วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Reactive Arthritis continued 2

8/26/12


การวินิจฉัย (Diagnosis)
แพทย์เขาจะสงสัยเมื่อคนไข้เกิดการอักเสบ  แล้วมีอาการของข้อ reactive arthritis
แพทย์จะทำการตรวจคนไข้  และสั่งให้มีการตรวจข้อของกระดูกเชิงกราน (S/I joint)
และ กระดูกสันหลังส่วนล่างด้วยเอกซเรย์   แพทย์อาจมีการเจาะเอาน้ำจากข้อมาตรวจ
ซึ่ง จะมีเม็ดเลือดขาวเป็นจำนวนมาก  โดยไม่มีเชื้อโรคภายในข้อ

ในโรค reactive arthritis 
ไม่มีการตรวจชนิดใด  ที่นำมาใช้ในการยืนยันการวินิขฉัยโรค
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคดังกล่าว  โดยอาศัยประวัติการเกิดการอักเสบ, 

อาการ และ  ผลการตรวจร่างกาย  นอกจากนั้น  การตรวจอย่างอื่น ๆ 

อาจจำเป็นต้องตรวจ  เพื่อแยกโรคอื่น ๆ เช่น  ข้ออักเสบติดเชื้อ หรือ  เป็นโรคเก้า

ระยะของการเกิดโรค (Expected  duration)
เรายังไม่ทราบว่า  ระยะของการเกิดโรคจะนานเท่าใด
คนเป็นโรค reactive arthritis  ในบางครั้งอาการจะดีขึ้นด้วยตัวของมันเอง
โดยใช้เวลานานหลายเดือน  หรือ  หลายปี   อย่างไรก็ตาม  ส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคเรื้อรัง 

การรักษามักจะต้องใช้เวลานาน  หรือ  บางทีต้องรักษาตลอดชีวิตได้



การป้องกัน (Prevention)



เราไม่มีทางป้องกันไม่ให้เกิดโรค reactive arthritis  ได้เลย
แต่  เราสามารถจัดการกับโรคที่สามารถกระตุ้นให้เกิดโรค  และป้องกั้นไม่ให้
เกิดโรค reactive arthritis  โดยการป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบของลำไส้
ด้วยการปรุงอาหารให้สะอาด  ล้างมือให้สะอาดเมื่อสัมผัสกับสัตว์ก่อนปรุงอา
หาร  ท่านสามารถป้องกัน sexual transmitted disease 
ให้ระวังเรื่องเพศสัมพันธ์  อย่าให้เตนเองเกิดโรค (หนองใน) ได้
มันก็เท่านั้นเอง....

การรักษา (Treatment)

ในการรักษาโรค reactive arthritis....
เราจะเลือกรักษาอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นกับอาการเป็นหลัก
ถ้าท่านยังมีการอักเสบ  แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะ โดยให้ประมาณ  7 – 10  วัน
แพทย์บางท่านจะทำการรักษาโรคหนองใน (chlamedia) นานถึงสามเดือน
จากการศึกษาในวงจำกัด (ไม่มาก)  แสดงให้เห็นว่า 

การให้ยาปฏิชีวนะนาน  จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรค reactive arthritis  ได้...

แต่การรักษาด้วยวิธีการดังกล่าว  ยังเป็นข้อถกเถียงกัน  ไม่มีข้อสรุปเลย

สำหรับรายที่เป็นน้อย (mild arthritis)….
การให้ยากลุ่ม NSAIDs โดยให้ร่วมกับยาแก้ปวด  หรือ  ไม่ให้ยาแก้ปวดร่วม
อาจเพียงพอต่อการรักษาแล้วละ

สำหรับรายที่เป็นรุนแรง (Severe arthritis)...
กรฉีดสาร steroids  เข้าข้อ สามารถลดอาการเจ็บปวดได้ (ชั่วระยะอันสั้น ๆ )
ยาอยางอื่น ๆ  ซึ่งอาจช่วยคนไข้ได้  คือ ยาที่ใช้รักษาโรค Rheumatoid arthristis
เช่น  sulfasalazine,  hydroxycholroquine  หรือ  methotrexate



แพทย์ส่วนใหญ่จะไม่สั่งยา oral corticosteroids ให้แก่คนไข้พวกนี้

ซึ่ง เป็นยาทีใช้ได้ผลดีในในคนไข้ที่เป็นโรค RA  ทั้งนี้เพราะ 

oral corticosteroids  จะใช้ไม่ได้ผลดีต่อคนที่เป็นโรค  reactive arhritis

อาจมีการใช้ยาใหม่ ๆ ที่ใช้รักษาคนไข้โรค RA   

เช่น  ยาฉีด adalimumab(Humira),  etanercept (Enbrel) หรือ  infliximab (Remicade)
การผาตัดเปลี่ยนข้อ  อาจมีส่วนช่วยเหลือคนไข้ที่มีไขข้ออักเสบรุนแรง
ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาตามปกติได้

นอกจากยารักษา...
ความสมดุลด้านการพักผ่อน  และการออกกำลังกาย  ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
การปั่นจักรยาน  หรือ การว่ายน้ำ  สามารถช่วยลดอาการข้อแข็ง (stiffness)
และ ช่วยทำให้ข้อเคลื่อนไหวได้ตามปกติ  


การรักษาสำหรับอาการอื่น ๆ  ได้แก่:
v  Corticosteroid cream  สำหรับทาผ่านคันที่บริเวณอวัยวะเพศ หรือ ใบหน้า

v  Cortiocsteroid drops หรือ ยาเม็ดสำหรับตาอักเสบ uveitis

v   
v  NSAIDs  หรือ ยาแก้ปวดชนิดอื่น  สำรับการอักเสบของท่อปัสสาวะ (urethritis)

ในการดูแลคนไข้ที่เป็น Reactive arthritis ควรได้รับการประสานงานการรักษา กับแพทย์
สาขาอื่น ๆ เช่น  แพทย์ทางผิวหนัง (dermatologist)  แพทย์ทางตา (ophthalmologist)
แพทย์ทางไขข้อ(rheumatologist) หรือ  แพทย์ระบบขับถ่ายปัสสาวะ (Urologist)

การพยากรณ์โรค (Prognosis)
ด้วยการรักษาตามที่กล่าว  แม้ว่าโรคจะมีความแตกต่างกันได้มาก 
ส่วนใหญ่แล้ว  ภาพลักษณ์จะออกมาดี


สำหรับรายที่มีความรุนแรง  อาจเกิดการทำลายข้องได้อย่างมาก  อาจมีปัญหาด้าน
สายตา  และมีอาการอย่างอื่น  ส่วนรายอื่น ๆ อาจมีอาการไม่รุนแรง 
เป็นเพียงแค่สร้างความรำคาญให้แก่คนไข้เท่านั้น

ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ  ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง  ได้แก่:
v  เพศชาย

v  อักเสบทางเพศสัมพันธ์  จะรุนแรงกว่าอักเสบของทางลำไส้
v  อักเสบของข้อ sacro-iliac joints
v  มีอาการบวมที่นิ้วมือ และนิ้วเท้า
v  ผลการตรวจเลือดบงบอกว่า มีการอักเสบของร่างกาย
v  มีพันธุกรรมทีผดปกติ  HLA-B27
v  ตอบสนองต่อการรักษาครั้งแรกไม่ดี

http://www.intelihealth.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น