วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Blood Pressure and Your Brain

10/9/12

เมื่อวันวานได้รับคำบอกเล่าว่า...
เพื่อนของเขาคนหนึ่ง  ทำหน้าที่เป็นเป็นสื่อ...บอกเล่าข้อมูลต่างๆ 
ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนเป็นประจำ
แต่ต้องมีอันเป็นไป  เมื่อเกิดมีเลือดตกในสมองด้วยสาเหตุของโรคประจำตัว
คือความดันโลหิตสูง และปล่อยให้ตัวเองตกเป็นทาสของน้ำเมา 
นับเป็นเรื่องเศร้า  และตกใจสำหรับเพื่อน ๆ  เป็นอย่างยิ่ง 

ความดันโลหิตสูง  จัดเป็นโรคทางระบบเส้นเลือดและหัวใจ (cardiovascular disease)
เพราะเกี่ยวข้องกับหัวใจ  และเส้นเลือดทั้งหลาย
และที่สำคัญ  ความดันโลหิตสูงถือว่า 
เป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดเลือดออก (bleeding)ในสมอง
และการที่ท่านใดปล่อยให้ความดันโลหิตสูง  ไม่ได้รับการรักษา 
ท่านได้มีความเสี่ยงต่อการเกิดมีเลือดออกในสมองซะแล้ว


ในเมื่อเส้นเลือดแดงทั้งหลายต่างเป็นส่วนสำคัญต่ออวัยวะทุกชนิด 
ดังนั้น  ถ้าท่านมีความดันโลหิตสูงเกิดขึ้น  ท่านมมีสิ่งที่น่ากลัวที่สามารถทำลาย
ตัวท่านทุกขณะจิต  เพราะความดันโลหิตสูงที่เกิด  หากไม่ได้รับการรักษา
มันจะก่อให้เกิดโรคหัวใจ,  หัวใจวาย  และโรคเส้นเลือดแดงส่วนปลาย

นอกจากนั้น  ยังพบอีกว่า  โรคความดันโลหิตสูงยังสามารถทำลายอวัยวะอย่างอื่น
เช่น  ลูกตา (eyes), ไต (kidneys) และสมอง (brain)
และเป็นที่ทราบชัดว่า โรคความดันโลหิตสูงยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดความบกพร่อง
ทางความจำ,  ทางความคิด  และการตัดสินใจ

ที่พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น...แต่ข่าวดีก็มีว่า
การรักษาความดันโลหิตสูงสามารถปกป้องสมอง.....และหัวใจท่านได้
ขอเพียงแต่ท่านสามารถลดความดันโลหิตของท่านลงเพียง 3 จุด
ท่านสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองถูกทำลายได้

ความจริงเกี่ยวกับภาวะสมองถูกทำลาย (stroke)

§  จากสถิติของสหรัฐฯ  รายงานเอาไว้ว่า  ในชนชาวอเมริกันจำนวน 74 ล้านคน....
พบว่า  หนึ่งในสามคนจะเป็นโรคความดันลิตสูง (hypertension)

§  ภาวะสมองถูกทำลาย (stroke) เป็นสาเหตุของความตายอันดับสาม 
และในแต่ละปีจะมีคนเป็นโรคดังกล่าว  ประมาณ  800,000  คน
และมีประมาณ  40 % เสียชีวิต  ส่วนที่เหลือก็เป็นคนพิการไป

§  โรคความดันโลหิตสูง  จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองถูกทำลาย
จากการขาดเลือดได้  220 %

§  ทุกๆ 10 mm Hg ของความดัน systolic pressure จะเพิ่มความเสี่ยง
ต่อการทำให้สมองขาดเลือด (ischemic stroke) ได้ 28 %
และทำให้สมองตกเลือด (hemorrhagic stroke) ได้ 38 %

§  ภาวะสมองขาดเลือด (ischemic strokes) จะพบได้มากสุด 
คิดเป็น 78 %  ของคนที่เป็นโรคสมองถูกทำลาย (stroke)  โดยมีสาเหตุ
มาจากเส้นเลือดของสมองถูกอุดตันด้วยก้อนเลือด

การอุดตันเส้นเลือดเส้นเล็กๆ  จำทำให้เกิด Lacunar  stroke

สำหรับภาวะสมองถูกทำลายจากเลือดออก (hemorrhagic stroke) จะพบได้น้อย 
แต่เป็นชนิดที่น่ากลัว  มันเกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดในสมองเกิดแตก 
ทำให้ไหลไหลนองเข้าสู่สมองที่อยู่รอบๆ

ในรายที่เส้นเลือดเส้นเล็กแตก (microbleeds) จะทำให้เกิดภาวะสมองถูกทำลาย
ที่ไม่รุนแรง (Tiny hemorrhagic stroke)

