน้าที่รักษาท่าน สามารถตรวจสอบ และวิเคราะห์ ชนิด และขนาดของยาที่ใช้รักษาความดัน
ว่า มันมีความเหมาะสมหรือไม่ ?
คุณอาจได้รับการปรับขนาดของยา (ขึ้น หรือลง)ตามความเหมาะสม
นอกเหนือไปจากนั้น ตัวท่านเอง และแพทย์จะได้พิจารณายาต่าง ๆ ที่ท่านใช้รักษาโรคอย่างอื่น
เช่น ยาบางตัว หรืออาหารเสริมบางชนิด
เพราะมียาเหล่านั้นอาจมีผลทำให้ความดันของท่านสูงขึ้นได้
หรือป้องกันไม่ให้ยาที่ท่านกำลังใช้อยู่นั้น ทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือไม่ทำงานเลย ?
ถ้าคุณไม่ปฏิบัติตาม ไมรับประทานยาตามแพทย์สั่ง.....
หรืองดเว้นการรับปะทานยาไปสักวัน ด้วยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม
สามารถทำให้การควบคุมโรคความดันไม่ประสบผลได้
ผลเสียหายต่างๆ จะเกิดขึ้น...ไม่ได้เกิดขึ้นกับแพทย์ผู้ทำการรักษาเลย
แต่มันเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง
www.mayoclinic.comhealth/high-blood-pressure/DS00100/DSECTION
www.cdc.gov/bloodpressure/about.htm
ถ้าสุขภาพของท่านดี เป้าหมายของความดัน คือ 140/90 mmHg หรือต่ำกว่า
แต่ถ้าสุขภาพของท่านไม่ดี เช่น มีโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease)
โรคเบาหวาน (diabetes) โรคหลอดเลือด และหัวใจ
หรือผู้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือด และหัวใจ
ความดันโลหิตของท่านจะต้องมีค่า 130/80 mmHg
หรือต่ำกว่า
ถ้าหากหัวใจของเราทำงานได้ไม่ดี เช่น หัวใจล้มเหลว (heart failure)
หรือโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease)
ระดับความดันควรอยู่ระหว่าง 120/80 mmHg
หรือต่ำกว่านั้น
ถ้าหากท่านเป็นคนสูงอายุ 80 หรือมากกว่านั้น
แพทย์อาจตั้งระดับความดันโลหิตให้สูงกว่า 140/90 mmHg เพียงเล็กน้อย
ในการรักษาความดันโลหิตสูง แพทย์จะแนะนำให้ให้ท่านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง
เพื่อควบคุมความดันโลหิตของท่าน บางครั้ง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง
เช่น เรื่องอาหารการกิน และการออกกำลังกาย อาจไม่เพียงพอ..
ดังนั้น แพทย์อาจจำเป็นต้องให้ยาเม็ดรับประทาน
เพื่อเป็นการลดความดันโลหิตของท่าน...ลง
แพทย์จะให้ยากลุ่มใดแก่ท่าน ขึ้นกับ ของความดันโลหิต(สูง)อยู่ในขั้นใด (stage)
รวมทั้งโรคประจำตัว ที่ท่านมี
ยาที่แพทย็เขานำมาใช้รักษาความดัน มีหลายกลุ่มด้วยกัน
o Thiazide diuretics. เป็นยาขับปัสสาวะ หรือชื่อ “ Water pill”
ออกฤทธืที่ไตทำหน้าที่ขับสาร sodium และ น้ำออกจากกาย ทำให้ปริมาณของน้ำในกายลดลง
ยาที่ใช้ คือ Thiazide มักเป็นตัวแรกที่นำมาใช้ในการลดความดันลง
ยกตัวอย่าง เช่น หากความดันของท่านสูง และทานไม่ได้รับ diuretics
แพทย์อาจให้ยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มอื่นแก่ท่านเพื่อลดความดัน
หรือ ใช้ยาร่วมกับ diuretic
o Beta Blocker. ยาในกลุ่มนี้ลดการทำงานของ (workload) ของหัวใจลง
โดยการเปิดเส้นเลือดให้กว้างขึ้น เป็นเหตุให้หัวใจเต้นช้าลง (slow heart rate)
หัวใจไม่ต้องออกแรงมาก
ในการใช้ยาตัวนี้ หากเพียงตัวเดียวในคนผิวดำ หรือคนสูอายุ....มักจะไม่ค่อยได้ผลดี
แต่เมื่อใช้ร่วมกับ thiazide diuretic.จะได้ผลดี
o Angiotensin converting enzyme (ACE) inhibitors.
