คนที่เป็นเบาหวาน ส่วนใหญ่ จะเกิดขึ้นเมื่อมีอายุมากแล้ว
จะเรียกว่าเป็นโรคของคน ในช่วงหลังของชีวิตก็คงไม่ผิด...
ยกตัวอย่าง เมื่อเดือนที่ผ่านมา ชายหลังเกษียณอายุราชการ พึ่งรู้ตัวว่า ตนเองเป็นโรคเบาหวาน
นั่นเป็นเรื่องปกติ
เมื่อเบาหวานเกิดขึ้นแล้ว เราสามารถควบคุมมัน ไม่ให้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค หรือภาวะแทรก
ซ้อนของเบาหวาน เช่น โรคหัวใจ (heart attack) อัมพฤกษ์ (stroke) ตาบอด (blindness)
หูหนวด (deafness) ไตวาย (kidney failure) และอื่น ๆ
การเกิดเบาหวานในระยะหลังของชีวิต (late onset of diabetes) มักจะหมายถึงคนไข้มีระดับอินซูลิน
ในกระแสเลือดสูง โดยที่เซลล์ของคนเบาหวาน ไม่ตอบสนอง (resistant) ต่ออินซูลินเทาที่ควรจะเป็น
เมื่อมีอินซูลินในกระแสเลือดสูง ตัวอินซูลินมัน..จะทำให้เส้นเลือดต่างๆ เกิดการหดตัว
เป็นเหตุให้หัวใจขาดเลือด เกิด heart attack
อินซูลินจะกระตุ้นสมอง และตับ ทำให้เกิดความหิว และมีการสร้างไขมันขึ้น
การเกิดภาวะต่อต้านอินซูลิน (insulin resistance syndrome)
จะทำให้คนเป็นเบาหวานเองตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยง (risk) ต่อการเกิดโรคหัวใจดังกล่าว
รวมไปถึงการสะสมไขมันที่บริเวณหน้าท้อง (รอบเอว)มากกว่าที่จะสะสมบริเวณสะโพก
ทำให้ไขมัน triglyceride สูง ลดระดับไขมันดี HDL cholesterol ลง
ทำให้ความดันโลหิตสูง และเป็นตัวทำให้เม็ดเลือดจับตัวเป็นก้อน (clots)ได้ง่ายขึ้น
ไม่ปรากฎว่า มีอะไรดีสักอย่าง ?
ถ้าท่านเป็นเบาหวาน และมีอาการตามที่กล่าวมา
ขอให้ท่านปรึกษากับแพทย์ของท่าน เพื่อขอตรวจ HbA1C
ถ้าผลของ HbA1C สูง ท่านเป็นเบาหวานแน่นอน
ซึ่งสามารถควบคุมได้ด้วยอาหาร (diet) และยา (medications)
ตัวท่านเองมีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมโรคของท่าน โดยท่านจะต้องเรียนรู้ว่า
อาหาหารชนิดใดทำให้น้ำตาลในกระแสเลือด (หลังรับประทาน) ซึ่งท่านจะต้องหลีกเลี่ยง
หากปล่อยให้มีน้ำตาลในเลือดสูงมากเท่าใด เนื่องจากมันมีคุณสมบัติ "เหนียว"
มันจะไปเกาะติดกับเซลล์ในร่างกายของเรา เกาะติดแล้วติดเลย ไม่ยอมหลุดออกจากเซลล์
ที่น่ากลัว...น้ำตาลที่เกาะติดบนผิวของเซลล์ จะเปลี่ยนสภาพเป็นพิษ เรียก Sorbitol
และตัว sorbitol ตัวนี้แหละที่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งหลายที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้น
ให้พยายามหลีกเลี่ยงอาหาร ที่ให้น้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้แก่อาหารทุกชนิดที่ให้แป้ง
เช่น: ขนปัง (bread) spaghetti, macroni bagels craker cookies และ
White rice
รวมถึงอาหารทุกชนิดที่ใส่น้ำตาลเป็นส่วนผสมท้งหมด เช่น ของหวานทั้งหลาย ที่เราชอบรับบประทานกัน
ให้รับประทานอาหารประเภทผัก อาหารปะเภทธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ถั่ว ผลไม้
โดยรับประทาน ร่วมกับอาหารอย่างอื่น
สำหรับยาที่ใช้ในการรักษาเบาหวาน:
ได้แก่ยาที่ทำหน้าที่ลดระดับน้ำตาล และเพิ่มระดับอินซูลิน
และยาซึ่งลดน้ำตาล และลดระดับอินซูลินด้วย
อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ไม่ดี (bad hormone) ดังนั้น ยาที่ปลอดภัยที่สุด
คือกลุ่มยาที่ทำหน้าที่ลดทั้งน้ำตาล และอินซูลินลง
คนไข้เทุกรายที่เป็นเบาหวาน ควรได้รับยาประเภท Glucophage ก่อนอาหาร
ยาตัวนี้จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูง และป้องกันไม่ให้มันไปเกาะติดกับเซลล์
และได้รับการยืนยันว่าเป็นยาที่ดี และปลอดภัย
ถ้าผลปรากฏว่า HbA1C ไม่สามารคบคุมได้ด้วยอาหาร (diet) และ Glucophage
ส่วนใหญ่แพทย์เขาจะเพิ่มยา Actos 30 mg โดยให้ร่วมกับ Machophage
ผลเสียของการใช้ยาตัวนี้ คือ เป็นอันตรายต่อตับได้ ดังนั้น จึงควรตรวจเลือดดูการทำงานของตับเป็นระยะ
อย่งน้อยๆ สองสามเดือนแรก
ท่านควรพบแพทย์ทุกเดือน และตามกำหนด พร้อมกับการตรวจดูระดับ HbA1C (ซึ่งเป็นค่าของระดับน้ำ
ตาล ที่ถูกควบคุมนะยะสองเดือนที่ผ่านมา) ซึ่งควรมีค่าปกติ
ถ้าหากผิดปกติ คือสูงเกินที่กำหนด แพทย์เขาจำทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนยา
เพื่อให้สามารถควบคุม A1C ให้ต่ำลงสู่ค่าที่ต้องการ
สำหรับท่านเอง (เป็นเบาหวาน) ต้องปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารให้ได้
ถ้าผลของ HbA1C ยังไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อนั้นแหละ ถึงคราวที่เราจำเป็นต้องใช้ยา(bad drug)
ซึ่งทำหน้าทีเพี่มระดับอินซูลินในกระแสเลือด
โดยทั่วไป เขาจะให้ Glipizide XL
ถ้าผลยังไม่ดี...เขาจะเพิ่มขนาดของ glipizide ขึ้นไปอีก
หากเพิ่มแล้ว ยังไม่ได้ผลตามต้องการ
ถึงคราวที่ท่านต้องหัดฉีดยา อินซูลิน แก่ตนเองได้แล้ว
นั่นคือแนวทางสำหรับการจัดการกับเบาหวานเขาละ
www.drmirkin.com/diabets/D222.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น