8/29/12
ใคร ๆ ก็มีโอกาสปวดข้อกันได้ทุกคน...
ใคร ๆ ก็มีโอกาสปวดข้อกันได้ทุกคน...
เนื่องจากอาการปวดข้อ เป็นเรื่องที่พบบ่อยที่สุดเรื่องหนึ่ง
เราสามารถพบได้ทุกวัน จึงเป็นภาระของแพทย์จะต้องตรวจให้แน่ใจว่า
ต้นเหตุของอาการปวดข้อนั้น คือ อะไร ?
ซึ่งแพทย์สามารถกระทำได้ด้วยการซักประวัติ และ ตรวจร่างกายนั่นเอง
อาการปวดที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ข้อ อาจเป็นถุงน้ำอักเสบ (bursitis) , เอ็นอักเสบ
(tendinitis), หรือ อย่างอื่น ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับข้ออักเสบเลย
ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปที่แพทย์จะต้องกระทำ คือ ทำการแยกระหว่างภาวะปวด
โรคทที่ปวดจากข้อ กับสาเหตุที่อยู่นอกข้อให้ได้
ซึ่ง จำเป็นต้องอาศัยหลักฐานชี้บ่งให้เห็นว่า มีการอักเสบของข้อจริง
ปวดข้อโดยที่ไม่มีการอักเสบของข้อ (arthralgias)….
เป็นภาวะที่คลุมเครือ, ไม่ชัดแจ้ง ซึ่งเราสามารถพบเห็นได้ในหลาย ๆ โรค
เช่น โรคที่เกิดกับร่างกายทั้งระบบ, หลังการเกิดโรคไวรัสอักเสบ, ต่อมไทรอยด์
ทำงานน้อย (hypothyroidism), และ โรคอื่น ๆ
โรคข้ออักเสบ...
โดยทั่วไป มันจะแสดงอาการให้เห็นว่า มีข้อบวม และ กดเจ็บ, บวม และ แดง
แต่ถ้าข้ออักเสบนั้น เป็นข้ออักเสบเรื้อรัง อาการดังกล่าว
จะไม่ปรากฏให้เราได้ทั้งหมด อาจมีเพียงข้อบวม และเจ็บตอนเคลื่อนไหว
สว่นอาการอักเสบแบบเฉียบพลัน เช่น ผิวหนังบริเวณข้ออักเสบอาจมีแดง
และ มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น
จะไม่ปรากฏให้เราได้ทั้งหมด อาจมีเพียงข้อบวม และเจ็บตอนเคลื่อนไหว
สว่นอาการอักเสบแบบเฉียบพลัน เช่น ผิวหนังบริเวณข้ออักเสบอาจมีแดง
และ มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น
สุดท้าย แพทย์เขาจะรู้เป็นอย่างดีว่า โรคที่เกิดขึ้นกับระบบกล้ามเนื้อ และกระดูก
จะมีลักษณะคล้าย ๆ กันตั้งแรกเริ่มแรก และ การวินิจฉัยขั้นสุดท้าย
แพทย์อาจยังไม่สามารถบอกได้ว่า คนไข้เป็นโรคอะไร
ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เวลาสังเกตการณ์ซักระยะหนึ่ง และ ในระหว่างนั้น
แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการของโรคไปก่อน
ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เวลาสังเกตการณ์ซักระยะหนึ่ง และ ในระหว่างนั้น
แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการของโรคไปก่อน
Rheumatoid factor and seropositive arthritis
เพื่อการวินิจฉัยโรคไขข้อ...
จะมีการตรวจหลายอย่าง ให้แพทย์ได้นำมาใช้ในการตรวจ
ซึ่งแพทย์ทั่วไปไม่ค่อยจะสั่งให้มีการตรวจกันเท่าใดนัก นั้นคือ
ซึ่งแพทย์ทั่วไปไม่ค่อยจะสั่งให้มีการตรวจกันเท่าใดนัก นั้นคือ
การตรวจ Rheumatoid factor (RF) ซึ่งเป็นภูมิต้านทาน (antibody)
ที่พบได้ในโรครูมาตอยด์ และ โรคอื่น ๆ
ในการวินิจฉัยโรค รูมาตอยด์ จึงเป็นการวินิจฉัยจากคลินิกเป็นส่วนใหญ่
โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการตรวจหา RF เพื่อการวินิจฉัยโรคว่า
คนไข้เป็นโรครูมาตอยด์หรือไม่ ที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะว่า
มีคนไข้ที่เป็นโรครูมาตอยด์ประมาณ 15 – 20 % ตรวจไม่พบ RF
ซึ่งเขาเรียกภาวะดังกล่าว ว่า RF negative (absence)
ในการวินิจฉัยคนไข้รายใดว่า เป็นโรครูมาตอยด์ จำเป็นต้องพิจารณาว่า
คนไข้รายนั้น ควรมีมีอักเสบของข้อสองข้าง (bilateral) มีการอักเสบเท่ากัน
(symmetrical) , มีข้ออักเสบของมือหลาย ๆ ข้อ (polyarhthritis) โดยเฉพาะข้อมือ
และนิ้วมือ, และ ระยะเวลาของอาการข้ออักเสบ ต้องนานเกิน 6 อาทิตย์
(symmetrical) , มีข้ออักเสบของมือหลาย ๆ ข้อ (polyarhthritis) โดยเฉพาะข้อมือ
และนิ้วมือ, และ ระยะเวลาของอาการข้ออักเสบ ต้องนานเกิน 6 อาทิตย์
จากการให้คำจำกัดความดังกล่าว
สามารถช่วยให้เราหลีกเลี่ยงความผิดพลาด โดยการใช้ระยะเวลาของการมีอาการเกิน
หกอาทิตย์ สามารถแยกจากพวก ข้ออักเสบจากเชือไวรัส (viral arthritides)
ซึ่ง เป็นการอักเสบที่หายได้เอง
ในกรณีที่ไม่มีข้ออักเสบของมือ...