ในรายที่มีเลือดออกจากเส้นเลือดเล็ก (microbleed  หรือ lacunar stroke) นั้น
ไม่น่าจะมีอาการแต่อย่างใด  บางทีเราเรียกภาวะเช่นนี้ว่า  “silent stroke”
แต่เมื่อเวลาผ่านไป  มันอาจเป็นปัญหาใหญ่ได้
เช่น  เกิดความจำเสื่อม  ซึ่งจากสถิติของสหรัฐฯ ได้ประเมินว่า
มีคนของเขาเป็นโรค silent stroke ได้ถึง 13 ล้านคน
ความดันโลหิตสูงก่อให้เกิดอันตรายต่อสมองอย่างไร  
ความดันโลหิตสูงไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดภาวะสมองถูกทำลาย
แต่มีหลักฐานยืนยันว่า  ความดันโลหิตสูงมีผลเสียต่อสมองของคนสูงอายุ
โดยเพิ่มอันตรายให้แก่คนไข้  ทำให้เกิดความจำเสื่อม
โรคสมองเสื่อม   และมีหลักฐานที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค “อัลไซเมอร”

ความดันสูงทั้งตัวบน (systolic)และตัวล่าง (diastolic) ก่อให้เกิดปัญหา
ถ้าหากปล่อยให้ความดันสูง  โดยไม่ได้รับการรักษา 
ยิ่งปล่อยไว้นานโอกาสที่จะเกิดปัญหาด้านสมองเพิ่มมากขึ้น

การศึกษาส่วนใหญ่  จะให้ความสนใจไปที่คนสูงอายุ
ยกตัวอย่าง  จากการศึกษาในคนจำนวน 2,505 คน (ชาย) มีอายุระหว่าง 71 – 93
ซึ่งมีความดันโลหิต (systolic) 140 mg Hg หรือสูงกว่า  พบว่า
มีโอกาสเกิดเป็นโรคสมองเสื่อม (dementia) ได้ถึง 77 % 
ซึ่งมากกว่าคนที่มีความดันโลหิตอยู่ที่ระดับต่ำว่า  120 mm Hg


เนื่องจากความดันโลหิตสูงจะทำลายเส้นเลือด...
จึงทำให้เข้าใจได้ว่า  ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมชนิด
Vascular dementia  โดยมันจะเกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดเส้นเล็กๆ เกิดเป็นโรค หรือ
เกิดการอุดตัน  เป็นเหตุให้เซลล์ของสมองขาดออกซิเจน 
และขาดน้ำตาลตามที่มันต้องการ  ทำให้เซลล์ดังกล่าวถูกทำลาย  หรือตายไป...
ทำให้ความจำที่เสียไปไม่สามารถทำให้ฟืนกลับคืนเหมือนเดิมได้

สำหรับโรค Alzheimer’s  กับความดันโลหิตสูงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนนัก
ปัญหาของโรคดังกล่าว  จะเริ่มต้นด้วยสาร beta-amyloid
ซึ่งเป็นสารโปรตีนที่มีความเหนียว  รวมตัวในสมอง  โดยกระทบกับการทำงานของ
เซลล์ประสาท  และสุดท้ายจะทำให้เซลล์ประสาทเหล่านั้นถูกทำลายไป

ในคนไข้โรค Alzheimer’s ส่วนใหญ่  สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ
(hippocampus) จะถูกกระทบมากที่สุด
นอกจากนั้น  ผลจากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้  ชี้ให้เห็นว่า
เส้นเลือดที่ถูกทำลาย  และการอักเสบของเนื้อเยื้อจะเพิ่มการทำลายสมอง

การักษาความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ ?
ตามความเป็นจริง  แพทย์สามารถช่วยลดการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้
แต่บาดเจ็บ (damage)  และความพิการที่เกิดขึ้น
เราไม่สามารถทำให้ฟื้นกลับสู่สภาพเดิมได้...
จึงทำให้การป้องกันเป็นเรื่องที่สำคัญ 
มีรายงานจากนักวิทยาศาสตร์ของกลุ่ม European …
ได้รายงานไว้ว่า  การรักษาความดันโลหิตสูงเป็นเวลานาน 
สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม (dementia) ได้ประมาณ 55 %
นอกจากนั้น  ผลจากการศึกษาในอเมริกา  ยังแสดงให้เห็นว่า:

§  มีการศึกษาชิ้นหนึ่ง  พบความสัมพันธ์ระหว่างความดันโลหิตสูง
กับความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมถึง 38 %

ผลการศึกษาชิ้นต่อไป  รายงานว่า  จากการรักษาความดันในแต่ละปี 
สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมได้ 6 % 
และโดยเฉพาะชายที่ได้รับการรักษานานถึง 12 ปี หรือนานกว่า
จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค “อัลไซเมอร์” ได้ถึง 65 %
(มากกว่าคนไม่ได้รับการรักษา)

