8/22/12
continued
continued
Lymphoma : Treatment
การรักษาตามมาตรฐานของโรค lymphoma ….
ประกอบด้วย การรักษาด้วยการฉายแสงรังสี (radiation therapy)
เป็นการรักษาระยะแรก ๆ ของมะเร็ง lymphomas, หรือ
อาจรักษาด้วยการใช้ chemotherapy ร่วมกับ การฉายแสง (radiation)
สำหรับ มะเร็งระยะสุดท้าย (later stage lymphoma)
การรักษาด้วยlสารเคมี เรียกเคมี รักษา ซึ่งมีการให้ยาตั้งแรกวินิจฉัยโรค
อาจมีการเพิ่มการรักษาด้วยรังสี เพื่อเป็นการรักษาคนที่เป็นมะเร็ง
ที่มีก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ (blky disease)
การรักษาด้วย biological therapy หรือ immunotherapy
ก็เป็นทางเลือก ที่ใช้เสริมวิธีการรักษาตามมาตรฐาน
Radiation therapy:
เป็นการรักษาด้วยการฉายแสง โดยใช้รังสีเพื่อทำการฆ่าเซลล์มะเร็ง
ถือว่า เป็นการรักษาเฉพาะที่ (local therapy) ซึ่งหมายความว่า
เป้าหมายของการรักษา คือ ตัวเซลล์มะเร็งนั้นเอง
โดยมีแพทย์เฉพาะทางมะเร็งรักษา (oncology) จะเป็นคนวางแผนในการรักษา
ตลอดรวมถึงการแนะนำทางเลือกให้แก่คนไข้
การฉายแสงที่บริเวณต่อมน้ำเหลือง หรือ ที่อวัยวะที่เป็นมะเร็ง
ในบางกรณี ในบริเวณใกล้เคียงมะเร็ง อาจจำเป็นต้องได้รับการฉายแสงด้วย
เพื่อเป็นการทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจมีการกระจายไป
ผลจากการรักษาด้วยการฉายแสง อาจทำให้คนไข้เกดอาการอ่อนเพลีย,
เกิดอาการคลื่นไส้, ท้องล่วง, และ อาจมีปัญหาทางด้านผิวหนัง
การฉายแสงตรงต่อมน้ำเหลือง อาจกดการทำงานของระบบภูมิต้านได้ในระดับ
ที่แตกต่างกัน และการฉายแสงตรงบริเวณกระดูก และไขกระดูก
อาจทำให้การสร้างเม็ดเลือดถูกกด ทำให้จำนวนเม็ดเลือดลดลง
ในการรักษาด้วยการฉายแสง มักจะให้ในระยะสั้น ๆ ประมาณ 5 – 7 วัน
จนกระทั้งถึงหลายอาทิตย์ เพื่อให้ขนาดของรังสี (dose) ให้ต่ำเข้าไว้
เป็นการป้องกันไม่ให้ หรือ ให้เกิดผลข้างเคียงเกิดน้อยที่สุด
Chemotherapy:
ถือว่า เป็นการรักษาเฉพาะที่ (local therapy) ซึ่งหมายความว่า
เป้าหมายของการรักษา คือ ตัวเซลล์มะเร็งนั้นเอง
โดยมีแพทย์เฉพาะทางมะเร็งรักษา (oncology) จะเป็นคนวางแผนในการรักษา
ตลอดรวมถึงการแนะนำทางเลือกให้แก่คนไข้
การฉายแสงที่บริเวณต่อมน้ำเหลือง หรือ ที่อวัยวะที่เป็นมะเร็ง
ในบางกรณี ในบริเวณใกล้เคียงมะเร็ง อาจจำเป็นต้องได้รับการฉายแสงด้วย
เพื่อเป็นการทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจมีการกระจายไป
ผลจากการรักษาด้วยการฉายแสง อาจทำให้คนไข้เกดอาการอ่อนเพลีย,
เกิดอาการคลื่นไส้, ท้องล่วง, และ อาจมีปัญหาทางด้านผิวหนัง
การฉายแสงตรงต่อมน้ำเหลือง อาจกดการทำงานของระบบภูมิต้านได้ในระดับ
ที่แตกต่างกัน และการฉายแสงตรงบริเวณกระดูก และไขกระดูก
อาจทำให้การสร้างเม็ดเลือดถูกกด ทำให้จำนวนเม็ดเลือดลดลง
ในการรักษาด้วยการฉายแสง มักจะให้ในระยะสั้น ๆ ประมาณ 5 – 7 วัน
จนกระทั้งถึงหลายอาทิตย์ เพื่อให้ขนาดของรังสี (dose) ให้ต่ำเข้าไว้
เป็นการป้องกันไม่ให้ หรือ ให้เกิดผลข้างเคียงเกิดน้อยที่สุด
Chemotherapy:
หมายถึงการรักษาด้วยการใช้ยาที่มีกำลังสูง เพื่อฆ่า หรือทำลายเซลล์มะเร็ง
เราเรียกว่า chemotherapy ถือว่า เป็น systemic therapy
ซึ่งหมายความว่า ยาที่ให้แก่คนไข้ จะกระจายไปตามกระแสเลือด
และกระทบกับทุกส่วนของร่างกา
ผลเสียของการใช้ยาดังกล่าว นอกจากทำลายเซลล์มะเร็งแล้ว...