การจะวินิจฉัยว่า คนไข้เป็นโรครูมาตอยด์อาจผิดพลาดได้
ที่เราควรรู้อีกอย่างหนึ่ง คือ คนที่ตรวจเลือดพบ RF
ไม่ได้หมายความว่า คนไข้รายนั้นต้องเป็นโรค “รูมาตอยด์” เสมอไปทุกราย
จุดสำคัญสำหรับ Rheumatoid factor และ โรค Rheumatoid ที่ควรรู้:
Ø โรครูมาตอยด์ จะถูกวินิจฉัยทางด้านคลินิกเป็นส่วนใหญ่ โดยมั่นใจว่า คนไข้คนนั้น
เป็นโรค RA แม้ว่าจะไม่มี RF ก็ตา ความจริงมีว่า คนที่มี rheumatoid factor (+ve)
มีเพียง 80 – 85 % ส่วนที่เหลือ 15-20 % จะไม่พบ rheumatoid factor (-ve)
Ø คนเป็นโรค RA จะต้องมีข้ออักเสบสองข้างเหมือนกัน (bilatically symmetrical)
ถ้าคนไข้คนนั้น มีข้ออักเสบเพียงด้านเดียวเท่านั้น (asymmetrical) ท่านควรตั้งข้อสงสัยว่า
คนไข้รายนั้นอาจเป็นข้ออักเสบจากโรคอย่างอื่น
เช่น โรคข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน (psoriatic) หรือ
โรค seronegative spondyloarthroplasty
Ø คนเป็นโรค RA จะต้องมีข้ออักเสบหลายข้อ (polyarthritis)
Ø ถ้าคนไข้รายนั้นมีข้ออักเสบเพียงข้อเดียว...อย่าไปวินิจฉัยเขาว่าเป็นโรค RA
Ø อย่าไปวินิจฉัยคนใดว่าเป็นโรค RA ถ้าไม่มีข้อมือเกิดการอักเสบด้วย
Ø ถ้าข้ออักเสบเกิดที่ข้อมือข้อปลาย (distal interphalangeal joint) พบในคนเป็นโรค RA
ได้น้อยมาก ๆ ในกรณีดังกล่าว ให้สงสัยคนไข้นั้นอาจเป็น psoriatic arthropathy ,
Scleroderma, หรือ osteoarthritis
Ø ข้อกระดูกสันหลัง จะไม่ถูกกระทบโดยโรค RA
ในกรณีที่คนไข้รายนั้น มีข้ออักเสบของกระดูกสันหลัง ร่วมกับข้อใดข้อหนึ่งเกิดการอักเสบ
(mono or oligoarticular involvement) โดยเฉพาะขา...
ควรให้ความสงสัยว่า คนไข้รายนั้น น่าจะเป็น seronegative spondyloarthroplasty
Ø เพียงการตรวจพบ RF ในเลือด ไม่เพียงพอที่วินิจฉัยว่าคนไข้เป็น RA
Ø เมื่อตรวจพบว่า คนไข้มี RF ท่านไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำอีก
เพราะ มันไม่สัมพันธ์กับผลของการรักษา
Ø การทำ Titer of RF ไม่ได้ช่วยในการผลของการรักษาแต่ประการใด
Ø ในกรณีที่ตรวจพบว่า คนไข้ข้ออักเสบไม่พบ RF (-ve) ควรทำการตรวจเลือดซ้ำ
เพราะมีคนไข้บางรายที่เป็นโรค RA อาจกินเวลา 18 – 24 เดือน
จึงจะกลายเป็นพวก seropositive ซึ่งเราควรทำการตรวจซำภายใน 6 - 12 เดือน
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น