วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Psoriatic Arthritis : Diagnosis ..& Treatment continued 2

8/31/12

การวินิจฉัย (Diagnosis)
ในการวินิจฉัยโรคข้ออักเสบ  ที่เกิดจากโรคสะเก็ดเงิน (psoriatic arthritis)…
แพทย์เพียงอาศัยอาการของคนไข้  และ การตรวจร่างกายเท่านั้น
ซึ่งตรงข้ามกับโรค “ลูปัส.   และ  โรค “รูมาตอยด์
ซึ่งจะสามารถตรวจพบ autoantibodies ในเลือด

แพทย์อาจสั่งตรวจเอกซเรย์ข้อที่อักเสบ...แต่ภาพเอกซเรย์ 
อาจไม่สามารถบอกชนิดของข้ออักเสบจากโรคสะเก็ดเงินได้
มีบางราย  หมอเอกซเรย์  อาจบอกได้ว่า  ภาพเอกซเรย์ที่ปรากฏนั้น  สามารถที่
จะแยกออกจากข้อกระดูกของคนที่เป็นโรค “รูมาตอยด์” ได้


คนที่เป็นโรคข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน  เป็นโรคเรื้อรัง...
อย่างไรก็ตาม  อาการของคนเป็นโรคมีได้แตกต่างกันไป 
บางรายมีอาการน้อยในบางเวลา  และ มีอาการมากในอีกเวลาหนึ่ง
โรคไขข้อดังกล่าว  เป็นปัญหาที่ไม่สามารถขจัดให้หมดสิ้นได้
การป้องกัน (Prevention)
โรคไขข้ออักเสบจากโรคสะเก็ดเงิน  ไม่มีทางป้องกันได้เลย

การรักษา (Treatment)
การรักษาโรคข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน   จะใช่ยาในกลุ่ม NSAIDs
เช่น  aspirin,  ibuprofen. และ  Coticosteroids  เช่น  prednisone  จะถูกนำมาใช้
ในบางครั้ง   และ  เนื่องจากมันอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน  
และ  อาจทำให้อาการกลับมาอีก   ถ้าหากหยุดยา 
บางครั้ง  การฉีดยา steroids  สามารถช่วยรักษาข้ออักเสบที่มีความรุนแรง
เมื่ออาการของข้ออักเสบ  มีความรุนแรง...
ยา hydroxychoroquine (Plaquenil)  หรือ  methotrexate (Rhematrex)  สามารถ
ระงับอาการของข้ออักเสบได้  อย่างไรก็ตาม  เราไม่แน่ใจว่า 
ยาพวกนี้สามารถป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลาย

แต่มีรายงานหนึ่ง  มีส่วนสัมพันธ์กับ hydroxylchlolquine  ทำให้โรคสะเก็ดเงินแย่ลง
ดังนั้น  แพทย์บางคนจึงพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาตัวนี้

Sulfasalazine (Azulfidine) เป็นสารต้านการอักเสบ 
ที่ใช้ในการรักษาโรคลำไส้อักเสบ  สามารถช่วยคนไข้ที่เป็นโรคไขข้อจากสะเก็ดเงินได้

ส่วนยาต้านการอกเสบตัวอื่น ๆ  เช่น  Cyclosporine  ถูกนำมาใช้เป็นบางครั้ง
แต่มันสามารถทำลายไตได้  ดังนั้น  เขาจะใช้ยาตัวนี้ก็ต่อเมื่อใช้ยาตัวอื่นไม่ได้ผลเท่านั้น

ยาฉีดใหม่ ๆ  ถูกนำมาใช้ในการรักษา  เช่น  adalimumab (Humira), Etanercept
(Enbrel)  และ  infliximab (Remicade)  เป็นยาที่มีประสิทธิภาพ
แต่เนื่องจากเป็นยาฉีดเท่านั้น  และราคาแพงอีกต่างหาก
เป็นยาที่สงวนไว้เพื่อคนไข้ที่เป็นโรคข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน 
ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ

ในกรณีที่ข้อเลวลงเรื่อย   แม้ว่าจะรับการรักษาก็ตามที
แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาทางศัลยกรรมเพื่อแก้ไขความพิการของข้อ  หรือ
ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมให้แก่คนไข้  ถ้าคนไข้รายนั้น  มีความเจ็บปวดอย่างมาก
หรือ  ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

