วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

เบาหวาน- Blood Sugar control (2)

เมื่อเรา รับประทานอาหาร อาหารที่รับเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล “กลูโกส”
Beta cell จะเริ่มทำงานทันที เหมือนกับเราสตาร์ทรถ เข้าเกียร์หนึ่งเพื่อเคลื่อนรถออกวิ่ง
เมื่อ beta cell เริ่มทำงาน มันจะปล่อยอินซูลินที่ถูกสะสมไว้ในเซลล์ ในระดับหนึ่ง
ให้ออกสู่กระแสโลหิตทันที หลังจากนั้น ถ้าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงกว่า 100mg/dl (5.5 mmol/l)
Beta cell จะปล่อยอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือดเพิ่มขึ้น

การปล่อยอินซูลินสู่กระแสเลือดหลังรับประทานอาหารในระยะแรก เรียก First Phase Insulin Release
ซึ่งในคนปกติ สามารถรักษาระดับน้ำตาลไม่ให้สูงจากระดับปกติมากนัก
ซึ่ง “เบต้าเซลล์” สามารถปล่อยอินซูลินออกมา จัดการกับน้ำตาลที่ได้จากอาหารได้ตามปกติ

ปริมาณของอินซูลิน ที่ถูกปล่อยออกมาใน First Phase เพื่อจัดการกับอาหารนั้น
สามารถประมาณได้จากระดับน้ำตาลที่วัดได้ในมื้ออาหารก่อนหน้านั้น
และในคนที่สุขภาพดี พบว่า ระดับอินซูลินจะเพิ่มสูงสุด (peak) ใน first phase ภายใน 2-3 นาที
หลังเริ่มรับประทานอาหาร ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที หลังรับประทานอาหาร

Second Insulin Release Fails:
ภายหลังการเสร็จสิ้นของ First Phase Insulin Release เบต้าเซลล์จะยุติการทำงาน
ต่อจากนั้น ภายใน 10 ถึง 20 นาทีให้หลัง หากระดับน้ำตาลยังสูงกว่า 100 mg/dl
เบต้าเซลล์ก็ต้องทำงานต่อ ด้วยการปล่อยอินซูลินออกมาอีก เป็น Second phase insulin release
เพื่อจัดการกับน้ำตาลทียังสูงอยู่ ให้ลงสู่ระดับเริ่มต้น
ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 1 - 1 ½ ชั่วโมง หลังจากเริ่มรับประทานอาหาร

เมื่อคนเรารับประทานอาหารที่เป็น “คาร์โบฮัยเดรต” ในปริมาณสูง
แล้วทำให้ระดับน้ำตาลสูงมากว่า 140 mg/dl
จึงเป็นหน้าที่ของ Beta cell ที่จะต้องปล่อยอินซูลินออกมาเป็นสองะยะ (first &second phase)
เพื่อจัดการกับระดับน้ำตาลให้ลดสู่ระดับปกติ
เมื่อการสนองตอบของ First&Second Phases Insulin Release ต่อระดับน้ำตาล
จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ในเวลาสองชั่วโมง น่าจะกลับสู่ระดับ 80 mg/dl

ถ้าการตอบสนองของอินซูลินในระยะแรกล้มเหลว หรือตามด้วยระยะที่สองแล้ว
ผลที่ได้ไม่ค่อยจะดีเท่าใด เป็นเหตุให้น้ำตาลในกระแสเลือดหลังอาหาร ยังมีค่าสูง
และต้องกินเวลาอีกนาน กว่ามันจะกลับสู่ระดับปกติ
ภาวะเช่นนี้ เราเรียกว่า “Impaired glucose tolerance”

แต่หากพบว่า ระดับน้ำตาลหลังรับประทานอาหารไปแล้ว ยังมีค่าสูงกว่า 200 mg/dl
ในกรณีเช่นนี้ เราเรียกว่า เป็นเบาหวาน (diabetes)

>> Cont. (3)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น