ในการหยุดยารักษาโรคที่ปลอดภัย คือการปฏิบัติการที่ละขั้น...
โดยมีกระบวนการณ์ที่สำคัญ 4 อย่าง ดังนี้:
1. รู้ว่ามีความจำเป็น หรือมีความต้องการหยุดยา
2. ลด หรือหยุดยาเพียงหนึ่งขนานในแต่ละครั้ง
3. ให้พิจารณาว่า ยาสามารถหยุดได้ทันที หรือหยุดโดยวิธีลดขนาดลง
ที่ละขั้น
4. ตรวจสอบดูผลดี (benefit) หรือผลเสีย (harm) หลังจากหยุดยาแต่ละ
ขนาน
รู้ว่ามีความจำเป็น หรือมีความต้องกายหยุดยา
(Recognise the need to stop a medicine)
ทุกครั้งที่มีการนัดพบคนไข้ เพื่อการรักษาต่อเนื่อง...
สิ่งที่แพทย์ผู้ทำการรักษาจะต้องพิจารณา ได้แก่:
:
o คนไข้มีอาการผิดปกติอย่างใดหรือไม่ เช่น อาการอันไม่พึงประสงค์
(side effects) หรือ มีความกังวลใจอะไรเกี่ยวกับยารักษาที่เขาได้รับ
o ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
o ความชอบ หรือความพิงพอใจของคนไข้
o มียาตัวใหนบ้างที่สามารถให้คนไข้หยุด (กิน) ได้ ถ้าปรากฏว่ามียามาก
กว่าหนึ่งขนาน...ต้องพิจารณาต่อว่าจะหยุดตัวใดก่อน โดยอาศัยปัจจัย
ต่าง ๆ เช่น ยาที่มีโอกาสทำให้เกิดข้างเคียงได้สูง หรือไม่มีข้อชี้บ่งที่ชัด
ว่า สมควรได้รับยาตัวนั้น ๆ
ในแต่ละครั้ง...ให้ลด หรือหยุดยาที่ละขนาน
(Reduce or stop one medicine at a time):
การให้หยุดยาทีละขนานในแต่ละครั้ง จะปฏิบัติได้ง่าย เพราะหากมีปัญหา
อะไรเกิดขึ้น จะทำให้เราสามารถทราบได้ว่า อะไร คือสาเหตุที่ทำให้เกิด
ปัญหา (อาการ) นั้น ๆ
หยุดยาด้วยวิธีการลดขนาดที่ละขั้นเป็นระยะ ๆ
(Taper medicines when appropriate)
เพื่อความเสี่ยงต่อการเกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ ปรากฏว่ามียาหลาย
ขนาน ซึ่งเราสามารถลดขนาด (taper...) แต่เป็นการยากที่จะบอกได้ว่า
ยาชนิดใดควรหยุดได้เลย หรือตัวใหนควรค่อยหยุดด้วยการลดขนาด
ของยาลง ในกรณีที่งสงสัย ควรหยุดแบบค่อย ๆ ลดขนาดของยา
มียาหลายชนิด...เริ่มต้นด้วยการลดยาลงครึ่งหนึ่ง
หลังจากนั้นให้ค่อยๆ ลดขนาดของยาลง จนกระทั้งถึงระดับที่คนไข้
ได้รับยาที่มีขนาดน้อยที่สุด หรือสามารถหยุดยาได้โดยสิ้นเชิง
โดยทั่วไป เราจะใช้เวลาในการลดขนาดของยา (taper)
แต่ในกรณีของยาที่ใช้ เกิดเป็นพิษ (toxicity) การลดขนาดของยาอาจต้อง
กระทำด้วยความเร่งรีบ หรือหยุดยาอย่างฉับพลัน
เมื่อเริ่มลดขนาดของยา...
ให้สังเกตุว่า มีอาการอะไรเกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นตัวชี้บอกให้ทราบว่า ควรทำ
การลดขนาดของยาลงอย่างช้า ๆ เช่น การลดขนาดของยา PPI ในการ
รักษาอาการแน่นท้อง - dyspepsia เป็นต้น
ในกรณีที่เกิดมีอาการหลังการหยุดยา คนไข้ไม่สามารถทนต่ออาการที่เกิด
ขึ้นได้ ในกรณีเช่นนี้อาจจำเป็นต้องหันกลับไปใช้ (กิน) ยาเหมือนเดิม
และหลังจากนั้น ให้เริ่มลดขนาดยาใหม่...แต่กระทำอย่างช้า ๆ
ตรวจสอบผลดี (benefit) ผลเสีย (harm) หลังการหยุดยา:
ให้สังเกตุถึงการเปลี่ยนแปลงหลังการหยุดยา หากปรากฏว่าไม่มีผลเสียใด ๆ
แสดงว่าการหยุดยานั้นกระทำได้ถูกต้องแล้ว ยกตัวอย่าง การหยุดยารักษา
โรคกระดูกพรุนด้วยา bisphosphonate ซึ่งได้รับการรักษามาเป็นเวลานาน 5 ปี
ปรากฏว่า มีการลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดุูกแตกหักได้อีก 5 ปี เป็นต้น
หลังการหยุดยา ถ้าปรากฏว่า อาการเดิมกลับปรากฏขึ้นทั้งๆ ที่เป็นการหยุดยา
แบบค่อยๆ ลดขนาดของยาลง... กรณีเช่นนี้อาจบอกให้ทราบว่า คนไข้ไม่
สามารถหยุดยาตัวดังกล่าวได้โดยสิ้นเชิง ดังตัวอย่าง คนไข้ต้องกินยา PPI
ในขนาด 10 mg แทนที่จะเป็น 20 mg
<<BACK NEXT>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น