สุดท้าย  แพทย์อาจแนะนำกายภาพบำบัดให้แก่คนไข้  หรือแนะนำให้ทำอาชีวะ
บำบัดให้แก่คนไข้  เพื่อรักษาสภาพของกล้ามเนื้อรอบข้ให้แข็งแรง  และช่วยทำ
ให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี

อาจดามข้อท่กำลังอักเสบไว้ชั่วระยะสั้น ๆ   สามารถช่วยลดอาการข้vอักเสบลงได้
การบริหารร่างกาย  จัดเป็นเรื่องสำคัญ  โดยเฉพาะรายที่เกิดกระดูกสันหลังอักเสบ
(spondylitis)  สามารถลดอาการของหลังลงได้

การพยากรณ์โรค (Prognosis)
ภาพลักษณ์ของคนไข้โรคข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน  จะแตกต่างกัน
บางรายอการไม่มาก  จะใช้ยารักษาเฉพาะตอนมีอาการเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม  จากรายงานพบว่า  ประมาณ 25 % ของคนไข้ดังกล่าว  จะ
พิการจากโรคที่มีอาการรุนแรง,  ข้อจะถูกทำลายลงเมื่อเวลาผ่านไป
แต่ด้วยการรักษาที่เหมาะสม  คนไข้ส่วนใหญ่  สามารถควบคุมความเจ็บปวด
ได้,  ทำให้การทำงานของข้อดีขึ้น  และจำกัดไม่ให้ข้อถูกทำลายลงได้

Psoriatic Arthritis 1

8/31/12

โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)…
นอกจากจะเห็นความผิดปกติบนผิวหนังแล้ว  โรคดังกล่าว 
สามารถทำให้เกิดข้ออักเสบได้  ซึ่ง เป็นข้ออักเสบชนิดเรื้อรัง  ทำให้เกิดอาการปวดข้อ
ข้อแข็งเคลื่อนไหวได้ลำบาก (stiffness)  และ  มีอาการข้อบวมด้วย


โรคสะเก็ดเงิน  เป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลูกได้
โดย เป็นโรคที่ทำให้กิดรอยโรคบนผิวหนัง  มีลักษณะเป็นสะเก็ดเงิน...


ประมาณว่า  คนที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน  มีโอกาสเกิดไขข้ออักเสบได้ 5 %ถึง 10 %
ทั้งเพศชาย และหญิง  สามารถเกิดได้เท่า ๆ กัน ซึ่งมักจะเกิดในช่วง  30 – 50
อย่างไรก็ตาม  โรคชนิดนี้สามารถเกิดในเด็กได้เช่นกัน
ส่วนใหญ่ที่เป็นโรคดังกล่าว  อาการจะไม่รุนแรง 
แต่บางราย  จะอาการจะรุนแรงมาก


ชนิดโรคข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน (psoriatic Arthritis)

ข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน มี  5  ชนิดด้วยกัน
มันถูกแบ่งโดย  อาศํยความรุนแรงของโรค  โดยไม่คำนึงว่า
จะเกิดขึ้นทั้งสองข้าง  และ  ข้อไดเกิดการอักเสบขึ้น


§  Asymmetric inflammatory arthritis:
ข้ออักเสบที่เกิด  มักจะเป็นข้อเข่า, ข้อเท้า, ข้อมือ หรือ นิ้วมือ
และจำนวนข้ออักเสบ  จะมีประมาณหนึ่ง ถึง สี่ข้อที่มีการอักเสบเกิดขึ้น
และ  ส่วนใหญ่  ข้ออักเสบที่เกิดขึ้น  สามารถเกิดขึ้นทั้งสองข้างของกาย
แต่  ข้ออักเสบที่เกิด  จะไม่เท่ากัน


§  Symmetric arthritis:
ข้ออักเสบที่เกอิดในกลุ่มนี้  ส่วนใหญ่จะเกิดมากว่า สี่ข้อ 
และข้ออักเสบที่เกิดทั้งสองข้าง  จะเกิดได้เท่า ๆ กัน (symmetrical)
ที่บริเวณเล็บมือ  จะพบรอยของเล็บมือเป็นสัน (ridge) และเป็นหลุมเล็ก ๆ


