วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Understanding Sleep: Dreaming and sleep

10/26/12

ในวงจรการนอนหลับ  หนึ่งวงจร  จะมี 5 ระยะด้วยกัน
ประกอบด้วยการหลับที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของลูกตา NREM sleep
ซึ่งมี  4 ระยะ  (stage 1,2,3  และ 4)  ด้วยกัน
และการนอนหลับที่มีการเคลื่อนไหวลูกตาอย่างเร็ว REM sleep
รวมกันเป็น 5 ระยะ  โดยจะกินเวลา  90 – 100 นาที  ต่อหนึ่งวงจร
ซึ่งจะมีการหมุนเวียนตลอดช่วงเวลาที่นอนหลับในแต่ละคืน


ช่วงเวลาของการนอนหลับใน REM sleep ในแต่ละคืน  จะกินเวลา
ประมาณ 2 ชั่วโมง  ส่วนเวลานอนในช่วง Non-REM
จะกินเวลาประมาณ 4 – 6ชั่วโมง


แม้ว่าการนอนหลับในช่วงที่ลูกตามีการเคลื่อนไหว  REM sleep
จะหลับได้ลึกกว่าการนอนในช่วง Non-REM sleep ก็ตาม
แต่ร่างกายของคนเรา  มีความจำเป็นต้องหลับพักผ่อนได้ทั้งสอง
แบบ (Non-REM และ REM sleep)  เราจึงจะได้รับการพักผ่อนได้เต็มที่


ถ้าการนอนหลับของคนเราขาดการหลับอย่างใดอย่างหนึ่ง
จะทำให้การนอนหลับขาดประสิทธิภาพไป
จำเป็นจะต้องมีการหลับทั้งสองแบบ Non-REM และ REM sleep


มีรายงานว่า  เราจะใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมงในแต่ละคืน
เพื่อการฝัน (dreaming)   ซึ่งพวกนักวิทยาศาสตร์  ไม่สามารถบอก
ได้ว่า  เราฝันได้อย่างไร ?   และทำไมเราจึงต้องฝันกัน ?


นาย Sigmund Freud ผู้มีอิทธิพลต่อวงการแพทย์สาขาจิต
เชื่อว่า  ความฝัน  เป็น “safty valve”  สำหรับความปรารถนาในขณะ
ไม่มีความรู้สึกตัว (unconscious desires) ?

สมองส่วนที่เราเรียกว่า pons   นอกจากจะทำหน้าที่ส่งคลื่นให้เกิดการ
นอนหลับช่วง REM sleep แล้ว    มันยังทำหน้าที่ตัดสัญญาณ 
ไม่ให้คลื่นประสาทผ่านไปยังไขประสาทไขสันหลังไดอีกด้วย 
ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อหยุดการเคลื่อนไหว (immobile)


หากสมองส่วน pons ไม่สามารถตัดสัญญาณประสาท
ไม่ให้ผ่านไปยังไขประสาทสันหลังได้ 
อะไรจะเกิดขึ้น ?


ปรากฏว่า  มันจะทำให้เราเกิดมีการฝัน  หรือมีความฝันเกิดขึ้น
ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้  เพราะความฝันที่เกิดไม่มีต้นสายปลายเหตุจากสัมผัสทั้งห้า
จึงเป็นต้นเหตุทำให้คนนอนหลับ  เกิดการฝันขึ้น ?


ยกตัวอย่าง  คนมีความฝันถึงเกมฟุตบอล... 
จะทำให้คนฝัน  อาจมีปรากฏการณ์ละเมอวิ่งเข้าชนเฟอร์นิเจอร์
หรือกระแทกคนที่นอนอยู่ข้างๆ  ในขณะพยายามจะจับลูกบอลในความฝัน


นักวิทยาศาสตร์บางคนยังเชื่อว่า...
ความฝันที่เกิดขึ้น  เป็นความพยายามของสมองส่วน cortex
พยายามที่จะแปลความหมายจากคลื่นต่าง ๆ ที่ได้รับในขณะนอนหลับช่วงที่
เป็นการหลับมีการเคลื่อนไหวของลูกตา (REM sleep)


อย่างไรก็ตาม  ความฝันยังเกิดในช่วงการนอนหลับ  Non- REM sleep ได้
แต่ความฝันที่เกิด  มีแนวโน้มที่จะเป็นความฝันที่สั้น ๆ 
เนื้อเรื่องไม่ติดต่อกัน  ปราศจากอารมณ์  ไม่มีรูปภาพ 
และคนฝันไม่สามารถจำความฝันได้  รู้แต่ว่าฝัน  แต่ไม่รู้ว่าฝันเรื่องอะไร   
ซึ่งแตกต่างจากความฝันทีเกิดในช่วงนอนหลับแบบ REM  sleep
โดยที่ความฝันนั้น  เป็นเรื่องราวที่ชัดเจน  คนฝันสามารถจำได้...



http://academic.pgcc.edu/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น