ยาตัวนี้ จะทำหน้าที่ช่วยลดความดัน โดยทำให้เส้นเลือดคลายตัว (relax)
ด้วยการสกัดกั้น ไม่ให้มีการสร้างสารเคมี ที่ทำหน้าที่ให้เส้นเลือดหดตัว (vasoconstriction)
ซึ่งเป็นเหตุให้กิดมีเส้นเลือดหดตัว
o Angiotensin II Receptors blockers ยาในกลุ่มนี้
ออกฤทธิ์โดยป้องกันไม่ให้สารเคมี ทำให้เส้นเลือดหดแคบลง
ไม่ใช้ป้องกันการสร้างสารเคมี....เหมือนพวก ACE
o Calcium channel blockers มันออกฤทธิ์โดยการทำให้เส้นเลือดคลายตัว (relax)
อาจมีการลดอัตราการบีบตัวลง(heart rate)
ยาในกลุ่มนี้ ทำงานได้ดีในคนผิวดำ หรือคนสูงอายุ และดีกว่าการใช้ ACE หรือ beta blocker อย่างเดียว
ผลเสียตัวนี้ ห้ามใช้ยาตัวนี้กับน้ำองุ่น (grape juice) เพราะมันสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อกันได้
เป็นอันตรายต่อคนไข้ได้
o Renin inhibitors. ยาในกลุ่มนี้ Aliskiren (Tektuma)
มันทำหน้าที่สร้างสาร Renin
สาร Renin เป็นเอ็นไซม์ที่สร้างในไต...ซึ่งมีขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำให้ความดันโลหิหิตสูง
ยา Tektuma จะทำหน้าที่ลดขบวนการทำงานของ Renin ลง
หากคนไข้ได้รับการรักษาด้วยการใช้ยาร่วมกับยาตัวอื่น ๆ แล้ว ไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยา Tektuma
ร่วมในการรักษาก็ได้
o Alpha blocker. สารตัวนี้ จะไปลดคลื่นประสาทที่เส้นเลือดลง
ยังผลให้เส้นเลือดคลายตัว (relax)โดยมันจะลดผลที่เกิดจากสารเคมีที่ได้จากธรรมชาติ
ซึ่งสามารถทำให้เส้นเลือดหดเล็กลง
o Central blocking agents. ยาในกลุ่มนี้
จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สมองสั่งการ (signaling) ไปทำให้หัวใจเต้นเร็ว และไม่ให้เส้นเลือดหดตัว
o Vasodilators. เป็นยาท่ำหน้าที่โดยตรงต่อกล้ามเนื้อของเส้นเลือด
ป้องกันไม่ให้มีการหดตัว ปล่อยเส้นเลือดให้ขยายตัว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อรักษาความดันโลหิตสูง
(Lifestyle changes to treat high blood pressure)
ไม่ว่าแพทย์เขาจะให้ยารักษาความดันชนิดแก่ท่าน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความดันยังมีความจำเป็นอยู่ดี
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ได้แก่ การรับประทานอาหารสุขภาพ ลดอาหารประเภทเค็มลง
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลิกสูบบุหรี่ และอย่าให้น้ำหนักตัวเพิ่ม
หากน้ำหนัท่านเพิ่มอยู่แล้ว ท่านต้องลด
Resistant hypertension:
ในกรณีที่เราไม่สามารถไม่สามารถควบคุม หรือลดความดันลงมาได้
แม้ว่า ท่านจะได้รับยาถึงสามตัวแล้วก็ตาม
หนึ่งในจำนวนสามตัวดังกล่าว คือ diuretic
เราเรียกความดันชนิดนี้ว่า Resistant hypertension
ซึ่งหมายถึง คนไข้มีความดันสูงโดยที่ความดันของเขาไม่ตอบสนองต่อยารักษา...ที่เขาได้รับ
สำหรับคนไข้ความดันโลหิตสูง ซึ่งได้รับยารักษาจำนวน 4 ตัว แม้ว่า เราสามารถควบคุมความดันได้ก็ตาม
รายังเรียกว่า Resistant hypertension อยู่ดี
การเป็น Resistant hypertension ไม่ได้หมายความว่า เราไม่สามารถลดความดันลงสู่ปกติ....