§  Psoriatic spondylitis:
คนไข้กลุ่มนี้  จะพบว่า  ข้อ sacroiliac joints  ซึ่งเป็นข้อที่เชื่อมระหว่างกระ
ดูกสันหลัง(spine)  และ กระดูกเชิงกราน (pelvis)  เกิดการอักเสบ  และ
บางทีมีข้ออื่น ๆ  เกิดการอักเสบด้วย  ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนไหวกระดุกบั้น
เอว  เคลื่อนได้ด้วยความลำบาก (morning stiffness)


§  Isolated finger involvement:  ข้ออักเสบที่เกิด  จะเป็นข้อสุดท้ายของนิ้วมือ
ใกล้เล็บมือ  ซึ่ง อาจมีข้อเพียงหนึ่งข้อ  หรือหลายข้อเกิดการอักเสบ


§  Arthritis mutilans:
โรคข้ออักเสบชนิดนี้   เป็นกลุ่มที่รุนแรงสุด  และพบได้น้อยที่สุด
ข้ออักเสบที่เกิดขึ้น จะทำให้นิ้วสั้นลง เพราะมีการทำลายข้อ
และกระดูกที่อยู่ใกล้ข้อ


โรคข้ออักเสบที่เกิดในโร psoriasis....
บางครั้ง  เราสามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจน
แต่มีบางราย  ที่แสดงได้เห็นว่า  มีอาการของข้ออักเสบหลายชนิดรวมกัน


โรคสะเก็ดเงิน  สามารถเกิดขึ้นได้ก่อน  หรือ เกิดตามหลังมีข้ออักเสบเกิดขึ้นแล้ว
แต่มีประมาณ  75 %  ของคนไข้ข้ออักเสบ 
จะเกิดตามหลังการเป็นโรค psoriasis  ก่อน ๆ ที่จะเกิดข้ออักเสบ
มีบางราย  เกิดมีอาการเคลื่อนไหวลำบาก (morning stiffness) 
โดยเกิดก่อนที่จะมีข้ออักเสบเกิดขึ้น


คนไข้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน (psoriasis)  ที่พบว่า มีรอยโรคที่เล็บมือ
โดยเฉพาะเล็กมือที่เป็นหลุม (pitting)  มีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นโรคไขข้ออักเสบ
ได้มากกว่า 50 %  ของคนที่ไม่มีรอยโรคที่บริเวณเล็บมือ (ซึ่งมีเพียง 10 % )


สาเหตุของโรคไขข้อจากโรคสะเก็ดเงิน  ยังไม่เป็นที่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร...
แต่มีหลักฐาน  กล่าวว่า  การอักเสบ  หรือ บาดเจ็บ  สามารถทำให้เกิด
โรคดังกล่าวได้  ยกตัวอย่าง  โรคข้ออักเสบจาก psoriasis (psoriatic arthritis)
จะถูกกระทบโดยโรค HIV  โดยการทำให้เกิดมีอาการขึ้นมาอีก


นอกจากนั้น  พันธุกรรมยังมีบทบาทต่อการทำให้เกิดโรคดังกล่าว
โดยพบว่า  มีประมาณ 40 %  ของคนเป็นโรคไขข้อจากสะเก็ดเงิน
( Psoriatic arthritis)  มีประวัติทางครอบครัวว่า  เป็นโรคผิวหนังสะเก็ดเงิน  หรือ
เป็นโรคไขข้อจากสะเก็ดเงิน  และ  มีการพบว่า  มีพันธุกรรม  HLA-B27  ในเลือด
ของคนที่เป็นโรคไขข้อจากสะเก็ดเงิน
อ่านต่อ  กด:  Psoriatic arhthritis : symptoms

อาการ (symptoms)
อาการที่เกิดประกอบด้วย:
§  โรคผิวหนัง  มีลักษณะเป็นแผ่นสีชมพู หรือ สีแดงคล้ำ