มันยังทำลายเซลล์ที่ดีด้วย นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า ผลข้างเคียง (side effects)
บางคนอาจทนต่อการรักษาด้วยยา (chemotherapy) ได้ดีกว่าคนอื่น
ผลข้างเคียงจาก chemotherapy ที่พบได้บ่อยสุด
คือ การกดไขกระดูก ทำให้การสร้างเม็ดเลือดลดลง เป็นเหตุให้คนไข้รายนั้น
เกิดการอักเสบได้ง่าย (low white cell count), เกิดโรคเลือดจาง (anemia)
เพราะเม็ดเลือดแดงต่ำ หรือ มีปัญหาเรื่องการหยุดเลือด เพราะเกล็ดเลือดต่ำ
นอกจากนั้น อาการอย่างอื่น ๆ
อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้, อาเจียน, เบื่ออาหาร , ผมล่วง, เจ็บภายในปาก
หรือทางเดินของกระเพาะลำไส้, อ่อนเพลีย,ปวดกล้ามเนื้อ,
มีการเปลี่ยนแปลงที่เล็บมือ และ เล็บเท้า
เมือ ท่านเกิดอาการดังกล่าว
ท่านควรบอกให้แพทย์ผู้ทำการรักษาได้ทราบ
ซึ่งแพทย์ผู้ทำการรักษา สามารถให้ยาลดอาการดังกล่าวได้
หรือมีการปรับเปลี่ยนขนาดของยารักษา
การรักษาด้วย chemotherapy
อาจให้ในรูปของเม็ดยา หรือ อาจให้ทางเส้นเลือดดำ
ซึ่งคนส่วนใหญ่ ผู้ซึ่งได้รับยาเม็ดผ่านทางเส้นเลือด จะมีเครื่องมือติดไว้ที่เส้นเลือดดำ
ที่บริเวณหน้าอก หรือ ต้นแขน เพื่อเป็นทางเปิดให้แก่การให้ยารักษา
และ ใช้เป็นทางเจาะเลือดตรวจ
จากประสบการณ์ ชี้ให้เห็นว่า
การใช้ยาหลายอย่างร่วมกัน จะได้ผลดีกว่าการให้ยาเพียงตัวเดียว (monotherapy)
การให้ยาหลายขนานรวมกัน จะลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้
เพราะยาแต่ละอย่าง จะใช้ในขนาดน้อย ทำให้คนไข้สามารถทนต่อผลข้างเคียงได้
การรักษาด้วย chemotherapy ....
จะถูกให้แล้วให้อีกโดยให้เหมือนเดิมทุกครั้งไป
ในการให้แต่ละครั้ง มักจะกินเวลาหลายวัน ตามด้วยการหยุดพักเป็นระยะหลายอาทิตย์
เพื่อ ให้คนไข้ ฟื้นจากผลข้างเคียงที่เกิดจากยาเคมีรักษา เช่น เลือดจาง (anemia)
และ เม็ดเลือดขาวลดต่ำ
การรักษาตามมาตรฐาน จะนับเป็นรอบ แต่ละรอบจะเหมือนเดิมทุกประการ
เช่น ให้สี่ครั้ง หรือ ห้าครั้ง
การรักษาด้วย “เคมีรักษา” ด้วยวิธีการกระจายการรักษาออกไปเป็นระยะยาว
สามารถเพิ่มขนาดของยาทีทให้สูงขึ้น ในขณะที่คนไข้สามารถทนต่อ
ผลข้างเคียง (side effects) ของยาได้
Biological Therapy
เราเรียกว่า chemotherapy ถือว่า เป็น systemic therapy
ซึ่งหมายความว่า ยาที่ให้แก่คนไข้ จะกระจายไปตามกระแสเลือด
และกระทบกับทุกส่วนของร่างกา
ผลเสียของการใช้ยาดังกล่าว นอกจากทำลายเซลล์มะเร็งแล้ว...
