วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Tuberculosis : Dignagnosis & Treatment 3


10/1/12

Continued

การวินิจฉัย (Diagnosis)
ในการวินิจฉัยโรคใดก็ตาม  จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากประวัติความเจ็บป่วย
และข้อมูลที่ได้จากการตรวจร่างกาย


เมื่อท่านไปพบแพทย์  ท่านจะถูกซักถามในเรื่องเกี่ยวกับประวัติการเกิดอาการต่างๆ
เช่น  อาการไอ,  ไข้,  น้ำหนักลด,  เหงื่อออกในตอนกลางคืน, ต่อมน้ำเหลืองโต
และปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ


แพทย์จะถามท่านด้วยว่า  ท่านเคยสัมผัสกับใครก็ตามที่เป็นวัณโรค
หรือถามถึงประวัติเกี่ยวกับการเดินทางไปยังประเทศที่กำลังพัฒนา 
ซึ่งเป็นบริเวณที่พบวัณโรคได้บ่อยสุด

  
ต่อจากนั้น  แพทย์จะทำการตรวจร่างกายของท่าน...
แพทย์เขาอาจถามว่า  ท่านเคยได้รับการตรวจผิวหนังเกี่ยวกับการเป็นวัณโรค
(tuberculosis skin tests)  และผลของการตรวจเป็นอย่างไร ?


ถ้าแพทย์เขาสงสัยว่า  ท่านอาจเป็นวัณโรคที่กำลังมีฤทธิ์
(active pulmonaryTuberculosis)  แพทย์จะสั่งให้ตรวจภาพเอกซเรย์ปอดของท่า
ส่วนเสมหะจะถูกส่งให้ทำการตรวจหาเชื้อวัณโร
นอกจากนั้น  เสมหะอาจส่งทำการตรวจเพาะเชื้อ  ซึ่งต้องกินเวลาหลายอาทิตย
กว่าจะทราบผล  เพราะเชื้อวัณโรคเจริญได้ช้ามาก


สำหรับคนที่วัณโรคของอวัยวะนอกปอด (extra-pulmonry)
คนไข้กลุ่มนี้  ภาพที่ได้จากเอกซเรย์ปอดอาจปกติ  เสมหะไม่มีเชื้อวัณโรค
ในกรณีเช่นนี้  มีการตรวจด้วยวีการอย่างอื่น  ซึ่งนำมาช่วยวินิจฉัยโรคได้  เช่น:

Ø  การตรวจเลือดที่เรียกว่า QuatinFERON-TB GOLD
Ø  ทำการเพาะเชื้อวัณโรคจากน้ำที่ได้จากร่างกาย  เช่น  น้ำปัสสาวะ  หรือ
น้ำที่ได้จากบริเวณรอบ ปอด
Ø  ตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ  เพื่อดูลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่เข้ากับวัณโรค
Ø  ทำการตรวจชิ้นเนื้อ   เพื่อหาหลักฐานของวัณโรคโดยใช้กระบวนการที่
    เราเรียกว่า PCR (polymerase chain reaction)


ซ่อนตัวในร่างกาย  ไม่ให้มันมีฤทธิ์ทำร้ายร่างกายคนนั้นได้
และเชื้อดังกล่าว  ก็จะอยู่ในสภาพไม่มีพิษสงใด ๆ (inactive) ไปตลอดชีวิต
การตรวจ PPD test  อาจเป็นผลบวก  ซึ่งบ่งบอกให้ทราบว่า
คน ๆ นั้นมีประวัติการอักเสบติดเชื้อวัณโรค  แต่โอกาสที่เขาจะเป็นวัณโรคที่มี
ฤทธิ์ (active)เป็นอันตรายต่อคนมีได้เพียง 10 %  เท่านั้นเอง

มีข้อยกเว้น  คือ  ภูมิต้านทานของท่านเกิดอ่อนแอโดยโรคเอดส์ /HIV  หรือ
ระบบภูมิต้านทานเกิดอ่อนแอจากการรับประทานยายับยั้งการทำงานของ
ระบบภูมิต้านทานเอง


ถ้าท่านเป็นวัณโรคในระยะมีฤทธิ์ (active tuberculosis)
เราจำเป็นต้องให้ยารักษาอย่างน้อยสองอาทิตย์  จึงจะสามารถทำให้มันไม่สามารถ
แพร่กระจายไปยังคนอื่นได้


อย่างไรก็ตาม  เราจะต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างน้อย  หกเดือน 
จึงจะทำให้เชื้อวัณโรคถูกทำลายได้หมด  แต่มีคนไข้บางราย  ได้รับเชื้อวัณโรคที่
ต้านยาที่เราใช้รักษาวัณโรคได้  ในกรณีดังกล่าว  เชื้อวัณโรคที่มีความต้านทานต่อ
ยารักษา  จำเป็นต้องให้ยานานถึงสองปี