§  พบได้ที่บริเวณด้านหลังของต้นแขน ด้านหน้าของต้นขา  และ บนหนังศีรษะ

§  มีการอักเสบของข้อต่าง ๆ  โดยเฉพาะที่นิ้วมือ  นิ้วเท้า หรือ  กระดูกสันหลัง

§  มีการเคลื่อนไหวข้อลำบาก (morning stiffness)

§  ปวดหลังที่บริเวณส่วนล่าง

โรคอักเสบจากโรคสะเก็ดเงิน  สามารถเกิดขึ้นกับส่วนอื่นของร่างกาย
เช่น  รูสึกเหนื่อยเพลีย, เป็นโรคโลหิตจาง  ซึ่งมักจะปรากฏในรายที่มีความรุนแรง
บ่อยครั้ง  โรคข้ออักเสบที่เกิดขึ้น  มักจะมีการอักเสบของเอ็นตรงบริเวณตำแหน่ง
ยึดติดกับกระดูก  เช่น ที่บริเวณซ่นเท้า  หรือ ที่บริเวณนิ้ว

Arthritis Medicatons : DMARDs

8/31/12


เมื่อคนไข้เป็นโรคไขข้ออักเสบ  เนื่องมาจากโรครูมาตอยด์  หรือ  โรค  ลูปัส
ยาในกลุ่ม DMARDs อาจถูกนำมาใช้ในการรักษาคนไข้โรคไขข้อดังกล่าวได้

ตามเป็นจริง  มียาหลายตัวถูกยืมมาจากยาที่ใช้รักษาโรคอื่นอยู่ก่อนแล้ว 
เช่นโรคมะเร็ง  และ  โรคมาลาเรีย

ยาต้านมาลาเรีย (antimalrials)  ได้แก่ choroquine (Aralen)
และ hydroxychloroquine (Plaquenil)

ยาที่ถุกพิจารณาว่า  เป็นยาที่สามารถควบคุมได้โรคได้มากกว่า  ได้แก่
Methotrexate (Rhematrex), sulfasalzine  และ azathiprine (Imuran)

โดยเชื่อว่า  ยาเหล่านี้จะทำหน้าที่ยับยั้งการอักเสบที่เกิดขึ้น  โดยกระทำที่ระบบภูมิคุ้มกัน 
และในขณะเดียวกัน   DMARDS  ยังเป็นยาที่ผลข้างเคียงสูงอีกด้วย

ในการใช้ยาในกลุ่ม DMARDs นั้น  ปรากฏว่า
ต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ กว่าจะเห็นผลของการรักษา 
ดังนั้น  แพทย์จำเป็นต้องใช้ยากลุ่ม NSAIDs หรือ พวกCorticosteroids ให้แก่คนไข้ด้วย


ในขณะที่ใช้ยาในกลุ่ม DMARDs  สามารถก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับผลข้างเคียงได้
มียาหลายตัวในกลุ่มนี้  สามารถทำให้เกิดอาการท้องร่วง,  มีผื่นตามผิวหนัง,
เป็นโรคโลหิตจาง (เม็ดเลือดแดงลดต่ำลง),  เม็ดเลือดขาวลดต่ำ
และมีโอกาสเกิดการอักเสบได้สูง

โดยทั่วไป  ยาในกลุ่มนี้จะทำหน้าทีด้วยการกด (suppress) การทำงานของระบบ
ภูมิคุ้มกัน  เป็นเหตุให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบ   นอกจากนี้  methotrexate 
ยังสามารถทำให้เกิดปัญหาของตับ(liver)  และ ของปอด (lung)

ยารักษามาลาเรีย (antimalrial drugs)  สามารถกระทบตา
ดังนั้น การใช้ยาตัวนี้  ควรใช้ด้วยความระมัดระวังด้วย

Gold salts  เป็นยาอีกตัวหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม  DMARDs….
ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบมานานนับครึ่งศรรตวรรษ
อย่างไรก็ตาม  ฤทธิ์ของยายังไม่เป็นที่ทราบชัด
ในปัจจุบัน  ปรากฏว่า  จะหาแพทย์สั่งใช้ยาตัวนี้ไม่ค่อยได้แล้ว

Leflunomide (Arava)  สามารถลดการทำงานของ เซลล์คุ้มกันลงด้วยการทำให้
โปรตีนที่จำเป็นต่อการสร้าง DNA เสียไป 