มันยังทำลายเซลล์ที่ดีด้วย นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า ผลข้างเคียง (side effects)
บางคนอาจทนต่อการรักษาด้วยยา (chemotherapy) ได้ดีกว่าคนอื่น
ผลข้างเคียงจาก chemotherapy ที่พบได้บ่อยสุด
คือ การกดไขกระดูก ทำให้การสร้างเม็ดเลือดลดลง เป็นเหตุให้คนไข้รายนั้น
เกิดการอักเสบได้ง่าย (low white cell count), เกิดโรคเลือดจาง (anemia)
เพราะเม็ดเลือดแดงต่ำ หรือ มีปัญหาเรื่องการหยุดเลือด เพราะเกล็ดเลือดต่ำ
นอกจากนั้น อาการอย่างอื่น ๆ
อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้, อาเจียน, เบื่ออาหาร , ผมล่วง, เจ็บภายในปาก
หรือทางเดินของกระเพาะลำไส้, อ่อนเพลีย,ปวดกล้ามเนื้อ,
มีการเปลี่ยนแปลงที่เล็บมือ และ เล็บเท้า
เมือ ท่านเกิดอาการดังกล่าว
ท่านควรบอกให้แพทย์ผู้ทำการรักษาได้ทราบ
ซึ่งแพทย์ผู้ทำการรักษา สามารถให้ยาลดอาการดังกล่าวได้
หรือมีการปรับเปลี่ยนขนาดของยารักษา
การรักษาด้วย chemotherapy
อาจให้ในรูปของเม็ดยา หรือ อาจให้ทางเส้นเลือดดำ
ซึ่งคนส่วนใหญ่ ผู้ซึ่งได้รับยาเม็ดผ่านทางเส้นเลือด จะมีเครื่องมือติดไว้ที่เส้นเลือดดำ
ที่บริเวณหน้าอก หรือ ต้นแขน เพื่อเป็นทางเปิดให้แก่การให้ยารักษา
และ ใช้เป็นทางเจาะเลือดตรวจ
จากประสบการณ์ ชี้ให้เห็นว่า
การใช้ยาหลายอย่างร่วมกัน จะได้ผลดีกว่าการให้ยาเพียงตัวเดียว (monotherapy)
การให้ยาหลายขนานรวมกัน จะลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้
เพราะยาแต่ละอย่าง จะใช้ในขนาดน้อย ทำให้คนไข้สามารถทนต่อผลข้างเคียงได้
การรักษาด้วย chemotherapy ....
จะถูกให้แล้วให้อีกโดยให้เหมือนเดิมทุกครั้งไป
ในการให้แต่ละครั้ง มักจะกินเวลาหลายวัน ตามด้วยการหยุดพักเป็นระยะหลายอาทิตย์
เพื่อ ให้คนไข้ ฟื้นจากผลข้างเคียงที่เกิดจากยาเคมีรักษา เช่น เลือดจาง (anemia)
และ เม็ดเลือดขาวลดต่ำ
การรักษาตามมาตรฐาน จะนับเป็นรอบ แต่ละรอบจะเหมือนเดิมทุกประการ
เช่น ให้สี่ครั้ง หรือ ห้าครั้ง
การรักษาด้วย “เคมีรักษา” ด้วยวิธีการกระจายการรักษาออกไปเป็นระยะยาว
สามารถเพิ่มขนาดของยาทีทให้สูงขึ้น ในขณะที่คนไข้สามารถทนต่อ
ผลข้างเคียง (side effects) ของยาได้
Biological Therapy
การรักษาด้วยวิธี Biological therapy บางครั้งเราเรียกว่า
immunotherapy เป็นวิธีการรักษา ที่ใช้ผลประโยชน์จากภูมิต้านที่มีตามธรรมชาติ
ทำหน้าที่ต่อสู้กับตัวที่ทำให้เกิดโรค (pathogens)
การรักษาด้วยวิธีกดังกล่าว เป็นวิธีที่ดี เพราะ มันสามารถทำลายมะเร็งได้
โดยไม่มีผลข้างเคียงจากการรักษาตามมาตรฐาน
การรักษาด้วย biological therapies มีหลายชนิดด้วยกัน ได้แก่:
immunotherapy เป็นวิธีการรักษา ที่ใช้ผลประโยชน์จากภูมิต้านที่มีตามธรรมชาติ
ทำหน้าที่ต่อสู้กับตัวที่ทำให้เกิดโรค (pathogens)
การรักษาด้วยวิธีกดังกล่าว เป็นวิธีที่ดี เพราะ มันสามารถทำลายมะเร็งได้
โดยไม่มีผลข้างเคียงจากการรักษาตามมาตรฐาน