เรายังสามารถลดความดันสู่ระดับปกติได้
แต่สิ่งที่แพทย์ และคุณจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน คือ หาสาเหตุที่อยู่บื้องหลังความดันโลหิตสูงนั้นให้ได้
แพทย์ที่ทำหน้าที่รักษาท่าน สามารถตรวจสอบ และวิเคราะห์ ชนิด และขนาดของยาที่ใช้รักษาความดัน
ว่า มันมีความเหมาะสมหรือไม่ ?
คุณอาจได้รับการปรับขนาดของยา (ขึ้น หรือลง)ตามความเหมาะสม
นอกเหนือไปจากนั้น ตัวท่านเอง และแพทย์จะได้พิจารณายาต่าง ๆ ที่ท่านใช้รักษาโรคอย่างอื่น
เช่น ยาบางตัว หรืออาหารเสริมบางชนิด
เพราะมียาเหล่านั้นอาจมีผลทำให้ความดันของท่านสูงขึ้นได้
หรือป้องกันไม่ให้ยาที่ท่านกำลังใช้อยู่นั้น ทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือไม่ทำงานเลย ?
ถ้าคุณไม่ปฏิบัติตาม ไมรับประทานยาตามแพทย์สั่ง.....
หรืองดเว้นการรับปะทานยาไปสักวัน ด้วยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม
สามารถทำให้การควบคุมโรคความดันไม่ประสบผลได้
ผลเสียหายต่างๆ จะเกิดขึ้น...ไม่ได้เกิดขึ้นกับแพทย์ผู้ทำการรักษาเลย
แต่มันเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง
www.mayoclinic.comhealth/high-blood-pressure/DS00100/DSECTION
www.cdc.gov/bloodpressure/about.htm
About hypertension : Risk factors.
Risk factors
ในคนเป็นความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ (adult)
ในเด็กก็สามารถเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน
สำหรับเด็กบางราย ความดันโลหิตสูงจะมีสาเหตุมาจากโรคไต หรือ โรคหัวใจ
สำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต มีการปล่อยตัวปล่อยใจตัวเอง ให้ตกอยู่ภายใต้
นิสัยที่ไม่ค่อยดี เช่น รับประทานอาหารทีไร้ประโยชน์ต่อสุขภาพ (unhealthy diet)
ไม่ค่อยจะออกกำลังกาย....
มักเป็นเหตุนำไปสู่การเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้:
o อายุ (age). อายุที่สูง (แก่)ขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
พอผ่านช่วงต้นของวัยกลางคน (early middle age) พบว่า
เพศชายมมีแนวโน้มที่จะเกิดมีความดันสูง
ส่วนสตรีจะมีความดันสูงเมื่อหลังวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว
o เชื้อชาติ(Race). ชนชาติผิวดำ มีโอกาสเป็นโรคความดันสูงได้มากกว่าพวกผิวขาว
โดยมีรายงานว่า คนผิวดำมักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงได้มากกว่า
เกิดโรคหัวใจขาดเลือด-ออกซิเจน (heart attack)และสมองขาดเลือด (stroke)
o ประวัติครอบครัว (Family). ความดันโลหิตสูงมักจะพบว่า มักเป็นในครอบครัว
พ่อ-แม่เป็นโรคความดัน... ลูก ๆ มักจะเป็น...
ปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้:
o Overweight or Obese
o Inactive เช่น พวกนั่งโต๊ะตลอดวัน ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
o Using tobacco. การสูบบุหรี่ ไม่เพียงแต่จะทำให้ความดันเพิ่มขึ้นได้ (ชั่วระยะสั้นเท่านั้น)
ยังมีสารเคมีในบุหรี่ (tobacco) สามารถทำอันตราย (damage) ต่อผนังของเส้นเลือด
และทำให้เส้นเลือดตีบแคบลงที่สุด เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้
นอกเหนือไปจากนั้น คนที่มีโอกาสดมควันบุหรี่เป็นประจำ (secondhand)
ก็มีโอกาสเกิดความดันสูงได้เช่นกัน
o Too much salt in diet. การรับประทานอาหารรสเค็ม
สามารถทำให้ร่างกายมีการกักเก็บเอาน้ำไว้ในร่างกายเพิ่มขึ้น
เป็นเหตุให้เกิดความดันโลหิตสูงได้
o Too little potassium I diet. สารโปรแตสเซี่ยม
มีบทบาทในการสร้างความสมดุลของปริมาณของโซเดียม ที่อยู่ภายในภายในเซลล์
หากคุณไม่ได้รับสารโปแตสเซี่ยม (อาหาร) ได้เพียงพอ
หรือในร่างกายของคุณมีโปแตสเซี่ยมน้อยไป
จะเป็นเหตุให้ปริมาณของโซเดียมในกายมีปริมาณมากไป...
