วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ALLERGY: Allergy facts

Allergy facts
What does an allergy mean?
ภูมแพ้ เป็นปฏิกิริยาของภูมิต้านทาน ที่ตอบสนองต่อสารแปลกปลอมบางอย่าง
ที่มีปฏิกิริยามากกว่าปกติ
ซึ่งในคนธรรมดาทั่วไป จะไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น (non-allergic)
ที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะมันเป็นสารที่ไม่มีพิษสงแต่อย่างใด
ส่วนคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะเข้าใจสารแปลกปลอมชนิดนั้นผิดไป
โดยเข้าใจว่า เป็นสารที่มีอันตราย

สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เราเรียกว่าสารนั้นว่า เป็น allergens
ซึ่งได้แก่ เกสรดอกไม้ หมัด เชื้อรา และอาหารต่าง ๆ
และเพื่อเข้าใจโรคภูมิแพ้ได้ดีขึ้น เราจะต้องจำสารทุกตัวให้ได้
การที่ท่านมีปฏิกิริยาภูมิแพ้เกิดขึ้นนั้น
เรียกว่า allergic หรือ atopic.
ดังนั้น คนซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดภูมิแพ้ เรียกคนพวกนี้ว่า
Allergic หรือ atopic

ประวัติความเป็นมาของคำ Allergy ถูกตั้งโดยหมอเด็ก
ชื่อ Clemend Pirquet (1874-1929):
เป็นคำ ที่มาจาก Greek: คำ allos แปลว่า “different” หรือ “changes”,
ส่วนคำ ergos มีควมหมายว่า work หรือ action
Allergy มีความหมายอย่างหยาบ ๆ ว่า “altered action”

ต่อมาในปี 1905 ได้มีการใช้คำ allergy เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
เป็นการอธิบายปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์
ที่เกิดขึ้นในเด็ก ซึ่งได้รับ Horse serum หลาย ๆ ครั้ง
ซึ่งต่อมา คำ allergy ถูกนำมาอธิบายถึง
“ปฏิกิริยา ที่เปลี่ยนแปลงไป”

What causes allergies?

อะไรคือสาเหตุทีทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้น
และ เพื่อให้เข้าใจปัญหานี้ดีขึ้น ลองพิจารณาตัวอย่าง
ต่อไปนี้:

ภายหลังจากมีแมว เข้ามาอยู่บ้านได้ประมาณ 2 – 3 เดือน
ผู้เป็นพ่อ เริ่มเกิดมีอาการคันที่ตา และ เกิดอาการจามเกิดขึ้น

หนึ่งในลูกสามคน เกิดมีอาการไอ และจามขึ้นด้วย
โดยเฉพาะ เมื่อแมวเข้าไปในห้องนอนของเด็ก
ส่วนผู้เป็นมารดา และลูกอีกสองคน ไม่มีอาการใด ๆ
แม้ว่าจะมีแมวเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ก็ตาม

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นละ ?

ระบบภูมิคุ้มกัน เป็นระบบที่ถูกจัดสรรขึ้นเพื่อทำหน้าที่ ป้องกันสิ่งแปลกปลอม
ที่ลุกร้ำเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะการอักเสบทั้งหลาย
หน้าที่ของมัน คือ จำ รู้ และ มีปฏิกิริยาตอบสนอง ต่อสารที่เป็นสิ่งแปลกปลอม (antigens)
ซึ่งทำให้มีการสร้าง ภูมิต้านทานขึ้น
เรียก antibodies

สิ่งแปลกปลอมที่กล่าวถึง (antigens) อาจก่อให้เกิดมี ปฏิกิริยาภูมิแพ้เกิดขึ้น หรือไม่เกิดก็ได้
ส่วนสารที่เป็น allergens (สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้) เป็นสิ่งแปลกปลอมบางชนิด
ซึ่งสามารถก่อให้เกิดมีปฏิกิริยาภูมิแพ้ขึ้น และก่อให้มีการสร้าง IgE ขึ้น

เป้าหมายของระบบภูมิคุ้มกัน คือ จัดการกับตัวลุกร้ำที่เข้าสู่ร่างกาย และทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น
ในการปฏิบัติงานเช่นนั้น มันจะสร้างโปรตีนหลายตัว
ให้มาทำหน้าที่ทำลายตัวแปลกปลอม เรียก antibodies

Antibodies เหล่านี้ หรือ จะเรียกว่า Immunoglobulins ก็ได้
ซึ่งมีหลายตัวด้วยกัน เช่น IgG, IgM, IgA และ IgD
สารพวกนี้ จะทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม
โดยเพียงแต่สัมผัสกับผิวของมัน
ดังนั้น จึงทำให้เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันทำลายสิ่ง
แปลกปลอมได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในคนที่มีปฏิกิริยาภูมิแพ้ (allergic person)
มันจะสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะ (specific antibody) ขึ้นมา
เรียก Immonoglobulin E หรือ IgE ขึ้นตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม
ซึ่งโดยปกติแล้วไม่เป็นอันตรายใด ๆ
โดยสรุป immunoblobulins เป็นกลุ่มของ protein Molecules
ซึ่งทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกัน (antibodies)
ซึงมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด: IgA, IgM, IgG, IgD และ IgE.