การรักษาด้วย biological therapies มีหลายชนิดด้วยกัน ได้แก่:
v Monoclonal antibodies
Antibodies คือ สารที่สร้างโดยร่างกายของเราเอง เพื่อต่อสู่กับสิ่งแปลกปลอม
ที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย, เซลล์ผิดปกติทุกเซลล์, สิ่งมีชีวิต, หรือ เชื้อโรคภายในร่างกาย
จะมีเครื่องหมายที่อยู่ผิวของสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น
ซึ่งภูมิต้านทานสามารถจำได้ และตัวเครื่องหมายที่อยู่บนผิวดังกล่าว คือ antigens
Monoclonal antibody หมายถึงภูมิต้านทานที่สร้างจากห้องทดลอง
ซึ่งมันสามารถจับกับตัว antigens บางตัวเป็นการเฉพาะได้
และ มันถูกนำมาใช้ในการรักษาคนไข้ที่เป็นมะเร็ง ด้วยการช่วยเสริมระบบภูมิต้านทาน
ของตัวเอง ทำลายเซลล์มะเร็ง และ เชื้อโรคอื่น ๆ ได้โดยตรง
หรือ มันสามารถช่วยให้การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การรักษาด้วยรังสีรักษา,
และเคมีรักษา สามารถพบ antigens ที่อยู่บนเซลล์มะเร็ง และ
จัดการทำลายเซลล์มะเร็งนั้น ๆ
v Cytokins:
เป็นสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่ง ถูกสร้างโดยร่างกาย และ สร้างจากห้องทดลอง
มันสามารถกระตุ้นเซลล์ของระบบภูมิต้านทาน และ อวัยวะอย่างอื่น ๆ
สารชนิดนี้ ได้แก่ interferons และ interleulins มันสามารถกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน
และ colony-stimulating factors ซึ่งจะกระตุ้นให้เซลล์ของเม็ดเลือด
เกิดการเจริญเติบโตขึ้น
Antibodies คือ สารที่สร้างโดยร่างกายของเราเอง เพื่อต่อสู่กับสิ่งแปลกปลอม
ที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย, เซลล์ผิดปกติทุกเซลล์, สิ่งมีชีวิต, หรือ เชื้อโรคภายในร่างกาย
จะมีเครื่องหมายที่อยู่ผิวของสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น
ซึ่งภูมิต้านทานสามารถจำได้ และตัวเครื่องหมายที่อยู่บนผิวดังกล่าว คือ antigens
Monoclonal antibody หมายถึงภูมิต้านทานที่สร้างจากห้องทดลอง
ซึ่งมันสามารถจับกับตัว antigens บางตัวเป็นการเฉพาะได้
และ มันถูกนำมาใช้ในการรักษาคนไข้ที่เป็นมะเร็ง ด้วยการช่วยเสริมระบบภูมิต้านทาน
ของตัวเอง ทำลายเซลล์มะเร็ง และ เชื้อโรคอื่น ๆ ได้โดยตรง
หรือ มันสามารถช่วยให้การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การรักษาด้วยรังสีรักษา,
และเคมีรักษา สามารถพบ antigens ที่อยู่บนเซลล์มะเร็ง และ
จัดการทำลายเซลล์มะเร็งนั้น ๆ
v Cytokins:
เป็นสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่ง ถูกสร้างโดยร่างกาย และ สร้างจากห้องทดลอง
มันสามารถกระตุ้นเซลล์ของระบบภูมิต้านทาน และ อวัยวะอย่างอื่น ๆ
สารชนิดนี้ ได้แก่ interferons และ interleulins มันสามารถกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน
และ colony-stimulating factors ซึ่งจะกระตุ้นให้เซลล์ของเม็ดเลือด
เกิดการเจริญเติบโตขึ้น
v Vaccines
