วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Pain Relievers: สิ่งที่เราควรรู้

10/28/12

ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ  เป็นยาที่เราเข้าใจผิดไดบ่อยที่สุด
ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะ:

§  เพราะมียาแก้ปวดหลายชนิด
§  ยาชนิดเดียวกันมีหลายชื่อทั้งสามารถซื้อหาได้เอง  หรือแพทย์สั่ง
§  ยาบางตัว  สามารถใช้ได้หลายอย่าง  ที่สำคัญ เราไม่สามารถใช้ได้อย่าง ตรงไปตรงมา  ยกตัวอย่าง  aspirin และ acetaminophen  มันไม่เพียงแต่ถูกนำไปใช้ในการแก้ปวดเท่านั้น  ยา aspirin  ยังถูกนำไปใช้ป้องกันไม่ให้เกิด heart attack  และ stroke ได้อีกด้วย
§  ยาบางตัวยังมีจำหน่ายเป็นถุง  อาจก่อให้เกิดเสพติด  หรือมีขายในท้องถนน 
และอื่น ๆ

จากเหตุผลที่กล่าวมา...
จึงเป็นเรื่องที่พวกเรา  ต้องทำความเข้าใจว่า  คุณหมอที่ทำการรักษา 
เขาพูดว่าอย่างไร  เกี่ยวกับยาแก้ปวดทั้งหลาย

กลุ่มยาต่างๆ ของยาแก้ปวด
Mild analgesics (pain relievers):
เป็นยาแก้ปวดชนิดอ่อนๆ  ซึ่งถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการปวดศีรษะ
หรืออาการปวดเล็กๆ น้อย ๆ ซึ่งเกิดในชีวิตประจำวัน
เช่น  ยา acetaminophens

Non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs):
ถ้ายาในกลุ่มแรก (mild analgesics) ไม่สามารถลดอาการปวดได้
เช่น  ในกรณีของโรคไขข้ออักเสบ (arthritis), ปวดฟัน (dental pain)
และปวดหลังปวดเอว (back pain)  ยาที่ถูกเลือกนำมาใช้คือ ยาในกลุ่ม
NSAIDs   เช่น ibuprofen,  naproxen และอื่น ๆ


Medications for neuropathy (nerve disease):
คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับเส้นประสาทระดับเอวถูกหมอนกระดูกกดทับ (sciatica)
หรือปวดจากเส้นประสาทที่ถูกโรคเบาหวานทำลาย  จะตอบสนองต่อยาในกลุ่ม
นี้  นอกเหนือไปจากนั้น  ยังถูกนำไปใช้ในภาวะอย่างอื่นด้วย

Muscle relaxants :
เป็นยาที่ถูกนำไปใช้แก้ปวดของเส้นเอ็น  และของกล้ามเนื้อ  ที่มีต้นเหตุจากการ
หดเกร็ง (spasm)

Narcotic analgesics :
เป็นกลุ่มยาที่ถูกนำไปใช้ในรายที่มีอาการรุนแรง  เช่น  อาการปวดหลังการผ่าตัด
เป็นต้น


โดยทั่วไป  ถ้าอาการปวดที่เกิดขึ้น  เป็นอาการปวดที่ไม่รุนแรง
ยาที่ใช้ลดอาการปวดดังกล่าว  จะใช้ยาที่มีอ่อนที่สุด  ซึ่งอยู่ในกลุ่มต้น ๆ ของ
รายการ   โดยเราไม่จำเป็นต้องใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงเลย
ทั้งนี้เพราะ  ยาที่มีฤทธิ์แรงขึ้นต่างมีแนวโน้มที่จะมีผลข้างเคียงสูง


มียาแก้ปวดบางตัวจะทำงานได้ดีเมื่อถูกใช้ได้อย่างสม่ำเสมอ (มากกว่าที่จะใช้เมื่อ
จำเป็น) เพื่อโรคบางอย่าง  และถ้าจะให้ดี  การใช้ยาแก้ปวด  ควรใช้ในขนาดน้อย ๆ
และใช้ในระยะสั้นที่สุดที่จะสั้นได้