สำหรับ IgE เป็นภูมิคุ้มกัน (antibody)
ที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ขึ้น

ในปี 1976 สามี-ภรรยาคู่หนึ่ง (Kimishige และ Terilo
Ishizaka ตรวจพบสารซึ่งไม่เคยทราบ ปรากฏในคน
ไข้ที่มีโรคภูมิแพ้ เป็นโปรตีน immunoglobulin
ซึ่งเขาเรียกว่า gamma E globulin หรือ IgE

ในกรณีเกี่ยวกับแมวที่กล่าวมา
ผู้เป็นพ่อ และลูกสาวคนเล็ก มี IgE ในปริมาณสูงมาก
ซึ่งมันจะทำหน้าที่จัดการกับสารแปลกปลอมที่ได้จากแมว
และ ผู้เป็นพ่อ และลูกสาวจะเกิดภูมิแพ้ขึ้นทุกครั้ง
ที่คนทั้งสองสัมผัสสิ่งแปลกปลอมที่ได้จากแมว

โดยปกติทั่วไป ระบบภูมิคุ้มกัน จะใช้เวลาประมาณเดือนถึงปี
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน (antibodies) ขึ้นได้

แม้ว่า คนเราอาจมีปฏิกิริยาภูมิแพ้เกิดในการสัมผัสสิ่ง
แปลกปลอมเป็นครั้งแรกได้ในบางครั้ง
แต่ส่วนใหญ่ ระบบภูมิคุ้มกันต้องมีโอกาสสร้างภูมิคุ้มกัน (antibody) ขึ้นก่อน
และจะเกิดปฏิกิริยา โรคภูมิแพ้ขึ้น เมื่อได้มีการสัมผัสสิ่งแปลกปลอมในครั้งถัดไป

IgE เป็น ภูมิคุ้มกัน (antibody) ซึ่งพวกเราทุกคนมีกัน
แต่มีในปริมาณน้อยมาก
ส่วนคนที่เป็นพวก allergic (สามารถมีปฏิกิริยาภูมิแพ้)
จะมี IgE ในปริมาณที่สูงมาก

สำหรับผู้เป็นแม่ของเด็กทั้งสาม
ตัวแม่ และลูกอีกสองคน ต่างมีภูมิต้านประเภทอื่น ๆ
ซึ่งไม่มีส่วนในการทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้กับแมวได้
จัดเป็นพวก non-allergic...

Who is at risk and why?
ภูมแพ้ สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกอายุ
เป็นโรคที่พบได้มากในเด็ก อาจปรากฏเป็นครั้งแรกเมื่อเป็นผู้ใหญ
ในขณะที่โรคภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นกับจมูก มีแนวโน้มจะหายไปเมื่ออายุแก่ขึ้น

อาจมีคำถามขึ้นว่า ทำไมบางคนไวต่อสารที่ก่อให้เกิดภูมแพ้ได้
ในขณะที่คนส่วนใหญ่กับไม่เป็นเช่นนั้น ?
ทำไมคนที่มีโรคภูมิแพ้ ทำไมจึงมีการสร้างสารที่เป็นภูมิต้านทาน
IgE ในปริมาณสูงมากว่าคนที่เป็น non-allergic ?

คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพันธุกรรม
ซึ่งในบางครั้ง เราพบว่า โรคภูมิแพ้มักปรากฏในครอบครัวกัน
หลายคน และโอกาสที่ท่านจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้หรือไม่ อาจสัมพันธ์กับ
ประวัติของพ่อแม่ที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้

ถ้า พ่อ และแม่ของท่านไม่มีโรคภูมิแพ้ โอกาสที่ท่านจะเป็นโรคภูมแพ้ได้ มีเพียง 15 %
และถ้าหนึ่งในพ่อแม่ของท่านมีโรคภูมิแพ้ ท่านมีโอกาส 30 %
ถ้า ทั้งพ่อ และแม่ต่างเป็นโรคภูมิแพ้ ท่านมีโอกาสเป็นโรคภุม
แพ้ได้ถึง 60 %

ปัญหาด้านแวดล้อม ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคภูมแพ้
และเป็นทีทราบแน่ชัดว่า คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะต้องแนวโน้ม
ทางพันธุกรรม และได้สัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้มาก่อน
จึงจะมีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้

มีปัจจัยหลายอย่าง มีอิทธิพลต่อการทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้น
เช่น การสูบบุหรี่ มลภาวะ การอักเสบติดเชื้อ
และ ฮอร์โมนต่าง ๆ

ส่วนของร่างกาย ซึ่งมีแนวโน้มเกิดโรคภูมแพ้ขึ้น ได้แก่:

ตา จมูก ปอด ผิวหนัง และ กระเพาะอาหาร
แม้ว่า โรคที่เกิดจากภูมิแพ้หลายชนิด อาจมีความแตกต่างกัน
แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ ทุกโรค ต่างมีการตอบสนองของ
ระบบภูมิคุ้มกันของคนที่ไวต่อสิ่งแปลกปลอม ในปริมาณที่
มากเกิน (exaggerated)

http://www.medicinenet.com/allergy/article.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น