Vaccines พวกนี้ จะแตกต่างจากวัคซีน ที่เราใช้เพื่อต่อต้านโรคติดเชื้อทั้งหลาย
เช่น polio และ
Cancer vaccines ไม่สามารถป้องกันโรคอักเสบจากการติดเชื้อได้
แต่มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยระบบภูมิต้านทาน ให้ตอบสนองด้วยการต่อสู้กับมะเร็ง
นอกจากนั้น มันยังสร้างความจำเกี่ยวกับมะเร็งได้อีก
ดังนั้น ระบบภูมิต้านจะถูกกระตุ้นได้แต่เนิน ๆ ซึ่งสามารถป้องกันไม่ให้มะเร็งเกิดขึ้นได้ใหม่
Vaccines พวกนี้ จะแตกต่างจากวัคซีน ที่เราใช้เพื่อต่อต้านโรคติดเชื้อทั้งหลาย
เช่น polio และ
Cancer vaccines ไม่สามารถป้องกันโรคอักเสบจากการติดเชื้อได้
แต่มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยระบบภูมิต้านทาน ให้ตอบสนองด้วยการต่อสู้กับมะเร็ง
นอกจากนั้น มันยังสร้างความจำเกี่ยวกับมะเร็งได้อีก
ดังนั้น ระบบภูมิต้านจะถูกกระตุ้นได้แต่เนิน ๆ ซึ่งสามารถป้องกันไม่ให้มะเร็งเกิดขึ้นได้ใหม่
การรักษาอย่างอื่น ๆ
มีคำพูดอย่างหนึ่ง ที่แพทย์ชอบทำกัน คือ
มั่นสังเกตุดูอาการ (watchful waiting) ซึ่งหมายความว่า
เราเลือกที่จะสังเกต และติดตามมะเร็งมากกว่าที่จะรักษาทันที กลยุทธแบบนี้
จะเหมาะสำหรับมะเร็งที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งยังไม่แสดงพิษสง (indolent)
และ เราจะเริ่มให้การรักษาเมื่อมะเร็งนั้น เริ่มที่จะเจริญอย่างรวดเร็ว
หรือ ก่อให้เกิดอาการ หรือ ก่อให้เกิดปัญหาอย่างอื่นขึ้น
การรักษาอย่างอื่น ที่เราควรรู้มีดังนี้:
v Stem cell transplantation
เราจะไม่นำมาใช้รักษาในระยะแรก ๆ แต่จะสงวน เอาไว้ในรายที่ได้รับการรักษา
จนกระทั้งอาการมันหาย (remission) แต่กลับเป็นขึ้นใหม่อีก
Stem cell therapy เคยถูกใช้รักษา lymphoma ชนิด aggressive T-cell NHL
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง นอกจากนั้น รายังนำเอาการรักษาแบบนี้มาใช้
ในคนไข้ไม่ตอบสนองต่อการรักษาตามมาตรฐาน
มีคำพูดอย่างหนึ่ง ที่แพทย์ชอบทำกัน คือ
มั่นสังเกตุดูอาการ (watchful waiting) ซึ่งหมายความว่า
เราเลือกที่จะสังเกต และติดตามมะเร็งมากกว่าที่จะรักษาทันที กลยุทธแบบนี้
จะเหมาะสำหรับมะเร็งที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งยังไม่แสดงพิษสง (indolent)
และ เราจะเริ่มให้การรักษาเมื่อมะเร็งนั้น เริ่มที่จะเจริญอย่างรวดเร็ว
หรือ ก่อให้เกิดอาการ หรือ ก่อให้เกิดปัญหาอย่างอื่นขึ้น
การรักษาอย่างอื่น ที่เราควรรู้มีดังนี้:
v Stem cell transplantation
เราจะไม่นำมาใช้รักษาในระยะแรก ๆ แต่จะสงวน เอาไว้ในรายที่ได้รับการรักษา
จนกระทั้งอาการมันหาย (remission) แต่กลับเป็นขึ้นใหม่อีก
Stem cell therapy เคยถูกใช้รักษา lymphoma ชนิด aggressive T-cell NHL
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง นอกจากนั้น รายังนำเอาการรักษาแบบนี้มาใช้
ในคนไข้ไม่ตอบสนองต่อการรักษาตามมาตรฐาน
Stem cell ได้มาจากไหน ?