ในประเทศที่กำลังพัฒนา  มีอุบัติการณ์เกิดวัณโรคได้สูง  ซึ่งในบริเวณดังกล่าว
จะได้รับการฉีดวัคซีนกันวัณโรคตั้งแต่แรกเกิด
สำหรับสหรัฐฯ  หรือในยุโรป  เนื่องจากการแพร่กระจายโรคดังกล่าวต่ำมาก ๆ
เขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคเหมือนประเทศด้อยพฒนา


สำหรับคนที่ตรวจผิวหนังสำหรับวัณโรค (PPD) ได้ผลบวก  และไม่เคยได้รับยารักษา
เพื่อป้องกันวัณโรคมาก่อน  เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแปรสภาพเป็นเชื้อที่มีฤทธิ์ (active)
ควรได้รับยา isoniazid (INH)  ประมาณ  9  เดือน


สำหรับคนที่เป็นโรเอดส์/HIV ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกที่มีอัตราการเกิดวัณโรคสูง
สมควรได้รับยา  isoniaid (INH)  ถึงแม้ว่าลการตรวจ PPD จะเป็นผลลบก็ตามที


การรักษา (Treatment)
ในการรักษาวัณโรค แพทย์ส่วนใหญ่จะให้ยาสี่ตัวรวมกัน เช่น isoniaid (INH),
Rifampin (Rifadin, rimactane), pyrainamide  และ  ethambutol (Mymbutol)
ยาทั้งสี่ตัวถือว่าเป็นยากลุ่มแรกที่นำมาใช้รักษาวัณโรค  (first line therapy)


ในการรักษาด้วยยาทั้งสี่ตัว  จะใช้เวลานาน 6 เดือน หรือนานกว่านั้น
ความสำคัญมีว่า  คนไข้จะต้องรับทานยาตามสั่งทุกประการ 
เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเกิดดื้อยา  นอกจากนั้น  ใครที่อยู่ใกล้ชิดกับคนไข้  ควรได้รับ
การตรวจคัดกรองสำหรับวัณโรค  และให้การรักษาหากเขาเหล่านั้นเกิดการอักเสบ
จากเชื้อวัณโรค


ในกรณีที่เชื้อเกิดดื้อยา isoniaid และ rifampin (ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับรักษาวัณโรค)  การดื้อยาเช่นนี้  เราเรียกว่า  multidrug  resistant (MDR-TB)
เมื่อพบคนไข้ประเภทดังกล่าว  เราจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มที่สอง (second-line TB
Medictions)  ซึ่งประกอบด้วย  ethionamide (Trecator-SC), moxifloxacin (Avelox),
Levofloxacin (Levaquin),  cycloserine (Seromycin), Kanamycin (Kntrex)
และยาอื่น ๆ 


ยาในกลุ่ม  second-line จะมีผลข้างเคียงสูงกว่ายากลุ่ม First-line มาก
นอกจากนั้น  เรายังพบอีกว่า ประสิทธิภาพไม่ค่อยสูงนัก 
จำเป็นต้องให้คนไข้รับทานยานานถึงสองปี


การที่เชื้อวัณโรคเกิดดื้อต่อยารักษาแล้ว  ยังปรากฏว่ามีเชื้อวัณโรคบาง strains  จะ
ตือต่อยาได้มากเป็นพิเศษ- extensively drug-resistant (XDR-TB)
ซึ่งพบเห็นในหลายประเทศทั่วโลก  โดยเชื้อวัณโรคเหล่านั้นจะด้านต่อยา isoniaid,
Rifampin, the aminoglycoside drugs family (Kanmycin)  และตระกูล quinolone
(เช่น  levofloxacin, moxifloxacin)

  
คนไข้รายใดที่เป็นวัณโรคชนิด  XDR-TB….
จะยากต่อการรักษาเป็นอย่างยิ่ง  และบางครั้ง  อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีศัลยกรรม
ตัดเอาส่วนที่เป็น (เนื้อปอด)  ออกทิ้งไป


ในสมัยก่อนโน้น...เราจะรู้สึกว่า  คนที่เป็นวัณโรคที่ดื้อต่อยารักษา
ในประเทศที่กำลังพัฒนา  ถือว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย  เพราะยาที่เป็นกลุ่ม second-line
มีราคาแพงมาก   แต่พอมายุคปัจจุบัน  เราสามารถรับยาจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
จึงทำให้การรักษาด้วยโครงการใช้ยากลุ่ม  second-line
จึงเริ่มบังเกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ที่กำลังพัฒนา

  
เป็นที่ทราบกันว่า  คนเป็นโรคมีเชื้อที่ดื้อต่อยารักษา 
ส่วนใหญ่แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้หากคนไข้ปฏิบัติตามแนวทางการรักษา 
ซึ่งควรเริ่มต้นก่อนที่ปอดจะถูกทำลาย


สำหรับคนเป็นวัณโรคที่เป็นเชื้อที่ดื้อต่อยารักษา  ย่อมมีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้
หรือไม่   ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเชื้อวัณโรคดื้อต่อยารักษา  และเนื้อของปอดถูกทำลาย
ก่อนที่จะได้รับการรักษาว่า  เนื้อปอดมีการทำลายมากน้อยแค่ไหน ?




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น