ถ้ายาแก้ปวดที่เราไม่สามารถลดความเจ็บปวดลงได้  หรือลดลงนิดเดียว
ทางที่ดีควรหยุดรับประทานยาตัวนั้นเสีย
แต่ก่อนทีท่านจะเลิกยาแก้ปวดตัวนั้น  ท่านควรบอกให้แพทย์ไดรบทราบ

ผลดี (advantage) และผลเสีย (disadvantage) ของยาแต่ละชนิด
Mild analgesics
ยากลุ่มนี้  ที่เรารู้จักกันดีที่สุด  คือ acetaminophen หรือ พาราเซทตามอล
ในการบรรเทาอาการปวด  ยาที่ปลอดภัยมากที่สุดเห็นจะเป็น acetaminophen
ในขณะที่ยาในกลุ่มดังกล่าว  ไม่สามารถใช้ในรายที่มีอาการรุนแรงได้น้น  มัน
สามารถบรรเทาอาการปวดทีมีขนาดเบา ถึงปวดพอประมาณได้
เช่น  อาการปวดศีรษะ,  ปวดกล้ามเนื้อ,  หรือเจ็บปวดเล็กๆ น้อย  สามารถทำให้
อาการปวดลดลงด้วยการใช้ยาแก้ปวด (acetaminophen)เป็นบางครั้ง 
หรือใช้ติดต่อกัน


นอกจากนั้น  ยาในกลุ่มดังกล่าว  ยังถูกนำมาใช้ลดอาการไข้ได้เป็นอย่างดี
และส่วนใหญ่ยาตัวนี้มีการใช้ในโรงพยาบาล  ส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้เพื่อลดไข้
มากกว่าที่จะใช้เพื่อลดความเจ็บปวด


ผลเสียจากยากลุ่มนี้มีน้อยมากง..ไม่รุนแรง
หากเราใช้ยา acetaminophen  ในปริมาณสูงๆ (high dose)  สามารถทำลายตับได้
หากใช้ในระยะยาว (long-term) สามารถทำลายไต้


ดังนั้น  เราควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในลักษณะดังกล่าว
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาตัวนี้  ได้แก่  ทำให้เกิดผื่น (rash)  คัน
และอาการแพ้อย่างอื่น    แต่จะไม่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดอาการปวดท้อง,
เป็นแผล  หรือทำให้เกิดอาการตกเลือด

Non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs)
ยาที่พวกเราคุ้นเคย  นำไปใช้รักษาอาการปวดได้แก่  ibuprofen (Motrin,Advil),
Naproxen (Narpoxsyn, Aleve,….)  และ celecoxib (Celevbrex)
มันจะออกฤทธิ์ด้วยการลด  หรือกำจัดสารสองตัว  คือ  prostaglandins
และเอ็นไซม์  Cyclooxygenase  ซึ่งทั้งสองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบ
ผลที่ได้  จะทำให้การอักเสบลดลงไปพร้อมๆ กับอาการปวดที่มันทำให้เกิดขึ้น


นอกจากการลดการอักเสบแล้ว  ยากลุ่มดังกล่าว ยังมีฤทธิ์ลดอาการปวดได้เล็กน้อย
(mild pain relievers)  ดังนั้น  ยาตัวนี้สามารถนำมาใช้ลดอาการปวดขนาดเบาได้
โดยไม่จำเป็นต้องมีอาการอักเสบเกิดร่วมก็ได้


ผลเสียของยาในกลุ่มนี้  ได้แก่  ทำให้เกิดอาการปวดท้อง (stomack upset), ทำให้เกิด
แผลในกระเพาะอาหาร  รวมไปถึงการทำให้เกิดกระเพาะทะลุ  หรือมีเลือดออกได้.
นอกจากนั้น  ยังทำให้ไตถูกทำลาย (kidney injury),
ทำให้เกิดมีเสียงในหู  และก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ (allergic reqactions)


