Aug. 24, 2013
(continued)
การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบ B:
ในการวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบ B นั้นกระทำได้ด้วยการตรวจเลือด
โดยมีการตรวจหลายอย่าง ซึ่งผลที่ได้จะนำมาวินิจฉัย หรือตรวจสอบดูว่า
ท่านมีการอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ B หรือไม่
การตรวจเลือดสำหรับตรวจหาไวรัสตับอักเสบ มีดังต่อไปนี้:
Hepatitis B surface antigen (HBsAg)
HBsAg เป็นโปรตีนที่อยู่บนผิวของเชื้อไวรัสตับอักเสบ B โดยเราจะ
พบโปรตีนตัวดังกล่าวจะปรากฏในกระแสเลือดภายใน 1 – 10 อาทิตย์
หลังจากที่คนเรามีเชื้อไวรัสตัวดังกล่าวในกระแสเลือด
และจะปรากฏก่อนที่จะมีอาการของการอักเสบ
เมื่อคนไข้ฟื้นตัว (recover) จากการอักเสบ โปรตีน (HBsAg) จะหาย
ไปจากกระแสเลือดภายในเวลา 4 – 6 เดือน แต่ถ้าพบว่า
โปรตีน HBsAg ยังปรากฏในกระแสเลือด แสดงให้เห็นว่า
การอักเสบจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ได้แปรสภาพเป็นการอักเสบ
ชนิดรื้อรังไปเสียแล้ว
Hepatitis B surgface antibody (ตัวย่อ anti-HBs):
Anti-HBs จะทำหน้าที่ช่วยระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อไวรัสตับอักเสบ B
โดยโปรตีนตัวนี้ (anti-HBs) จะปรากฏในคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้าน
เชื้อไวรัสตับอักเสบ B มาก่อน และคนที่มีภูมิต้านทานตัวนี้ มักจะทำ
ให้เข้ารอดพ้นจากการเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ B
Hepatiti B core antibody (ตัวย่อ...anti-HBc):
เป็นภูมิต้านทานที่ปรากฏในร่างกาย ซึ่งจะปรากฏตลอดช่วงที่มีการ
อักเสบจาเชื้อไวรัส B และจะยังคงปรากฏในกระแสเลือดภายหลังที่
คนไข้ได้หายจากการอักเสบไปแล้ว
ข้อสังเกตุ ภูมิต้านทานชนดนี้ (anti-HBc) จะไม่เกิดในคนที่ผ่านการ
ฉีดวัคซีนต้านไวรัสตับอักเสบ B มาก่อน
Hepatitis B e antigen (HBeAg):
การตรวจพบสารตัวนี้ บ่งบอกให้ทราบว่า ในร่างกายของท่านมีเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบ B ซึ่งกำลังมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัส และ
การที่มี HBeAg ในเลือด ยังบอกให้ทราบถึงภาวะที่ท่านสามารถ
แพร่กระจายเชือโรคได้สูง
Hepatitis B e antibody (anti-Hbe)
การตรวจพบสารตัวนี้ มักจะบอกให้เราทราบว่า การแบ่งตัว หรือการ
ทำสำเนาตัวของเชื้อไวรัสได้ลดลง แต่ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปยังมี
การแบ่งตัวในปริมาณสูง ซึ่งสามารถพบได้ในกระแสเลือด
Hepatitis B DNA (HBVDNA):
HBV DNA เป็นสารพันธุกรรม (genetic material) ซึ่งมีในเชื้อไวรัส
ตับ B และมันจะหายไปเมื่อคนที่มีเชื้อไวรัสตัวดังกล่าวได้ฟื้นตัวสู่
สภาพปกติ (recover)
การตราจค่า HBV DNA เป็นการตรวจดูความเข้มค้นของเชื้อไวรัส
ที่ไหลเวียนในกระแสโลหิต ซึ่งแพทย์จะใช้ระดับของ HBV DNA
เป็นตัวพิจารณาตัดสินว่า จะให้การรักษาด้วยยา antiviral
medication หรือไม่ และยังใช้เป็นตัวติดตามผลของการรักษาว่า
การรักษาที่คนไข้ได้รับไปนั้นดีหรือไม่ ?
Other tests:
นอกจากการตรวจที่กล่าวมา ยังมีการตรวจอย่างอื่น ซึ่งสามารถ
สะท้อนให้เราได้ทราบงถึงสภาพ (health) ของตับ โดยที่ไม่บ่งชี้
ถึงไวรัสตับอักเสบ B แต่อย่างใด
การตรวจดั้งกล่าว คือการตรวจดูเอ็นไซม์ของตับ (ALT และ AST),
Bilirubin, alkaline phosphatase, albumin, prothrombin time
และ platelet count
การเจาะเอาชิ้นเนื้อจากตับมาตรวจ (liver bipsy) จะไม่ทำเป็นเป็น
งานประจำในคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบ B
การตรวจดังกล่าว จะกระทำเพื่อตรวจดูการทำลายของเนื้อตับ
ในคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบ B เรื้อรัง โดยนำผลมาช่วยพิจารณา
ตัดสินใจว่า คนไข้รายนั้นๆ ควรได้รับการรักษาหรือไม่ และเพื่อ
ตรวจดูว่า ตับของคนไข้เป็นโรคตับแข็ง หรือมีมะเร็งหรือไม่ ?
ความกังวลใจของคนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ที่มักจะถามเสมอ ๆ คือ
“เขามีโอกาสกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรงจากเชื้อไวรัสตัวดัวกล่าวหรือไม่?
การที่คนเราจะเกิดภาวะไวรัสตับอักเสบ B ชนิดเรื้อรังได้นั้น ส่วนใหญ่
จะขึ้นกับ “อายุ” ขณะเกิดมีการอักเสบด้วยเชื้อไวรัสตัวดังกล่าว
การเกิดภาวะอักเสบเรื้อรัง...พบว่า 90 % จะเกิดในเด็กที่ได้รับเชื้อ และ
เกิดอักเสบตั้งแต่แรกเกิด, 20 – 50 % จะเกิดในเด็กที่ได้รับการอักเสบ
ในช่วงอายุ 1 – 5 ขวบ ส่วนทีเกิดข้นในผู้ใหญ่นั้น มีพบได้เพียง 5 %
ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง B นั้น จะขึ้นกับการแบ่งตัว
ของเชื้อไวรัสว่า มีการแบ่งตัวได้รวดเร็วแค่ใหน และระบบภูมคุ้มกัน
ของท่านทำงานได้ดีแค่ใด...
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ทานมีโอกาสเกิดภาวะดังกล่าวได้
เร็วขึ้น นั่นคือ การดื่มของเมา (alcohol), มีไวรัสตับอักเสบ C เรื้อรัง
และเป็นโรค HIV.
<< Prev. Next >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น