ปกติเขาจะได้ stem cells โดยการให้ทางเส้นเลือด (transfusion)
ซึ่งได้จากไขกระดูกของตัวเอง เรียกว่า autologous transplantation หรือ
จากคนบริจาค (donor) เรียกว่า allogeneic transplantation
โดยที่ stem cells ที่ให้เข้าไปนั้น จะทำหน้าที่กระตุ้นให้ไขกระดูกทำหน้าที่
ผลิตเซลล์เม็ดเลือดที่มีสุขภาพขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ต้องกินเวลาอันยาวนานมาก
ปกติเขาจะได้ stem cells โดยการให้ทางเส้นเลือด (transfusion)
ซึ่งได้จากไขกระดูกของตัวเอง เรียกว่า autologous transplantation หรือ
จากคนบริจาค (donor) เรียกว่า allogeneic transplantation
โดยที่ stem cells ที่ให้เข้าไปนั้น จะทำหน้าที่กระตุ้นให้ไขกระดูกทำหน้าที่
ผลิตเซลล์เม็ดเลือดที่มีสุขภาพขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ต้องกินเวลาอันยาวนานมาก
เราสามารถป้องกันได้หรือไม่ (Lymphoma Prevention...)
เราไม่มีทางที่จะป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็ง lymphoma ได้เลย
คำแนะนำที่ให้ คือ หลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค
แต่มีปัจจัยบางอย่าง เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า มันเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้
สำหรับปัจจัยเสี่ยง ที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ คำแนะนำที่ให้ คือ หลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค
แต่มีปัจจัยบางอย่าง เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า มันเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้
เช่น ไวรส HIV, EBV และ โรคตับอักเสบ ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการล้างมือ
ให้สะอาด , อย่าเที่ยวซุกซนทางเพศ, ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น ๆ ,
ตลอดรวมถึงไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวต่าง ๆ ร่วมกับคนอื่น
ให้สะอาด , อย่าเที่ยวซุกซนทางเพศ, ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น ๆ ,
ตลอดรวมถึงไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวต่าง ๆ ร่วมกับคนอื่น
การพยากรณ์โรค (prognosis)
คนที่เป็นโรค Hodgkin’s lymphoma จะมีชีวิตที่ดี
จัดเป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาให้หายได้ อัตรารอดชีวิตหลังการรักษาระยะห้าปี
มีมากกว่า 80 % และมากกว่า 90 % สำหรับมะเร็งที่เกิดในเด็ก
คนที่เป็นโรค Hodgkin’s lymphoma จะมีชีวิตที่ดี
จัดเป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาให้หายได้ อัตรารอดชีวิตหลังการรักษาระยะห้าปี
มีมากกว่า 80 % และมากกว่า 90 % สำหรับมะเร็งที่เกิดในเด็ก
เนื่องจากการพัฒนาด้านการรักษา ได้พัฒนาขึ้นมาก
ทำให้การรักษาคนไข้ที่เป็นโรค non-Hodgkin’s lymphoma (NHL) ดีขึ้นมาก:
Five year survival rate สำหรับผู้ใหญ่ มีได้ 63 % ส่วนในเด็กมีได้ถึง 90 %
เมื่อมีการเพิ่มการรักษาด้วย immunotherapy ร่วมกับการรักษาตามมาตรฐาน
พบว่า ผลของการรักษาในคนไข้ที่โรค NHL จะดีขึ้นมาก
ทำให้การรักษาคนไข้ที่เป็นโรค non-Hodgkin’s lymphoma (NHL) ดีขึ้นมาก:
Five year survival rate สำหรับผู้ใหญ่ มีได้ 63 % ส่วนในเด็กมีได้ถึง 90 %
เมื่อมีการเพิ่มการรักษาด้วย immunotherapy ร่วมกับการรักษาตามมาตรฐาน
พบว่า ผลของการรักษาในคนไข้ที่โรค NHL จะดีขึ้นมาก
มีคนไข้ที่เป็นโรค lymphoma เมื่อได้รับการรักษา เขาจะไม่มีอาการ
และ มีชีวิตได้ยาวนานหลายปี
และ มีชีวิตได้ยาวนานหลายปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น