ยาในกลุ่ม NSAIDs  รวมทั้ง aspirin มีฤทธิ์ด้วยการทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก
ไม่ทำให้เม็ดเลือดจับตัวกัน (thinning effect) ได้นิดหน่อย 
ดังนั้น  การใช้ยากลุ่มนี้  สามารถทำให้เกิดมีฟกช้ำตามผิหนัง  และมีเลือดออกได้
ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้
.
Medications for nerve disease and depression:
ยาต่างๆ ที่อยู่ในกลุ่มนี้  สามารถใช้รักษาอาการเจ็บปวด  ซึ่งมีต้นเหตุมาจากเส้น
ประสาทถูกทำลาย (neuropathy) ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
ยังถูกนำไปใช้รักษาอาการปวดเรื้อรังจากหลายโรคด้วยกัน
ยาในกลุ่มนี้  ได้แก่  gabapentin (Neurontin) และ carbamazepine (Tegretol)
นอกจากยาทั้งสองแล้ว  ยังมียาใหม่ๆ ถูกนำมาใช้เช่น  pregabalin (Lyrica)
ซึ่งไกล้เคียงกับกับยา gabapentin  มาก


นอกจากนั้น  ยังมียาที่ใช้รักษาอาการซึมเศร้า (depression)
เช่น  amitryptyline (Elavil)  และ  duloxetine (Cumbalta)  ยังถูกนำมาใช้รักษาอา
การปวดเรื้อรังได้อีกด้วย


สำหรับผลข้างเคียงของยาในกลุ่มนี้  มีได้แตกต่างกัน...
ยา gabapentin (Neurontin) และ carbamazepine (Tegretol)
อาจทำให้เกิดอาการมึนศีรษะ  และเกิดอาการวิงเวียนได้
ส่วน amitryptyline  สามารถทำให้เกิดง่วงนอน  และปากแห้งได้ 

Muscle relaxants
ยาในกลุ่มนี้ใช้เพื่อลดการหดเกร็ง (spams) ของกล้ามเนื้อซึ่งเกิดจากการอักเสบ  หรือ
ฉีกขาด  แต่สามารถลดอาการปวดจากสาเหตุอย่างอื่นได้ด้วย
ยาที่ใช้ได้แก่  cyclobenzaprine (Flexeril) หรือ methocarbamol (Robazine)

ยาในกลุ่มนี้  จะทำให้เกิดอาการง่วง  ดังนั้นควรใช้ตัวนี้ก่อนเข้านอน

Narcotic analgesics:
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่  Codeine, morphine และ oxycodone
สำหรับ tramadol (Ultram) ไม่ใช้ narcotic  แต่ฤทธิ์ของมันเหมือนยากลุ่ม narcotic
ทุกประการ

ยาในกลุ่มมักจะผสมรวมกับยา acetaminophen  เช่น
Tylenol # 3 (acetaminophen + codeine),  Percocet (acetaminophen plus
Oxycodone)  และ  Ultracet  (acetaminophen plus tramadol)
เพื่อทำให้ฤทธิ์ในการลดอาการปวดแรงขึ้น  แต่เนื่องจากมีผลข้างเคียงสูง  จึงเป็น
ข้อจำกัดในการใช่ยา (ผสม) ดังกล่าว
ผลเสียของการใช้ยาในกลุ่มนี้ได้แก่:

·         ท้องผูก (constipation)
·         คลื่นไส้ (nausea)
·         ง่วงนอน
·         เกิดอาการสับสน (confusion) และ
·         เมื่อใช้นาน ๆ  จะไม่ได้ผล  จำเป็นต้องเพิ่มขนาดของยา


นอกจากนั้น  ยากลุ่มจะทำให้ติดยาเป็นนิสัย  และเมื่อหยุดยาจะทำให้เกิดรู้สึก
ไม่สบายทั้งร่างกาย  และจิตใจ (withdrawal symptoms)
แถมยังทำปฏิกิริยากับยาตัวอื่นได้อีกด้วย


ด้วยเหตุดังกล่าว  เราจึงเก็บยากลุ่มนี้เป็นกลุ่มสุดท้าย 
เพื่อนำมาใช้รักษาอาการปวด  เมื่อยาตัวอื่น ๆ ใช้ไม่ได้ผลแล้ว
ซึ่งบางราย  เมื่อใช้ยาอื่นไม่ได้ผล  แล้วมาใช้ยาในกลุ่ม narcotic ในขนาดต่ำ ๆ
อาจได้ผลดี  โดยไม่ต้องมีผลข้างเคียงตามที่กล่าวได้