เป็นเหตุให้เกิดความดันโลหิตสูงได้
o Too much alcohal. หากท่านดื่มแอลกอฮอลล์มากเกินไป
มันจะเป็นอันตราย (damage) ต่อหัวใจของท่านได้
จากการดื่มแอลกอฮอลมากเกินไป สามารถทำให้ความดันเคลื่อนสูงในระยะสั้น
และอาจทำให้ร่างกายของทานปล่อยสารฮอร์โมนบางอย่างออกมา
เป็นตัวกระตุ้นให้มีการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
การไหลเวียนของเลือดมากขึ้น
o Stress. ความเครียดสามารถทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้
หากคุณแก้ไข้ด้วยการผ่อนคลาย แล้วตามด้วยการรับประทานตามใจปาก
และดื่มแอลกอฮอลแก้ปัญหา มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้ความดันเพิ่มขึ้น
o ปริมาณ vitamin D ในอาหารน้อยไป.
กลไกทำให้ความดันโลหิตสูงจากปริมาณไวตามินน้อยไปนั้น ยังไม่เป็นที่ทราบชัด
แต่ที่ทราบมีว่า vitamin D อาจมีผลกระทบต่อเอ็นไซม์ ที่ผลิตจากไต
ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำให้ระดับความดันสูงขึ้น
o Certain chronic conditions.
มีโรคเรื้อรังบางชนิดที่มีแนวโน้ม ทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
เช่น โรคเหวาน มีรับไขมัน cholesterol สูง
o มีโรคไตเรื้อรัง และมีการหายใจหยุดชะงักในขณะหลับ (sleep apnea)
ผลของความดันโลหิตสูง
เมื่อท่านมีความดันโลหิตสูงเกิดขึ้น มันสามารถทำลายสุขภาพของท่านได้หลายทาง
ที่เห็นง่าย คือ มันทำให้เส้นเลือดเกิดการแข็งตัวขึ้น ลดการไหลเวียนกระแสเลือดลง
เป็นเหตุให้มีเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะไม่เพียงพอ รวมทั้งไม่ได้รับออกวิเจนพอเพียงด้วย
เป็นเหตุให้เกิด
o เจ็บหน้าอก (chest pain) เราเรียก angina pectoris
o เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) เป็นภาวะที่หัวใจของคนเรา
ไม่สามารถปั้มเลือดไปเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญ ๆ ของร่างกายได้
o เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดและออกซิเจน (heart attack)
ทำให้เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจจะตายเพราะขาดออกซิเจน
โอกาสที่หัวใจจะถูกทำลายยิ่งมีมากเท่านั้น
cont. > Treatment
ในคนเป็นความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ (adult)
ในเด็กก็สามารถเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน
สำหรับเด็กบางราย ความดันโลหิตสูงจะมีสาเหตุมาจากโรคไต หรือ โรคหัวใจ
สำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต มีการปล่อยตัวปล่อยใจตัวเอง ให้ตกอยู่ภายใต้
นิสัยที่ไม่ค่อยดี เช่น รับประทานอาหารทีไร้ประโยชน์ต่อสุขภาพ (unhealthy diet)
ไม่ค่อยจะออกกำลังกาย....
มักเป็นเหตุนำไปสู่การเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้:
o อายุ (age). อายุที่สูง (แก่)ขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
พอผ่านช่วงต้นของวัยกลางคน (early middle age) พบว่า
เพศชายมมีแนวโน้มที่จะเกิดมีความดันสูง
ส่วนสตรีจะมีความดันสูงเมื่อหลังวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว
o เชื้อชาติ(Race). ชนชาติผิวดำ มีโอกาสเป็นโรคความดันสูงได้มากกว่าพวกผิวขาว
โดยมีรายงานว่า คนผิวดำมักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงได้มากกว่า
เกิดโรคหัวใจขาดเลือด-ออกซิเจน (heart attack)และสมองขาดเลือด (stroke)
o ประวัติครอบครัว (Family). ความดันโลหิตสูงมักจะพบว่า มักเป็นในครอบครัว
พ่อ-แม่เป็นโรคความดัน... ลูก ๆ มักจะเป็น...
ปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้:
o Overweight or Obese
o Inactive เช่น พวกนั่งโต๊ะตลอดวัน ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
o Using tobacco. การสูบบุหรี่ ไม่เพียงแต่จะทำให้ความดันเพิ่มขึ้นได้ (ชั่วระยะสั้นเท่านั้น)
ยังมีสารเคมีในบุหรี่ (tobacco) สามารถทำอันตราย (damage) ต่อผนังของเส้นเลือด
และทำให้เส้นเลือดตีบแคบลงที่สุด เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้
นอกเหนือไปจากนั้น คนที่มีโอกาสดมควันบุหรี่เป็นประจำ (secondhand)
ก็มีโอกาสเกิดความดันสูงได้เช่นกัน
o Too much salt in diet. การรับประทานอาหารรสเค็ม
สามารถทำให้ร่างกายมีการกักเก็บเอาน้ำไว้ในร่างกายเพิ่มขึ้น
เป็นเหตุให้เกิดความดันโลหิตสูงได้
o Too little potassium I diet. สารโปรแตสเซี่ยม
มีบทบาทในการสร้างความสมดุลของปริมาณของโซเดียม ที่อยู่ภายในภายในเซลล์
หากคุณไม่ได้รับสารโปแตสเซี่ยม (อาหาร) ได้เพียงพอ
หรือในร่างกายของคุณมีโปแตสเซี่ยมน้อยไป
จะเป็นเหตุให้ปริมาณของโซเดียมในกายมีปริมาณมากไป...
เป็นเหตุให้เกิดความดันโลหิตสูงได้
o Too much alcohal. หากท่านดื่มแอลกอฮอลล์มากเกินไป
มันจะเป็นอันตราย (damage) ต่อหัวใจของท่านได้
จากการดื่มแอลกอฮอลมากเกินไป สามารถทำให้ความดันเคลื่อนสูงในระยะสั้น
และอาจทำให้ร่างกายของทานปล่อยสารฮอร์โมนบางอย่างออกมา
เป็นตัวกระตุ้นให้มีการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
การไหลเวียนของเลือดมากขึ้น
o Stress. ความเครียดสามารถทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้
หากคุณแก้ไข้ด้วยการผ่อนคลาย แล้วตามด้วยการรับประทานตามใจปาก
และดื่มแอลกอฮอลแก้ปัญหา มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้ความดันเพิ่มขึ้น
o ปริมาณ vitamin D ในอาหารน้อยไป.
กลไกทำให้ความดันโลหิตสูงจากปริมาณไวตามินน้อยไปนั้น ยังไม่เป็นที่ทราบชัด
แต่ที่ทราบมีว่า vitamin D อาจมีผลกระทบต่อเอ็นไซม์ ที่ผลิตจากไต
ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำให้ระดับความดันสูงขึ้น
o Certain chronic conditions.
มีโรคเรื้อรังบางชนิดที่มีแนวโน้ม ทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
เช่น โรคเหวาน มีรับไขมัน cholesterol สูง
o มีโรคไตเรื้อรัง และมีการหายใจหยุดชะงักในขณะหลับ (sleep apnea)
ผลของความดันโลหิตสูง
เมื่อท่านมีความดันโลหิตสูงเกิดขึ้น มันสามารถทำลายสุขภาพของท่านได้หลายทาง
ที่เห็นง่าย คือ มันทำให้เส้นเลือดเกิดการแข็งตัวขึ้น ลดการไหลเวียนกระแสเลือดลง
เป็นเหตุให้มีเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะไม่เพียงพอ รวมทั้งไม่ได้รับออกวิเจนพอเพียงด้วย
เป็นเหตุให้เกิด
o เจ็บหน้าอก (chest pain) เราเรียก angina pectoris
o เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) เป็นภาวะที่หัวใจของคนเรา
ไม่สามารถปั้มเลือดไปเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญ ๆ ของร่างกายได้
o เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดและออกซิเจน (heart attack)
ทำให้เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจจะตายเพราะขาดออกซิเจน
โอกาสที่หัวใจจะถูกทำลายยิ่งมีมากเท่านั้น
cont. > Treatment
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)