ส่วนพวก Anti-TNF....
จะทำหน้าท่ชะลอการทำลายข้อด้วยการทำลายฤทธิ์ของ TNF
ยาที่ทำหน้าที่ต้าน TNF ได้แก่:

§  adalimumab  (Humira)
§  certolizumab (Cimzia)
§  etanercpt (Enbrel)
§  golimumab (Simponi)
§  infliximab (Remicade)

Anakinra (Kineret) 
จะทำหน้าที่ยับยั้งสารที่ทำหน้าเป็นสื่อกลางการอักเสบ  ชื่อ interleukin-1 (IL-1),   
ส่วน  tocilizumab (Actemra)  จะทำหน้าที่ยับยั้ง interleukin-6
นอกจากนั้นยังมียาที่ผลิตออกมา  เพื่อใช้รักษาโรครูมาตอยด์
ซึ่งเป็นยาที่ใช้ฉีดเช่น abatacept (Orencia)  จะทำหน้าที่ยับยั้งการทำงาน
B-cell ของระบบภูมิคุ้มกัน   ส่วนยา Belimumab (Benlysta)
นอกจากจะยับยั้งการทำงานของ B –cells  และ...
เป็นยาตัวแรกที่ได้รับการยอมรับให้นำไปใช้ในการรักษาโรค  SLE 
มานานเป็นศตวรรษแล้ว

ยาแก้ปวดไม่ได้ลดการอักเสยของข้อ

โรคข้ออักเสบที่พบกันบ่อยที่สุด  คือ osteoarthritis
ซึ่งเป็นโรคข้ออักเสบ  ที่มีการการอักเสบน้อยที่สุด  หรือไม่มีการอักเสบเลย
ดังนั้น การรักษาอาการปวด  จึงเป็นเป้าหมายหลักของการรักษาโรคข้ออักเสบชนิดนี้

ยาแก้ปวด  เช่น  acetaminophen (Tylenol)
อาจเป็นยาที่เพียงพอต่อการควบคุมอาการปวด
ส่วนยาตัวอื่น  อาจลดอาการของโรค  osteoarthritis ได้แก่ NSAIDs, ยาแก้ปวด
ชนิดอื่น ๆ,  ยาฉีด corticosteroids, หรือยาฉีดที่มีชื่อเรียก hyaluronate (แม้
ว่าผลของยาตัวนี้จะไม่มากก็ตาม)

http://www.intelihealth.com

Anti-inflammatory Drugs & Corticosterodis -continued 2

8/31/12

NSAIDS เป็นกลุ่มยาที่ใช้ลดอาการต่าง ๆ ของโรคอักเสบชนิดต่าง ๆ 
โดยทำหน้าที่ชะลอการสร้างสารที่มีชื่อว่า prostaglandins ลง
สารตัวนี้เอง  ที่รับผิดชอบกับการอักเสบที่เกิดในร่างกาย 
ซึ่งทำให้เกิดอาการบวม, ปวด, การเคลื่อนไหวติดขัด, แดง และ ร้อน

ยาในกลุ่ม NSAIDs ยังมีฤทธิ์แก้ปวด  นอกเหนือไปจากการลดการอักเสบ
และ  ผลของการลดการอักเสบ  จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อให้ยาในขนาดสูงพอประ
มาณขึ้นไป

ในสหรัฐฯ  จะมียาในกลุ่ม NSAIDs  มากกว่า 20 ชนิด
ที่ได้รับการรับรองจาก FDA  แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย
แต่ส่วนใหญ่แล้ว  จะคล้ายกันมากกว่าแตกต่างกัน


Aspirin  เป็นยาที่ใครก็ทราบกันดีว่า เป็นยาลดการอักสบตัวหนึ่ง
ส่วน NSAIDs ตัวอื่น ๆ ได้แก่ ibruprofen, naproxen และindomethcin