การใช้ยาในกลุ่ม narcotics ในต่างประเทศ เช่นในสหรัฐฯ 
จะมีควบคุมกันอย่างเข็มงวด   ยกตัวอย่าง.... 
แพทย์จะสั่งยาตัวนี้ให้คนไข้ทางโทรศัพท์ไม่ได้ และการสั่งยาแต่ละครั้ง 
จะต้องให้ไม่เกินหนึ่งเดือน   และสั่งยาในกลุ่มดังกล่าว 
จะต้องมีการบันทึกในเอกสารทางการแพทย์
เพื่อให้แพทย์คนอื่นได้ทราบ



มีปัญหาอะไร ที่เราสนใจ?
ในปัจจุบัน เราไม่มีกฎหมายห้ามดื่ม (แอลกอฮลล์) ร่วมกับยาแก้ปวด
แต่เพื่อความปลอดภัย...ควรยึดมั่นในคำว่า  “พอประมาณ” เอาไว้...
ยาแก้ปวด  acetaminophen  รับประทาน  ร่วมกับการดื่มน้ำเมาเป็นจำนวนมาก
เช่น ดื่มมากกว่าหนึ่งถึงสองแก้วต่อวัน  สามารถทำให้ตับถูกทำลายได้

แอลกอฮอลล์  กับยากลุ่ม NSAIDs  สามารถละคายผิวกระเพาะอาการ
ผลของแอลกอฮอลล์  ซึ่งก่อให้เกิดอาการง่วงนอน  เมื่อร่วมกับยา narcotic
สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้...ห้ามรับประทานร่วมกันโดยเด็ดขาด !


โดยทั่วไป  ห้ามใช้ NSAIDs สองชนิดร่วมกันในเวลาเดียวกัน 
เพื่อลดความเจ็บปวด   หากสงสัยให้ถามแพทย์  หรือเภสัชกรได้


มีข้อยกเว้นเพียงข้อเดียว  คือ  การรับประทาน aspirin ขนาดต่ำ ๆ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ heart attack  และ  stroke
ซึ่งมีบ่อยครั้งที่คนเราจะรับประทาน  aspirin และ ibuprofen ร่วมกัน
ในกรณีดังกล่าว   ถ้ารับประทานพร้อมกัน  จะทำให้ผลประโยชน์ที่พึง
ได้จาก aspirin (thinning effects) เสียไป


วิธีปฏิบัติ  เราควรรับประทาน aspirin ก่อนยา ibuprofen  30  นาที


การใช้ยา ibuprofen ร่วมกับ acetaminophen  เป็นเรื่องที่ใช้กันบ่อย  และ
ยอมรับได้


ยาแก้ปวดทั้งหลายที่กล่าวมา...เป็นอันตรายรุนแรงต่อตับได้น้อยมาก
ส่วนโรคไต....จะเป็นปัญหาเมื่อใช้ยา NSAIDs  ในระยะยาว  และมีการ
ใช่ยา acetaminophen  ในขนาดสูง ๆ
ดังนั้น  ถ้าทานมีโรคไตเรื่อรัง...ท่านควรงดเว้นจากการใช้ยาดังกล่าว  หรือ
ตรวจสอบกับแพทย์ก่อนที่ท่านจะใช้ยาแก้ปวด...


โดยสรุป...
ในการรักษาอาการปวด  มันย่อมขึ้นกับต้นเหตุ
ดังนั้น  ก่อนที่แพทย์เขาใจให้ยาแก้ปวดแก่ท่าน  เขาจะต้องซักประวัติเกี่ยวกับ
อาการปวดโดยะเอียด พร้อมกับกับการตรวจร่างกาย  เพื่อหาสาเหตุให้ได้
เพื่อจะได้สั่งยาได้ถูกต้อง

แต่อย่าลืมว่า...
อาการปวดที่เกิดขึ้น  ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดเสมอไป
การใช้ความร้อน,  อัลตราซาวด์ (ร่วมกับ กายภาพบำบัด) และการพักผ่อน
เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง  ซึ่งสามารถลดอาการปวดลงได้

แต่หากแพทย์  แนะนำยาแก้ปวดแก่ท่าน...
ท่านต้องเข้าใจ และรู้ว่า  ยาที่ท่านรับ...นั้น  คือยาอะไร ?


Adapted from:
http://translate.google.co.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น