วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Ask The Expert: What is the Drawback of Eating Sugar


มีคำถามจากคนลุงท่านหนึ่งว่า...
วันหนึ่ง ๆ ต้องดื่มชา  วันละ  2 – 4 ถ้วย ไม่มีขาดแม้แต่วันเดียว
แต่ละถ้วยจะใส่น้ำตาลประมาณ  2  ช้อนชา 
เราทราบว่า   นอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มแล้ว  มีผลเสียอย่างอื่นหรือไม่ ?

การรับประทานน้ำตาล  หลายๆ ช้อนต่อวัน 
นอกจากจะเพิ่มความอ้วนให้แก่ร่างกาย    ยังทำให้สุขภาพแย่ลงไปได้ 
นั้นเป็นความคิดเห็นของนักโภชนาการทั้งหลาย  รวมถึงความคิดของคนใน
American Heart Association เช่นกัน

ในระหว่างปี 1970 และ 2005  มีการรายงานว่า....
ชาวอเมริกันได้รับประทานสารทีเพิ่มความหวานแทนน้ำตาลถึง  19 %
ครึ่งหนึ่งจะมาจากน้ำดื่มที่เพิ่มสารทำให้เกิดความหวาน 
เช่น Soda (น้ำหวาน หรือ น้ำผลไม้)  จากพฤติกรรมดังกล่าว 
จึงมีแนวโน้มนำไปสู่อันตรายต่อสุขภาพ ได้

จากการวิจัย  ในหลายปีที่ผ่านมา  พบว่า 
การที่คนรับทานน้ำตาลสูงขึ้น  ได้เป็นเหตุให้มีชนชาวอเมริกันมีจำนวนคนอ้วนมาก,
เป็นเบาหวาน,  มีระดับไขมันcholesterol ในเลือดสูง 
และเป็นโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มมากขึ้น

ทำไมเรื่องน้ำตาลจึงก่อให้เกิดปัญหา ?
การที่คนเรารับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมาก  ย่อมหมายความว่า
เรากำลังรับทานอาหารที่มีระดับแคลอรี่มากขึ้น  ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่ธรรมดา !

ผลจากการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้  กล่าวว่า 
การรับปทานอาหารที่มีน้ำตาล  อาจเปลี่ยนแปลงกระบวนการเผาผลาญสารเคมี
(metabolism) ในร่างกายให้ผิดปกติไ

ผลจากการศึกษาในคน  และ ในสัตว์   พบว่า 
fructose  ซึ่งเป็นนำตาลชนิดหนึ่  จะมีส่วนสัมพันธ์กับระดับ triglyceride ที่สูง 
และ HDL cholesterol ต่ำ  นอกจากนั้น  มันยังสัมพันธ์กับความดันโลหิตสูง, เพิ่ม 
การต่อต้าน “อินซูลิน” (สาเหตุของเบาหวานประเภทสอง), ทำให้มีไขมันในตับ 
และ  เพิ่มความอ้วนรอบบั้นเอว  ให้แก่คนที่รับทานยน้ำตาลชนิด fructose
ผลรวมของภาวะต่าง ๆ ที่กล่าวมา  ถูกเรียกว่า metabolic syndrome

ผู้เชี่ยวชาญบางท่าน... 
ได้พบหลักฐานการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว  เกิดขึ้นในระดับโมเลกุล 
โดยเฉพาะเกิดจากน้ำตาลที่เป็น fructose   เขาพบว่า  การรับทานน้ำตาล “ฟลูคโตส” 
จะไปทำลายพลังงานที่สำคัญของเซลล์ที่  มีชื่อว่า “ATP”  ให้น้อยลงหรือหมดสิ้นไป
ซึ่งเขาเรียกว่ากระบวนการณ์เผาผลาญสารเคมีที่เปลี่ยนแหลงไป (shift metabolism)

นักวิทยาศาสตร์ท่านอื่น ๆ
จะมองไปที่ธรรมชาติ และการพัฒนาการณ์ของธรรมธรรมชาติ  โดยเขากล่าวว่า 
การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการเผาผลาญสารเคมีในร่างกาย  จะแตกต่างไป 
เมื่ออาหารของมนุษย์เรามีมีความหวานมากสุด  ซึ่งอาจเป็นหัวใจของ 
“ความหมาะสมเนั้นจึงจะมีชีวิตรอดได้”  หรือ  The survival of fittness

นักวิทศาสตณ์เหล่านี้  มีความเห็นว่า...
ในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว  รสชาติของความหวานเป็นสื่อสารสำหรับสัตว์ทั้งหลาย 
โดยมันบอกให้สัตว์เหล่านั้นได้ทราบว่า   “ถึงเวลาที่ต้องสะสมไขมัน” เอาไว้แล้ว"

ยกตัวอย่าง  เมื่อ หมีกินน้ำหวานจากรวงผึ้งในช่วงปลายฤดูร้อน  
อาหารที่มีรสหวานนั้น  จะบอกให้มันได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร 
ในร่างกายของมัน  ให้เปลี่ยนแปลงไป   เพื่อมันจะได้สะสมไขมัน
เพื่อไว้ใช้ในช่วงฤดูหนาวต่อไป

ปัญหาของคนอเมริกัน  เกี่ยวกับอาหารที่มีรสหวาน... 
มันไม่ใช่เรื่องเล็ก   เหมือนกับพวกสัตว์  ที่มีการสะสมอาหารด้วยการเปลี่ยนเป็นไขมัน
มันเป็นเรื่องของชนชาวอเรกิกัน  ที่ชอบรับทานอาหารตลอดทั้งปี 
จนทำให้ร่างกายของพวกเขาอ้วนพี  เต็มไปด้วยไขมัน  เป็นปัญหาด้านสุขภาพ
ในปี 2009  The American Heart Association (AHA....   
ได้แนะนำ   ให้ใช้สารที่ทำให้เกิดความหวานแทนนำตาล  ในอาหาร และน้ำดื่มทุกชนิด   
และให้ให้ใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด  รวมถึงพวก corn syrup,  น้ำอ้อย, 
น้ำตาลแดง และ น้ำผึ้ง

นอกจากนั้น  AHA ยังแนะนำให้ชาวอเมริกัน
รับทานน้ำตาลให้น้อยลง  โดยแนะนำ:

·       Women – no more than 5 teaspoons
·       Men – no more than 9 teaspoons
·       Children 4 to 8 years old – no more than 3 teaspoons
สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย  หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
ควรตัดพวกน้ำตาลลงให้มากกว่าที่กล่าว

วิธีที่จะรับทานน้ำตาลให้น้อยลง  ที่ได้ผลดีที่สุด  คือ 
เลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานทุกชนิด

จากสถิติกล่าวว่า  ชาวอเริกา  จะรับทานน้ำตาลจากเครื่องดื่มประมาณ 33 %
ที่ควรรู้คือ เครื่องดื่ม (soda) หนึ่งขวด (12 ounce) มีน้ำตาลประมาณ  8 ช้อนชา
(1 fluid ounce = 29 .5 ml)

โดยสรุป  การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมากนั้น 
ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายอย่างแน่นอน  นอกจากจะทำให้เกิดความอ้วนขึ้นแล้ว 
เจ้าตัวความอ้วนนั่นแหละ  จะเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น