ผลข้างเคียงของการใช้ยากลุ่มนี้  คือ ปวดท้อง
ซึ่งบางครั้ง  ถ้าหากรับทานยาพร้อมอาหาร,  พร้อมกัยดื่มนม  หรือยาลดกรด
สามารถทำให้อาการปวดท้องลดลง   แต่ถงกระนั้นก็ตาม  การยังปรากฏว่า
คนไข้ที่รับทานยากลุ่มดังกล่าว  ยังมีอการจากยาในกลุ่ม NSAIDS เป็นประจำ

มีรายงานว่า  ประมาณ 2 – 4 %  ของคนที่รับทานยา NSAIDs
เกิดเป็นแผลในกระเพาะ และ อาจมีเลือดออกได้  สามารถทำให้กระเพาะอุดตัน
หรือ  กระเพาะทะลุ   ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด

มียา NSAIDs ตัวใหม่ ๆ ถูกผลิตขึ้น  เช่น celcoxib (Celebrex)
มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาเก่าที่กล่าวมา  แต่มีผลดีกว่าตรงที่ทำเกิดแผล
ในกระเพาะได้น้อยกว่า

ยาที่ผลิตขึ้นใหม่นี้  ถูกเรียกว่า COX-II selective
เพราะมันจะทำหน้าที่ยับยั้งเอนไซม์ตัวเดียวเท่านั้น  นั้นคือCOX-II
(ส่วนยาเก่าจะยับยั้งเอ็นไซม์ทั้ง COX-I และ COX-II)


สำหรับ COX-II inhibitor  ถูกแนะนำให้ใช้ในรายที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดแผล
ในกระเพาะอาหาร  เช่น คนไข้ที่ได้รับสาร 
มีประวัติว่า  เป็นแผลในกระเพาะมาก่อน

เนื่องจากยา aspirin เป็นยาที่มีฤทธิ์ป้องกันไม่เกิดการสร้างก้อนเลือด (anticoagulant)
ดังนั้น ใครก็ตามที่รับทานยา aspirin  จำนวนมาก ๆ
หรือ รับทานยยา nonselective NSAIDs  เป็นประจำ 
สามารถทำให้เกิดเลือดออกได้ง่าย 


นอกจากนั้น  ยังก่อใหเกิดผลข้างเคียงอย่างอื่นได้  เช่นทำลายไต(kidney injury) ,
แพ้ยา (allergic reaction), ทำให้น้ำถูกกักเก็บในร่างกาย,
และ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

สำหรับคนที่รับทาน aspirin  ขนาดต่ำ ๆ (80 mg) เพื่อป้องกันหัวใจ  และ
จำเป็นต้องรับทาน NSAID เพื่อลดอาการปวดด้วย....
ในกรณีดังกล่าว  ท่านจะต้องรับทาน aspirin ก่อน  อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง 
มิฉะนั้น  ประโยชน์อันพึงได้จากยา  aspirin จะหายไป

สารที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบได้มากที่สุด  คือ corticosterodis
สารสังเคราะห์ที่นำมาใช้ในการลดการอักเสบ  และ  และระงับฤทธิ์จากระบบภูมิคุ้มกัน
ได้แก่  prednisone  และ dexamethasone

สาร corticosteroids  สามารถออกฤทธิ์ได้ผลเป็นที่น่าพอใจในหนึ่ง หรือสองวัน
แต่ผลในระยะยาว  ปรากฏว่า  มีน้อย   หากมีการฉีดสารดังกล่าวเข้าข้อหลาย ๆ ครั้ง 
อาจทำลายข้อได้

การใช้ยา oral corticosteroids ในระยะยาว 
สามารถทำให้เกิดผลเสีได้มากมาย   เช่น  เพิ่มน้ำหนักตัว,  หน้ากลมเหมือนพระจันทร์, 
ความดันโลหิตขึ้นสูง,  เป็นสิว,  ฟกช้ำได้ง่าย,   เป็นต้อกระจก,  ผิวหนัง  และ กระดูกบาง, 
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน   และ การอักเสบติดเชื้อ

การใช้ยา corticosteroids ร่วมกับยาในกลุ่ม NSAIDs 
จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร  ถ้าจำเป็นต้องใช้ยา steroids
เพื่อลดอาการของโรคในระยะเฉียบพลัน  จะต้องให้ระยะสั้น ๆ เท่านั้น
จากนั้น  ให้ค่อย ๆ ลดขนาดของยาลง