§  ผลการศึกษาของทีมงานจาก Harvard และ Boston University  รายงานเอาไว้ว่า 
การรักษาความดันโลหิตสูงเป็นเวลานานถึง 6 เดือน
จะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดสู่สมองได้ดีขึ้น
เราจะป้องกันสมองของท่านได้อย่างไร ?
แม้ว่าเราจะไม่กล่าวถึงความดันโลหิตสูงว่า  มันก่อให้เกิดผลเสียต่อสมอง
แต่ขอให้ทราบไว้ด้วยว่า  คนที่มีความดันอยู่ในนระดับปกติ...
จะมีชีวิตยืนยาวกว่าเป็นโรคความดันสูงถึง  5.1 ปี  ที่สำคัญ 


ท่านสามารถป้องกันสองของท่านได้โดย:

§  ท่านต้องรู้ว่าระดับความดันของท่าน: 
ความจริงมีว่า  มีคนประมาณ 30 % ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคความดันโลหิตสูง
ดังนั้น  ท่านจะต้องแน่ใจว่า  ท่านจะต้องได้รับการตรวจเช็คความดันของท่านในทุกครั้ง
ที่ไปตรวจรางกาย  ซึ่งจะต้องมีการตรวจอย่างสม่ำเสมอ


§  ท่านต้องรู้เป้าหมายของท่าน:
ถ้าท่านมีความดันอยู่ในระดับก่อนเป็นความดันสูง (prehypertension)
นั้นคือ  เป็นความดันระหว่าง 120 – 139 mm Hg/ 80 - 89 mm Hg
เป้าหมายของท่าน คือ ต่ำกว่า  120/80
ซึ่งท่านสามรถกระทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม- อาหาร 
และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง...
ถ้าท่านเป็นผู้มีสุขภาพสมบูรณ์ดี  เป้าหมายของความดันโลหิต
ควรอยู่ในระดับต่ำกว่า140/90 mm Hg  แต่หากท่านเป็นโรคเบาหวาน, 
โรคไตเรื้อรัง,  โรคหลอดเลือดหัวใจ  หรือ โรคเส้นเลือดตีบตัน (atherosclerosis)
เป้าหมายในการลดความดัน  จะต้องต่ำกว่า  130/80  mm Hg

§  การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:
ถ้าท่านเป็นโรคความดันโลหิตสูง  เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องทำการ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของท่าน  เพราะการที่ความดันโลหิตต่ำ 
จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของท่านเอง

และใครก็ตามมีความดันสูงกว่า  115/70  สามารถได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง
สิ่งต่อไปนี้


1.    รับประทานอาหารที่ดี  สามารถลดความดันตัวบน (systolic) ลงได้ประมาณ
10 – 22 mm Hg   
ในวันหนึ่ง  เราไม่ควรรับทานอาหารที่มีเกลือ sodium เกิน 2,300  มิลลิกรัม
สำหรับคนเป็นโรคความดันสูง  วันหนึ่งให้รับทานได้ไม่เกิน 1,500  มิลลิกรัม
ให้เลิกลดอาหารที่มีไขมันสูง  ที่ได้จากเนื้อสัตว์  หรืออาหารสำเร็จรูป 
ให้หันไปรับประทานอาการประเภทผัก  ผลไม้  เมล็ด และธัญพืชแทน

2.    ให้ออกกำลังกายด้วยความรุนแรงพอประมาณอย่างสม่ำเสมอ 
เช่น  การเดินวันละ 30 นาที  สามารถลดความดันตัวบน (systolic) ลงได้ 4 – 9 mm Hg


3.    ถ้าท่านเป็นคนอ้วน  การลดน้ำหนักเพียง 20 ปอนด์  สามารถลดความดัน
ลงได้ถึง 5 – 20 mm Hg

4.    ถ้าดื่มแอลกอฮอลล์แต่เพียงเล็กน้อย  เบียร์หนึ่งถึงสองกระป๋อง 
จะไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น  แต่หากดื่มมากกว่านั้น  จะทำให้ความดันสูงขึ้น

5.    การควบคุมความเครียดทาอารมณ์  สามารถลดความดันโลหิตลงได้
การใช้ยารักษาความดันโลหิตสูง
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้ยาต่อไปนี้เป็น first-line drugs  
เช่น   Diuretics, angiotensin-converting enzyme inhibitors,
angiotensin- receptors blockers  และ  calcium-channel blockers
ผลจากการวิจัยได้ชี้แนะว่า  beta-blockers 
อาจมีผลต่อการป้องกันภาวะ strokes ได้ไม่ดีนัก 
ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่ จะแนะนำให้เริ่มรักษาด้วย thiazide diuretics
แต่ท่านอาจใช้ยาตัวอื่นได้  และการรักษาอาจเริ่มด้วยยาสองตัว  หรือมากกว่าได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น